อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 136 มีคนหวั่นไหวแล้ว
พวกเต๋อเฟยไม่กี่คนก็ถูกทำให้ตกใจไม่น้อย รีบถามขึ้นว่า “ซูกงกง เกิดอะไรขึ้น?”
“เต๋อเฟยเหนียงเหนียง สถานการณ์เร่งด่วนข้าน้อยต้องขอเชิญพระชายาหมิงไปที่ห้องทรงพระอักษรก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
ความหมายนี้ก็คือไม่อยากพูดมาก
หยุนหว่านหนิงก็สังเกตเห็นแล้ว เกรงว่าสถานการณ์จะร้ายแรงมาก จึงรีบตามซูปิ่งซ่านไปที่ห้องทรงพระอักษรพร้อมกัน เต๋อเฟยส่งสายตาให้โม่เยว่ เขาจึงลุกขึ้นแล้วออกไปด้วย
โจวหยิงหยิงสบตากับโม่ฮั่นอี่ว์แวบหนึ่ง…….
โม่ฮั่นอี่ว์เก็บป้ายประกาศิตไปเงียบๆ
ตาบอด!
ไม่ง่ายที่จะได้อวดป้ายประกาศิตของเขาสักหน่อย หยุนหว่านหนิงและโม่เยว่บอกว่าจะไปก็ไปแล้ว
วันนี้โจวหยิงหยิงก็ดูความตื่นเต้นจนเหนื่อยแล้ว สองสามีภรรยาจึงจากไปด้วยเช่นกัน
หยุนหว่านหนิงเข้าไปในห้องทรงพระอักษรด้วยความรวดเร็ว
เห็นเพียงแค่โม่จงหรานกุมหน้าอกไว้ ขมวดคิ้วแน่น ในปากส่งเสียงความอัดอั้นออกมาอยู่บ่อยๆ สีหน้าของเขาซีดขาวเล็กน้อย ท่าทางดูเจ็บปวดเป็นอย่างมาก
“เสด็จพ่อ พระองค์เป็นอย่างไรบ้างเพคะ?”
หยุนหว่านหนิงเดินเข้าไปใกล้ๆอย่างรวดเร็ว “รู้สึกไม่สบายตรงไหนบ้างเพคะ?”
เห็นนางมา โม่จงหรานก็ยังรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้ามาได้อย่างไร?”
ซูปิ่งซ่านยืนอยู่ข้างหลังนาง กล่าวทั้งน้ำหูน้ำตาว่า “ฝ่าบาท เมื่อครู่ข้าน้อยเห็นพระองค์ทรมานมาก แล้วพระองค์ก็ไม่ยอมให้เชิญหมอหลวงอีก”
“ด้วยความร้อนใจ จึงได้ใช้พระนามของพระองค์ไปเชิญพระชายาหมิงเข้ามาพ่ะย่ะค่ะ”
เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่ง “ฝ่าบาท พระองค์จะลงโทษทุบตีข้าน้อยก็ได้ หรือจะดุด่าข้าน้อยก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าบาท พระพลานามัยของพระองค์สำคัญนะพ่ะย่ะค่ะ!”
เห็นท่าทางการร้องห่มร้องไห้อย่างหนักของซูปิ่งซ่าน โม่จงหรานก็รู้สึกจนปัญญา
เขาถอนหายใจเบาๆเฮือกหนึ่ง “เจ้าไอ้สุนัขตัวนี้……”
“ฝ่าบาท ซูกงกงพูดถูกเพคะ พระพลานามัยของพระองค์สำคัญน่ะเพคะ”
หยุนหว่านหนิงส่ายหัวเล็กน้อย พูดเกลี้ยกล่อม “เบื้องหลังของพระองค์ยังมีผู้คนอีกมากมาย ทั้งยังมีดินแดนอาณาเขตของหนานจวิ้น! หากพระพลานามัยของพระองค์ทรุดลง วันหน้าวันหลังจะทำเช่นไรเพคะ?”
“เจ้าเด็กคนนี้กำลังสั่งสอนข้าใช่หรือไม่?”
แม้จะพูดเช่นนี้ แต่บนใบหน้าของโม่จงหรานกลับไม่ได้แสดงความตำหนิแม้แต่น้อย
“หม่อมฉันไม่กล้าเพคะ”
นางเดินเข้ามาใกล้ “เสด็จพ่อมีอาการแน่นหน้าอกใช่หรือไม่เพคะ?”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
โม่จงหรานเลิกคิ้วมองดูนาง ชั่วขณะนี้กลับไม่ได้มีความเจ็บปวดขนาดนั้นแล้ว
หรือว่าวิชาการรักษาของเจ้าเด็กคนนี้จะยอดเยี่ยมจนถึงขั้นที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้แล้วจริงๆ คิดไม่ถึงว่าไม่ต้องจับชีพจร ไม่ต้องตรวจ ก็สามารถรู้ได้ว่าไม่สบายตรงไหน?
“พระองค์ไม่ได้กุมหน้าอกอยู่ตลอดหรือเพคะ?”
หยุนหว่านหนิงหัวเราะเบาๆ “ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อครู่เสด็จพ่อก็ถูกอ๋องหนิงทำให้โมโหจนไฟโทสะพุ่งเข้าสู่หัวใจ อีก”
“ไฟโทสะพุ่งเข้าสู่หัวใจ จะทำให้เกิดอาการใจเต้นเร็ว และอาการแน่นหน้าอกได้ง่ายเป็นที่สุด ดังนั้นหม่อมฉันจึงได้ตั้งใจกำชับเสด็จพ่อ ว่าต้องผ่อนคลายอารมณ์ อย่าคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องเมื่อครูอีกเด็ดขาดเพคะ”
นี่ไม่ใช่หรือ เกิด “อาการที่ตามมา” ดังคาดแล้วใช่มั้ยล่ะ?
โม่จงหรานถอนใจอีกครั้ง “ข้าถูกลูกอกตัญญูนั่นทำให้โกรธจนเกือบตายแล้ว!”
“จะคิดไม่ตกได้อีกอย่างไร?”
“เสด็จพ่อ ตีท่านก็ตีแล้ว ด่าท่านกด่าแล้ว กระทั่งยังกักบริเวณอ๋องหนิง และเอาค่ายห้ากองพลกลับมาอีก ยังจะมีอะไรให้คิดไม่ตกอีกหรือเพคะ?”
หยุนหว่านหนิงล้วงเข็มเงินออกมา ตั้งใจจะฝังเข็มให้เขา
“จะฝังเข็มอีกแล้วรึ?”
เมื่อเห็นเข็มเงินที่สว่างแวววาวของนาง โม่จงหรานก็กลืนน้ำลายอย่างอดไม่ได้ ร่องรอยของความขลาดแวบผ่านในดวงตา
เขาเป็นฮ่องเต้ผู้สูงศักดิ์ คิดไม่ถึงว่าจะกลัวเข็มเงินเล็กๆไม่กี่เล่ม หากเผยแพร่ออกไปก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกผู้คนหัวเราะเยาะกันไปทั่ว
ด้วยเหตุนี้ โม่จงหรานจึงพยายามฝืนทน
แต่ก็ไม่โทษเขา เพราะความเป็นจริงเข็มเงินของหยุนหว่านหนิงแตกต่างไปจากเข็มเงินของหมอหลวง……เข็มเงินของนางบางกว่า อ่อนกว่าหน่อย แต่แทงเข้าไปแล้วเจ็บยิ่งกว่า
แต่ทว่า ประสิทธิภาพล้ำเลิศยิ่งกว่า
วันนี้โม่จงหรานถูกแทงไปแล้วหนึ่งครั้ง ตอนนี้เมื่อเห็นเข็มเงินอีก ก็รู้สึกเพียงแค่ความเจ็บปวดเมื่อครู่นี้ยังไม่ได้ได้สูญหายไป
“ไม่ฝังเข็มก็ต้องกินยาเพคะ”
หยุนหว่านหนิงกล่าวด้วยท่าทางจริงจัง “หากว่าฝังเข็ม หม่อมฉันจะจ่ายยาที่ไม่ขมมากนักให้พระองค์ หากพระองค์ไม่อยากฝังเข็ม ก็ต้องกินยาที่มีรสขมมากนะเพคะ”
“อย่างไรเสียพระองค์ก็เลือกเองเถอะเพคะ”
เหมือนนางกำลังกล่อมให้เด็กกินยาเช่นนั้น พูดโกหกด้วยท่าทางที่จริงจัง
โม่จงหรานลังเลแล้ว
ผ่านไปเป็นเวลานานกว่าจะพูดว่า “งั้นก็ฝังเข็มเถอะ”
เทียบกับการกินยาขมๆทุกวัน เขาแค่ฝืนทนความเจ็บปวดอันรุนแรงนี้ยังจะดีกว่า อย่างไรเสียฝังเข็มก็ใช้เวลาแค่ชั่วครู่เดียว
ขณะที่โม่เยว่เข้ามา ได้เห็นหยุนหว่านหนิงกำลังฝังเข็มให้โม่จงหรานพอดี
นางก้มศีรษะลงเล็กน้อย กำลังหาจุดฝังเข็ม
นางอยู่ข้างเตียงนุ่มๆ ด้านข้างของใบหน้าตรงกับประตู
แสงแดดสาดส่องบนแก้มของนาง สะท้อนแสงเป็นรัศมีเล็กๆ ลำแสงนั่นนุ่มนวล แววตาของนางมีสมาธิ นาทีนั้นในจิตใจของโม่เยว่เหมือนถูกก้อนหินก้อนเล็กๆขว้างเข้าไป
ก้อนหินซัดลงไปในน้ำ กระตุ้นให้เกิดระลอกคลื่นวงเล็กๆลูกแล้วลูกเล่า
“อ๋องหมิงพ่ะย่ะค่ะ”
ซูปิ่งซ่านเห็นดังนั้น ก็รีบเข้าไปข้างหน้าและกล่าวเบาๆว่า “พระชายาหมิงกำลังฝังเข็มให้ฝ่าบาทอยู่น่ะพ่ะย่ะค่ะ”
เขาส่งสัญญาณไม่ให้โม่เยว่ส่งเสียง เพื่อจะได้ไม่เป็นการรบกวนหยุนหว่านหนิง
โม่เยว่พยักหน้า เดินไปข้างๆและนั่งลงเงียบๆ
โม่จงหรานเงยหน้าขึ้นมองเขา แววตาเป็นความชื่นชม: ภรรยาของเจ้าคนนี้ไม่ธรรมดานะเนี้ย! วิชาการรักษานี้เทียบได้กับตอนที่หวาถัวยังมีชีวิตอยู่ได้เลยล่ะ!
โม่เยว่: “……”
นิ่งเงียบต่อไป
หลังจากเวลาผ่านไปสิบห้านาที หยุนหว่านหนิงจึงได้ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วก็เอาเข็มเงินอันสุดท้ายแทงเข้าไปที่จุดฝังเข็ม เพราะว่าจดจ่อเกินไป บนหน้าผากที่สะอาดหมดจดของนางมีเหงื่อผุดออกมาชั้นหนึ่ง
หยาดเหงื่อเม็ดเล็กละเอียดกลิ้งไหลลงมา นางยกมือขึ้นเช็ดแบบง่ายๆ ไม่ได้แสร้งแสดง
“เสด็จพ่อ ไม่ใช่ข้าจะว่านะเพคะ พระองค์ควรที่จะขยับร่างกายให้มากๆเช่นกันถึงจะได้นะเพคะ!”
นางกล่าวกำชับ “ไม่เช่นนั้นถึงแม้หม่อมฉันจะบำรุงรักษาพระองค์ทุกวัน แต่ก็เป็นการรักษาที่ปลายเหตุเท่านั้นไม่ได้รักษาที่ต้นเหตุ! ร่างกายคนเราก็เหมือนเครื่องจักร หากว่าไม่ออกกำลังกายก็จะขึ้นสนิม ทำงานก็จะไม่คล่องตัวเพคะ”
“เครื่องจักรคืออะไร?”
โม่จงหรานถามด้วยความสงสัย
“นี่……”
หยุนหว่านหนิงไม่รู้จะอธิบายยังไงเช่นกัน จึงกล่าวอีกว่า “หม่อมฉันจะจ่ายอีกไม่กี่ตัวยาให้พระองค์”
นางเดินไปที่โต๊ะเตรียมกระดาษและพู่กัน ตอนนี้ถึงได้เห็นว่าโม่เยว่นั่งเงียบๆอยู่ข้างๆ “อ้าว? ท่านอ๋องมาตั้งแต่เมื่อไหร่เพคะ?”
“เมื่อครู่”
โม่เยว่มองดูเหงื่อที่ยังเปียกอยู่บนหน้าผากของนาง รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ไม่มีนิสัยเคยชินกับการพกผ้าเช็ดหน้าติดตัว จึงได้หยิบผ้าเช็ดหน้าที่สะอาดผืนหนึ่งออกมาจากหน้าอกของตัวเองแล้วยื่นให้
หยุนหว่านหนิงรับมา จึงถือโอกาสเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก
จากนั้น…..ก็ยึดผ้าเช็ดหน้าของเขาไว้เป็นของตัวเองอย่างหน้าไม่อาย ยัดเข้าไปที่หน้าอกของตัวเอง
โม่เยว่ก็ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อย
กลับเป็นโม่จงหราน เมื่อเห็นท่าทีที่รู้ใจกันของสองสามีภรรยา ก็ยิ้มออกมาด้วยความเข้าใจทันที
เจ้าเจ็ดเจ้าหมอนี่ ปากก็มักจะบอกว่าไม่ชอบหยุนหว่านหนิง……..ตอนนี้ดูท่า กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น
ดูเหมือนว่าจะมีคนหวั่นไหวแล้ว แต่กลับมีความรู้สึกช้ายังไม่รู้ตัวอีก
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็มี “เรื่องสนุก” ให้ดูแล้ว!
โม่จงหรานนั่งพิงไปบนเตียงนุ่มๆ รอยยิ้มมุมปากลึกซึ้งมากขึ้น
หยุนหว่านหนิงเขียนใบสั่งยาเสร็จก็ยื่นให้ซูปิ่งซ่าน “ซูกงกง ลำบากท่านไปที่โรงหมอหลวงด้วยตัวเองรอบหนึ่ง ข้ากลัวว่าหมอหลวงเหล่านั้นน่ะ จะหน้าไหว้หลังหลอกอีก”
นางเอ่ยขึ้นอย่างคลุมเครือ ตอนนั้นที่เต๋อเฟยไม่สบาย หมอหลวงกลุ่มนั้นได้ทำเรื่องเลวทรามภายใต้การบงการของฮองเฮาจ้าว
แววตาของโม่จงหรานเป็นกังวล ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้
หากว่าหมอหลวงชั่วช้าเหล่านั้น แม้แต่ยาของเขาแล้วก็ยังกล้าทำชุ่ยๆอีก…….เขาก็จะเด็ดหัวสุนัขของพวกเขามาเตะเป็นลูกบอล!
เขาเก็บสายตา เอ่ยถามต่อหยุนหว่านหนิง “หว่านหนิง ข้าได้ยินว่าเจ้ากับเจ้าเจ็ด ได้ไปเยี่ยมเจ้าสี่มาเมื่อไม่กี่วันก่อนหรือ?”
สายตาของโม่เยว่เปลี่ยนไปเล็กน้อยทันที หางตามองไปทางหยุนหว่านหนิง
เขาบอกใบ้นาง ว่าอย่าพูดเพ้อเจ้อ
หยุนหว่านหนิงเข้าใจ คาดเดาในใจว่าเรื่องที่โม่เหว่ยล้มหมอนนอนเสื่อมาตลอดทั้งปีนี้ กลัวว่าคงจะมีเงื่อนงำอะไรซ่อนอยู่…..