อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 166 น่าตื่นตะลึงยิ่งนัก ความลับของฝ่าบาท
“ข้าไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ตัวเอง”
สีหน้าของซ่งจื่ออวี๋ดูสงบนิ่งไม่แยแส “ท่านอาจารย์เคยกล่าวไว้ว่า พวกเราล้วนเป็นปถุชนคนธรรมดา ไม่จำเป็นต้องสนใจชื่อเสียงลาภยศที่เป็นเพียงของนอกกาย”
สามารถพูดอะไรแบบนี้ออกมาได้ ต้องเรียกว่าเป็นบุคคลที่ศึกษาจนบรรลุถึงขอบเขตของผู้เชี่ยวชาญในเหตุและผลของโลกใบนี้อย่างถ่องแท้แล้ว
ในใจของโม่จงหราน ถึงกับเชื่อเขาขึ้นมาสองส่วนเลยทีเดียว
แต่ใบหน้าของเขายังคงไม่แสดงอาการใด ๆ ยังคงจับจ้องดวงตาคู่นั้นของเขาอย่างละเอียด “ ถ้าเจ้าไม่พิสูจน์ตัวเอง แล้วข้าจะเชื่อคำพูดของเจ้าได้อย่างไรล่ะ?”
“ไม่สู้ ฝ่าบาทลองทดสอบข้าเล่น ๆ ดูก็ได้?”
แท้จริงแล้วซ่งจื่ออวี๋รู้สึกว่า ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องพิสูจน์ตัวเองเป็นพิเศษ
แต่เมื่อคิดว่าตอนนี้ตัวเขาเอง ก็ถือได้ว่าเป็นคนที่ทำงานให้กับหยุนหว่านหนิงและโม่เยว่….. ดังนั้นเรื่องอย่างการพิสูจน์ตัวเอง ก็ยังนับว่าจำเป็นอยู่ไม่น้อย
โม่จงหรานมองเขาด้วยสายตาเหนือคาดแวบหนึ่ง “มีความกล้าหาญน่ายกย่อง!”
ถึงกับให้เขาเป็นฝ่ายทดสอบเองได้ตามอำเภอใจ? !
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง คิดในใจว่าควรจะทดสอบเขาอย่างไรดี
ในที่สุดโม่จงหรานก็ยืนขึ้น สองมือไพล่หลังพลางเอ่ยกับเขาว่า “เจ้าลองบอกข้ามาซิ ว่าทำไมก่อนหน้านี้ฝนถึงตกอย่างต่อเนื่องไม่ยอมหยุด จนส่งผลต่อการเก็บเกี่ยวของประชาชน พืชผลในไร่นาเกษตรล้วนจมน้ำตายสิ้น”
ซ่งจื่ออวี๋ขมวดคิ้ว เงยหน้าขึ้นครู่หนึ่ง “ดาวหายนะก่อให้เกิดเภทภัย”
“ดาวหายนะก่อให้เกิดเภทภัย?”
ดวงตาของโม่จงหรานถึงกับสั่นสะท้าน
แต่ไม่นานเขาก็ฝืนระงับความตื่นตระหนกที่ผุดขึ้นในดวงตากลับลงไป แล้วถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดขึ้นมาอีกว่า “เจ้าลองบอกมาซิ ว่าข้ามีความลับอะไร?”
ความลับของเขา?
สีหน้าของโม่เยว่ตึงเครียดขึ้นมาเล็กน้อย
ความลับของฮ่องเต้ ใครกันจะกล้าสอดส่อง?!
ในเมื่อเป็นความลับ ย่อมหมายความว่าแม้แต่พวกเขาที่เป็นลูกชายก็ต้องไม่รู้….. ตอนนี้โม่จงหรานถึงกับบอกให้ซ่งจื่ออวี๋พูดออกมาแบบนี้ เขาไม่สมควรฟัง
โม่เยว่กำลังเตรียมจะทูลลา ก็เห็นโม่จงหรานโบกมือ “เยว่เอ๋อร์ เจ้าอยู่ก่อน”
ความหมายคือ เขาไม่กลัวว่าลูกชายจะรู้ความลับนี้
ในใจของโม่เยว่เดาไม่ถูกเลยว่าเขาต้องการจะสื่ออะไร จึงทำได้แค่นั่งลงแต่โดยดี
เขาเหงื่อท่วมทั้งร่างแทนซ่งจื่ออวี๋แล้วเรียบร้อย
ความลับของฮ่องเต้ใครจะไปล่วงรู้ได้ล่ะ?
ถ้าเกิดว่าซ่งจื่ออวี๋ตอบผิดขึ้นมา … นั่นจะเป็นเรื่องใหญ่ในระดับหัวขาดได้เลยทีเดียว!
ใครจะรู้ว่า ซ่งจื่ออวี่กลับไม่ตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย
เขาแค่มองสำรวจโม่จงหรานอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ทำการทำนาย….. สีหน้าของเขาค่อย ๆ ดูแปลกประหลาดขึ้นมาทุกขณะ เมื่อเขาหันไปมองโม่จงหรานอีกครั้ง ในดวงตาก็ปรากฏแววเหนือคาดขึ้นมาน้อย ๆ
ดู ๆ ไปแล้ว จะเห็นได้ชัดว่าเขาค้นพบอะไรบางอย่างเข้าแล้ว
เมื่อเห็นดังนั้น หัวใจของโม่เยว่ก็กระเด้งกระดอนขึ้นมาแขวนค้างอยู่กลางอากาศ จ้องมองไปที่เขาแบบตาไม่กระพริบ
โม่จงหรานถูกสายตาที่จ้องมองมาของเขา ทำให้รู้สึกกระสับกระส่าย ใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวขึ้นมาเล็กน้อย
เขากระแอมเบา ๆ แล้วถามว่า “เจ้าพบอะไรเข้ารึ?”
เดิมทีคิดว่า ซ่งจื่ออวี๋จะพูดอะไรที่มันน่าตื่นตระหนกตกใจแบบสะท้านฟ้าสะเทือนดินออกมา ใครจะรู้ว่าเขากลับปรายตามองไปทางโม่เยว่แวบหนึ่ง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “มีเรื่องหนึ่ง ที่แม้แต่ฝ่าบาทเองก็อาจจะยังไม่รู้เลยกระมัง?”
เรื่องที่แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รู้ นี่ต้องเป็นความลับในความลับแน่นอนแล้ว!
โม่จงหรานนึกสงสัยอย่างหนัก “เรื่องอะไรรึ?”
“ที่ด้านหลังส่วนล่างของบั้นพระองค์ฝ่าบาท มุมล่างซ้าย มีไฝสีดำเม็ดเล็ก ๆ อยู่เม็ดหนึ่ง”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมา ห้องทรงพระอักษรทั้งห้อง ก็พลันตกอยู่ในความเงียบงันอย่างน่าประหลาด……
ซูปิ่งซ่านฝืนเก็บรอยยิ้มพลางก้มหน้าลงต่ำ โม่เยว่ก็รีบเบนสายตามองออกไปนอกหน้าต่างทันที……มีเพียงโม่จงหรานเท่านั้น ที่ยังคงจ้องมองซ่งจื่ออวี๋นิ่ง ๆ มองแบบไม่ละสายตาอยู่เป็นนานสองนาน
สายตานั้น ดูแล้วช่างเหมือนกับว่าในเสี้ยววินาทีต่อจากนี้ เขาจะอ้าปากสั่งให้คนมาลากตัวอีกฝ่ายออกไปตัดหัวทิ้ง
แต่ซ่งจื่ออวี๋กลับดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนกับเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย
เขายังคงมีสีหน้าสงบราบเรียบ ทั้งยัง….. มองประสานสายตากับโม่จงหรานด้วยความมั่นอกมั่นใจเต็มเปี่ยม
ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่า เขาไปเอาความมั่นอกมั่นใจขนาดนั้นมาจากไหน
ผ่านไปครู่ใหญ่ ๆ โม่จงหรานค่อยขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางหันไปสั่งซูปิ่งซ่านว่า “ซูปิ่งซ่าน! เจ้าตามข้าเข้าไปตรวจดูในห้องโถงด้านในซิ! ถ้าไม่มีไฝนั่น วันนี้ข้าจะถีบเขาออกไปแล้วสั่งกุดหัวทิ้งซะ!”
หน้าแก่ ๆ ของซูปิ่งซ่านดูกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที รีบเดินตามเขาเข้าไปในห้องโถงด้านใน
โม่เยว่รีบยืนขึ้น “พวกเรารีบไปกันเถอะ”
“ทำไมถึงต้องไปล่ะ?”
ซ่งจื่ออวี๋แสดงสีหน้างงงัน
“เสด็จพ่อออกมาแล้วจะกุดหัวเจ้าทิ้งน่ะสิ”
โม่เยว่สีหน้าจริงจัง “ถ้าเจ้าถูกกุดหัวล่ะก็ หนิงเอ๋อร์จะต้องกุดหัวข้าทิ้งด้วยแน่ ดังนั้นอาศัยจังหวะที่เสด็จพ่อยังไม่ออกมา เจ้ารีบหนีเอาชีวิตรอดก่อนเถอะ”
“ทำไมข้าต้องหนีด้วยล่ะ?”
ซ่งจื่ออวี๋ยังคงงงงันไม่หาย
โม่เยว่: “….นี่เจ้าเป็นพวกทึ่มทื่อแบบตอไม้ตายซากหรืออย่างไรกัน?”
“ไม่ใช่ว่าฝ่าบาทเป็นคนสั่งให้ข้าบอกความลับของพระองค์หรอกหรือ?”
ซ่งจื่ออวี๋มองเขาด้วยแววตาที่เหมือนเด็กน้อยช่างสงสัยก็ไม่ปาน “ข้าก็แค่พูดความจริงเท่านั้นเอง ทำไมต้องกุดหัวข้าด้วยล่ะ?”
โม่เยว่: “……”
ความคิดของผู้เชี่ยวชาญในเหตุและผลของโลกนี้ ช่างแตกต่างจากคนทั่วไปอย่างพวกเขาจริง ๆ!
“เสด็จพ่อเป็นถึงฮ่องเต้ เจ้าสามารถพูดความลับเรื่องอื่นได้แท้ ๆ ทำไมถึงพูดเรื่องนี้ออกมาล่ะ? เมื่อครู่นี้ดูเหมือนว่าเสด็จพ่อจะทรงกริ้วมาก ถ้าไม่รีบหนีตอนนี้ จะรอไปจนถึงเมื่อไหร่?”
“ข้าก็แค่พูดความจริงเองนะ”
ซ่งจื่ออวี๋ยังคงยืนกรานอย่างดื้อรั้น
เมื่อเห็นว่าเขาไม่ยอมไป โม่เยว่ก็วางแผนเตรียมจะฟาดท้ายทอยเขาให้เขาหมดสติ แล้วแบกเขาออกไป ก็ได้ยินซ่งจื่ออวี๋พูดขึ้นว่า “ท่านอ๋อง อย่าได้คิดที่จะฟาดท้ายทอยข้าให้หมดสติ แล้วแบกออกไปเด็ดขาด”
“ท่านทำไม่ได้หรอก”
โม่เยว่: “…..”
ช่างเป็นบุคคลที่ร้ายกาจน่าเลื่อมใสจริง ๆ
เขายังไม่ทันคิดหาวิธีแก้ปัญหาวิธีที่สอง เสียงฝีเท้าก็ดังแว่วออกมาจากห้องโถงด้านในแล้ว
ช่างเถอะ!
ทำได้แค่พออยู่ต่อหน้าเสด็จพ่อ ก็ช่วยพูดอ้อนวอนขอร้องแทนเขาเท่านั้นแล้ว!
เขาปรับอารมณ์ของตัวเองให้เข้าที่ สีหน้ามืดทะมึนของโม่จงหรานมาปรากฏอยู่หน้าประตูทางเข้าห้องโถงด้านในเรียบร้อยแล้ว เขาสาวเท้าเดินเข้ามาใกล้ซ่งจื่ออวี๋ทีละก้าว ๆ จ้องมองเขาด้วยแววตามืดทะมึนนั้นชนิดไม่วางตา
เวลาดูเหมือนจะหยุดนิ่งลง
โม่เยว่อดใจไม่ไหวเตรียมจะอ้าปากพูดแล้ว จู่ ๆ โม่จงหรานก็ชิงพูดขึ้นว่า “เจ้าช่างร้ายกาจจริง ๆ”
ถ้าไม่ใช่เพราะสิ่งที่ซ่งจื่ออวี๋พูดในวันนี้ล่ะก็……
เกรงว่าจนกระทั่งตายไป เขาก็คงจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองมีไฝที่บั้นท้ายจริงๆ!
ซูปิ่งซ่านยืนหน้าแดงหูแดงอยู่อีกด้าน
วันนี้ เขาได้เห็นก้นแบบเปลือยเปล่าของฝ่าบาทกับตาตัวเองเลยจริง ๆ ไม่แน่ว่าบางทีอีกอึดใจหลังจากนี้ เขาอาจจะถูกฝ่าบาทสั่งควักลูกตาก็เป็นได้!
โม่เยว่รู้ถึงความสามารถของซ่งจื่ออวี๋นานแล้ว จึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจ
เมื่อได้ยินคำพูดของโม่จงหราน เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
มองจากมุมนี้ นับว่าชีวิตของซ่งจื่ออวี๋รักษาไว้ได้สำเร็จแล้ว
“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงตรัสชม”
ผู้ชายคนนี้ ยอมรับคำชมของโม่จงหรานแบบไม่ถ่อมตนเลยแม้แต่น้อย จากนั้นก็พูดขึ้นอีกว่า “อันที่จริง ข้ายังสามารถเสาะหาความลับของฝ่าบาทได้มากกว่านี้อีก ยกตัวอย่างเช่น…..”
“หุบปาก!”
โม่จงหรานรีบตัดบทคำพูดของเขาทันที “ไม่ต้องพูดแล้วล่ะ! ข้าเชื่อว่าเจ้าเป็นลูกศิษย์ของเสวียนซันเซียนเซิงจริง ๆ”
ถ้าเขาพูดเรื่องอะไรที่มันน่าอับอายกว่านี้ออกมาอีก จะให้เขาเอาหน้าดวงนี้ไปไว้ที่ไหนรึ? !
แต่ตอนนี้เขากำลังลังเลว่า เขาสมควรจะให้ซ่งจื่ออวี๋อยู่ข้างกายดีหรือไม่
คนที่เก่งกาจมีพรสวรรค์เช่นนี้ แน่นอนว่าเสาะหาได้ยากยิ่ง
แต่ถ้าเก็บไว้ ก็เท่ากับว่าเขาวางระเบิดลูกหนึ่งที่ไม่รู้ว่าจะระเบิดเวลาไหนเอาไว้ข้างกาย
“ระเบิด” ลูกนี้ ล่วงรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเขา แต่ตัวเขากลับไม่รู้ว่ามันจะระเบิดเมื่อไหร่ แล้วถ้าวันหนึ่งจู่ ๆ “ระเบิด” ลูกนี้เกิดระเบิดขึ้นมา ตัวเขาย่อมจะถูกระเบิดจนร่างกายแหลกเหลวเป็นชิ้น ๆ กระทั่งกระดูกก็ไม่มีเหลือ!
แต่ถ้าไม่เก็บไว้ คนที่มีความสามารถขนาดนี้ก็นับว่าน่าเสียดายจริง ๆ
ปล่อยซ่งจื่ออวี๋ไป ก็เท่ากับพลาดโอกาสที่จะทำให้หนานจวิ้นเจริญรุ่งเรืองมากขึ้น
นอกจากเสวียนซันเซียนเซิงแล้ว เกรงว่าคงจะไม่มีใครที่มีความสามารถเทียบเท่าซ่งจื่ออวี๋คนนี้แล้วกระมัง?
โม่จงหรานความคิดตีกันไปมาอีนุงตุงนัง
ส่วนลูกระเบิดนามซ่งจื่ออวี๋ที่ยืนอยู่ตรงข้ามเขาก็เอ่ยปากขึ้นว่า: “ฝ่าบาท ที่ท่านไม่กล้าเก็บข้าไว้ คงเพราะเกรงว่าข้าจะทำเรื่องอะไรที่เป็นภัยต่อท่านกระมัง?”
โม่เยว่ตกใจจนผงะ
เจ้าซ่งจื่ออวี๋คนนี้ ไม่รักชีวิตแล้วจริง ๆ สินะ? จะเรื่องอะไรก็กล้าพูดออกมาหมด!
“นี่เจ้าลอบเข้าไปสอดส่องในหัวใจของข้าอย่างนั้นรึ?”
ดวงตาของโม่จงหรานแข็งเยือก จ้องมองซ่งจื่ออวี๋ด้วยแววตาเย็นชา
เมื่อฮ่องเต้ทรงพิโรธ จะต้องไประบายความโกรธกับคนอื่นอีกนับไม่ถ้วน
โม่เยว่รีบพูดแทนซ่งจื่ออวี๋ “เสด็จพ่อ ซ่งจื่ออวี๋เขา … ”
“หุบปาก! ข้าถามเขาอยู่!”
โม่จงหรานตวาดด้วยน้ำเสียงเย็นชา โม่เยว่จำต้องปิดปากของเขาด้วยสีหน้าไม่สบายใจ ส่งสายตาที่สื่อความหมายว่า “ขอให้เจ้าโชคดีในการเอาชีวิตรอดนะ” ไปให้ซ่งจื่ออวี๋แวบหนึ่ง
บรรยากาศในห้องทรงพระอักษร ดูมืดทะมึนเหมือนเมฆฝนที่ตั้งเค้าพร้อมจะตกได้ทุกเมื่อ…..
ทุกคนในพระตำหนักยามนี้ ล้วนตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต!
ในเวลานี้เอง พลันได้ยินเสียงคนเคาะประตูพระตำหนัก “ฝ่าบาท พระชายาหมิงกราบทูลขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”