อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 167 ข้าไม่รู้จะทำอย่างไรกับนางจริง ๆ
หยุนหว่านหนิงมาแล้ว?
นังเด็กตัวแสบนี่มาเอาเวลานี้ ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่!
โม่จงหรานโบกมือด้วยท่าทางเหลืออด “ข้าไม่มีเวลาพบนางจริง ๆ! ให้นางค่อยกลับมาใหม่พรุ่งนี้!”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
แต่ผ่านไม่นาน ด้านนอกก็มีเสียงดัง “เพล้ง ๆ” ลอยแว่วมา ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น
ไม่นานหลังจากนั้น ประตูพระตำหนักก็ถูกผลักเปิดออก ขันทีน้อยที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ ก็วิ่งในสภาพล้มลุกคลุกคลานเข้ามา “ฝ่าบาท ข้าน้อยบอกนางแล้ว แต่พระชายาหมิงไม่เชื่อพ่ะย่ะค่ะ!”
“นางบอกว่า บอกว่าฝ่าบาททรงเป็นถึงกษัตริย์ ไม่มีทางตรัสแล้วคืนคำแน่พ่ะย่ะค่ะ!”
“พูดแล้วคืนคำ? นี่ข้าพูดแล้วคืนคำตั้งแต่เมื่อไหร่?!”
โม่จงหรานโยนเรื่องของซ่งจื่ออวี๋ทิ้งไปทันที แล้วหันไปมองขันทีน้อยด้วยสีหน้าสับสน ชนิดจับต้นชนปลายไม่ถูก
นังเด็กคนนี้ ทำไมถึงได้ก่อความวุ่นวายโดยไม่มีเหตุผลแบบนี้นะ? !
“พระชายาหมิงบอกว่า ท่านเคยลั่นวาจาไว้ชัด ๆ ว่านางสามารถเข้าออกห้องทรงพระอักษรได้โดยอิสระ แต่มาตอนนี้กลับไม่รักษาคำพูดพ่ะย่ะค่ะ!”
ขันทีน้อยตอบด้วยท่าทางไม่สบายใจ
ขันทีน้อยผู้นี้แซ่เหลียง เป็นลูกศิษย์ของซูปิ่งซ่าน เมื่อเห็นว่าเขาพูดจารนหาที่ตายแบบนี้ ใบหน้าแก่ ๆ ของซูปิ่งซ่านก็ซีดเผือด รีบหาทางเปลี่ยนบรรยากาศอย่างรวดเร็ว “ฝ่าบาท หรือไม่ ก็ให้ข้าน้อยออกไปดูสักหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ?”
“เจ้าไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร? เจ้าหยุดนางได้รึ? ขนาดข้ายังไม่รู้จะทำอย่างไรกับนางดีเลย”
โม่จงหรานโบกมือด้วยอาการปวดหัวแปลบ ๆ “ช่างเถอะ ปล่อยให้นางเข้ามา”
เหลียงกงกงจึงรีบออกไป เชิญหยุนหว่านหนิงเข้ามา
นางเพิ่งเดินเข้าประตูมา ไม่รอให้โม่จงหรานเปิดฉาก นางก็ยิ้มจนตายิบหยีแล้วน้อมทักทายอย่างเต็มพิธี “เสด็จพ่อทรงพระเจริญหมื่น ๆ ปี!”
“หมื่นปี? ถ้าข้ายังถูกเจ้าทำให้โกรธอยู่อย่างนี้ อยู่ให้ถึงร้อยปียังยากเลย!”
โม่จงหรานสองตาเบิกโพลง ปากก็ตวาดด่านางจนหนวดเคราปลิวไสว
“จะเป็นไปได้อย่างไรกันเพคะ?”
หยุนหว่านหนิงทำสีหน้าไร้เดียงสา ปากก็พูดประจบสอพลอเยินยอต่อไปอย่างไหลลื่นไม่มีสะดุด “เสด็จพ่อ นี่ท่านประเมินศักยภาพของตัวเองต่ำเกินไปแล้วนะเพคะ! อย่างน้อย ๆ ท่านก็ต้องมีชีวิตอยู่สักร้อยปี หม่อมฉันจะกล้าทำให้ท่านโกรธได้อย่างไรกัน?”
โม่จงหรานแค่นเสียงเย็นชา “มาหาข้ามีเรื่องอะไร?”
“ก็ไม่มีอะไรหรอกเพคะ แค่อยู่ว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำ เลยมาคุยเล่นเป็นเพื่อนเสด็จพ่อ”
หยุนหว่านหนิงเดินไปนั่งลงอีกด้านเองโดยไม่มีใครเชิญ
ไม่เหมือนกับคนอื่นที่พอเข้ามาในห้องทรงพระอักษรแล้ว จะทำได้แค่ยืนนิ่ง ๆ อย่างเคารพให้เกียรติ ประพฤติตนอย่างสุภาพถูกต้องตามระเบียบ เก็บมือเก็บเท้าไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ๆ ด้วยซ้ำ
แต่นางทำเหมือนว่าเดินเข้ามาในบ้านตัวเอง ยังถึงกับรินชาให้ตัวเองด้วยอีกแก้ว
“คุยเล่น?!”
โม่จงหรานเกือบถูกนางทำให้โกรธจนลมจับ “วัน ๆ ข้ามีงานมากมายนับหมื่นนับพันให้ทำไม่เคยว่างเว้น จะไปมีเวลาคุยเล่นกับเจ้าได้อย่างไรกัน?!”
ในสายตาของนาง เขาที่เป็นถึงฮ่องเต้คือคนที่มีไว้เพื่อคุยเล่นอย่างนั้นรึ?!
“หากเสด็จพ่อไม่มีเวลาก็ช่างเถิดเพคะ! หม่อมฉันไม่กล้าบังคับท่านให้มาคุยเล่นเป็นเพื่อนหรอก”
หยุนหว่านหนิงแสดงสีหน้าน้อยอกน้อยใจเสียเต็มประดา
“นี่ยังทำให้เจ้าน้อยอกน้อยใจเข้าแล้ว?”
โม่จงหรานถูกทำให้โกรธจนหูตาพร่าเลือน
โม่เยว่ที่อยู่อีกด้าน ได้เห็นกับตาตัวเองจริง ๆ แล้วว่า ปกติภรรยาของเขาเข้ากันได้ดีกับเสด็จพ่อขนาดไหน ….. เมื่ออยู่ต่อหน้าเสด็จพ่อ นางดูไม่เหมือนสะใภ้ของราชวงศ์เลย
นางเหมือนสะใภ้ของครอบครัวคนธรรมดาทั่วไป
ไม่สิ ยิ่งเหมือนเป็นลูกสาวแท้ ๆ ของโม่จงหรานเลยมากกว่า!
มาทำตัวออดอ้อนเอาแต่ใจเหมือนเด็กต่อหน้าเขาแบบนี้ น่ากลัวว่าต่อหน้าหยุนเจิ้นซง ก็คงยังไม่เคยทำเลยกระมัง?
มิน่าล่ะ เสด็จพ่อถึงได้เตือนเขาอยู่เสมอว่า อย่ารังแกนาง
ที่แท้ก็เป็นเพราะว่าเขาเอ็นดูนางมากจริงๆ
ชั่วขณะนั้นเขาพลันเกิดความรู้สึกสับสนว้าวุ่นในใจ ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกเศร้าให้ตัวเองที่มีฐานะเป็นลูกชายแท้ ๆ ดี หรือควรรู้สึกขอบคุณที่ตัวเองโชคดีมีภรรยาแบบนี้ดี
“เสด็จพ่อ วันนี้ท่านเสวยดินระเบิดเข้าไปหรือเพคะ? อะไรนิดอะไรหน่อยก็ระเบิดแล้ว”
หยุนหว่านหนิงวางถ้วยชาในมือลง มองเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง “อันที่จริงที่วันนี้ข้าเข้าวังมา ก็เพราะมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ”
“มีอะไรจะพูดก็รีบพูดออกมาให้มันเร็ว ๆ เข้า!”
เมื่ออยู่ต่อหน้านาง โม่จงหรานถูกทรมานเสียจนไม่เหมือนฮ่องเต้ผู้สูงศักดิ์เหนือคนทั้งปวงแล้ว
“เสด็จพ่อ ขอท่านโปรดใช้ภาษาอย่างมีอารยะ รับผิดชอบต่อสังคม สร้างความสมานฉันท์ระหว่างท่านข้าและเขา!”
โม่จงหราน: “….เชิญพูดมา”
“นี่นับว่าพอใช้ได้”
หยุนหว่านหนิงยิ้มด้วยความพึงพอใจ “ไม่ใช่ว่าหม่อมฉันจะบังคับควบคุมท่านนะเพคะ แต่ว่าท่านอายุมากแล้ว บวกกับสุขภาพก็ไม่ดี การมีอารมณ์ที่ฉุนเฉียวโมโหง่ายอย่างนี้ ไม่ดีกับท่านเลย….”
“จะพูดหรือไม่พูด? ถ้าไม่พูดก็ไสหัวออกไปซะ! พูดจาสาธยายอะไรยืดยาว จู้จี้จุกจิก หนวกหู!”
โม่จงหรานจ้องมองนางด้วยสายตาเหลืออด
นังเด็กน่ารำคาญ นี่นางไว้หน้าเขาแล้วจริง ๆ ใช่หรือไม่?
“ข้าได้ยินมาว่าที่นี่มีอัจฉริยะท่านหนึ่งอยู่ ดังนั้นเลยตั้งใจแวะมาดูให้เห็นเป็นบุญตาสักหน่อย”
เมื่อเห็นว่าเขาโกรธจนขนชี้ชันจริง ๆ แล้ว หยุนหว่านหนิงก็พูดยาวเหยียดจนจบในลมหายใจเดียวว่า “เสด็จพ่อก็รู้ว่าหม่อมฉันชอบชมดูเรื่องสนุก กับบรรดาอะไรที่มันแปลกใหม่ที่สุด ไม่แน่ว่าบางทีข้าอาจช่วยท่านดู ๆ ได้ว่าอัจฉริยะท่านนี้เก่งกาจสามารถได้ถึงขนาดไหน!”
คำพูดที่ยาวเหยียดขนาดนี้ นางพูดออกมารวดเดียวแทบจะไม่หยุดพักเลย
โม่จงหรานฟังจนรู้สึกอึดอัดทรมานไปหมด เกือบจะหายใจหายคอไม่ทัน
พอบอกให้นางพูดเร็ว ๆ นางก็พูดเสียเร็วขนาดนี้เลย? !
“คนนี้ก็คืออัจฉริยะ”
โม่จงหรานยื่นนิ้วแล้วชี้ตรงไปทางซ่งจื่ออวี๋ ย้ำให้อย่างชัดเจนอีกประโยคด้วยว่า “เป็นอัจฉริยะตัวจริงเสียงจริงเลยล่ะ”
แต่ส่วนที่แปลกก็แปลกอยู่ คือสมองไม่รู้จักพลิกแพลงเอาเสียเลย
กระทั่งเรื่องไฝใต้ก้นของเขา ก็ยังกล้าพูดออกมาได้หน้าตาเฉย…..
เมื่อเห็นสีหน้าห่อเหี่ยวอับเฉาของเขา ที่ดูราวกับว่ามีเรื่องบางอย่างที่ต้องอำพรางซ่อนเร้นเป็นน้ำท่วมปากแบบนี้ สายตาของหยุนหว่านหนิง ก็กวาดมองไปที่โม่เยว่กับซ่งจื่ออวี๋ด้วยความสงสัย
แต่คนแรก กลับแสดงท่าทีที่สื่อความหมายอย่างชัดเจนว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า เป็นเขาที่รนหาที่ตายเอง”
ส่วนคนหลัง เอาแต่ก้มหน้าตั้งสมาธิอยู่กับตัวเอง ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย
ละครฉากเล็กคั่นเวลาสินะ!
นางแย้มรอยยิ้มละไม”ในเมื่อเป็นถึงอัจฉริยะ ทำไมเสด็จพ่อไม่เก็บไว้ใช้งานล่ะเพคะ? เพราะถึงอย่างไรสิ่งที่ราชสำนักขาดแคลนที่สุดตอนนี้ ก็คืออัจฉริยะนี่แหล่ะ!”
“วังหลังห้ามมาก้าวก่ายกับเรื่องการเมือง”
โม่จงหรานตีหน้าขรึม
ตอนนี้รู้จักพูดแล้วเหรอ ว่าวังหลังห้ามเข้ามาก้าวก่ายกับเรื่องการเมือง?
ทีก่อนหน้านี้ข่มขู่นางว่าจะตัดหัวทิ้ง สั่งให้นางคิดแผนกลยุทธ์ทางการเมืองเป็นช่อเป็นฉาก ทำไมไม่เห็นพูดบ้างล่ะ ว่าวังหลังห้ามเข้ามาก้าวก่ายกับเรื่องการเมือง?
หยุนหว่านหนิงกระพริบตาปริบ ๆ “หม่อมฉันแค่ให้คำแนะนำท่านเท่านั้นเองเพคะ”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าไหนลองบอกข้ามาซิ ว่าเขาจะทำอะไรได้บ้างในราชสำนัก?”
“โหรกำมะลอหลิวต้าเหวินนั่นไม่ใช่ว่าถูกตัดหัวไปแล้วหรือเพคะ? ตอนนี้ข้าเห็นว่าชินเทียนเจี้ยนขาดแคลนโหราจารย์ ในเมื่ออัจฉริยะท่านนี้มีความสามารถจนถึงกับเข้าตาเสด็จพ่อได้ ให้เขาเข้ารับตำแหน่งโหราจารย์ประจำสำนักหอดูดาวหลวง จะไม่เหมาะสมหรอกหรือเพคะ?”
หลังจากฟังคำพูดของนางจบ โม่จงหรานก็มองนางอย่างค้นหาแวบหนึ่ง ในดวงตาปรากฏแววซับซ้อน
หลิวต้าเหวินเพิ่งจะถูกสั่งตัดหัว โม่เยว่ก็พาซ่งจื่ออวี๋เข้าวังมาพบเขา
จากนั้นหยุนหว่านหนิงตามหลังมาติด ๆ พยายามพูดจาโน้มน้าวให้ตนแต่งตั้งเขาเป็นชินเทียนเจี้ยน
นี่ไม่ใช่หมากตาหนึ่งที่วางเอาไว้แล้วจริง ๆ น่ะหรือ?
น้ำเสียงของโม่จงหรานสื่อความหมายอย่างมีนัยยะ “เยว่เอ๋อร์ หว่านหนิง พวกเจ้าบอกข้ามาตามตรงซิ ว่านี่เป็นหมากที่พวกเจ้าวางไว้ใช่หรือไม่? กำจัดหลิวต้าเหวิน แล้วให้ซ่งจื่ออวี๋เข้ามาแทนที่”
ดวงตาของโม่เยว่เกิดประกายวาบ
แต่กลับได้ยินหยุนหว่านหนิงตอบรับ พลางพยักหน้าอย่างง่ายดาย “ใช่แล้วเพคะ!”
โม่จื่อหราน: “…..พวกเจ้าช่างบังอาจนัก!”
โม่เยว่รีบพูดว่า “เสด็จพ่อโปรดระงับโทสะด้วย”
หยุนหว่านหนิงกลับไม่ยี่หระเลยแม้แต่น้อย “เสด็จพ่อ ในเมื่อท่านเองก็รู้ว่าหลิวต้าเหวินนั่นเป็นแค่ของปลอม ไม่ได้มีทักษะความสามารถอะไรเลย ถ้ายังเก็บเขาไว้ในราชสำนัก จะไม่เท่ากับว่าท่านปล่อยให้เขากินข้าวหลวงเปล่า ๆ งานการไม่ต้องทำหรอกหรือเพคะ?”
“ถ้าอยากจะเป็นคนที่มีข้าวกิน ก็ควรต้องมีความสามารถในการหาข้าวกิน แล้วก็ต้องมีคุณสมบัติพอที่จะหาข้าวกินได้ด้วยสิ!”
“เรื่องจัดฉากเป็นพวกเราที่ทำไม่ถูก แต่นั่นเป็นความตั้งใจที่จะกำจัดโหรกำมะลอ แล้วคืนโหรผู้มีความสามารถอย่างแท้จริงให้กับท่าน”
หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง สีหน้าของนางก็จริงจังขึ้นเรื่อย ๆ “เสด็จพ่อ นี่เป็นการค้าขายที่มีแต่ได้ไม่มีขาดทุนเลยนะเพคะ”
ทำไมโม่จงหรานจะไม่รู้ ว่าหลิวต้าเหวินนั่นมันสมควรตาย?
โทษของการหลอกลวงเบื้องสูง เป็นโทษที่มีความผิดถึงตายอยู่แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น เขาได้ส่งคนไปตรวจสอบเบื้องหลังมาแล้ว พบว่าหลายปีมานี้เจ้าหลิวต้าเหวินนั่นได้กระทำความผิดมากมาย ทั้งยังละเมิดกฎหมายบ้านเมือง ซึ่งถือเป็นความผิดที่ไม่อาจให้อภัยได้อย่างแท้จริง!
ถ้าจะวิจารณ์กันอย่างเป็นธรรม เรื่องที่หยุนหว่านหนิงกับโม่เยว่ทำ ถือเป็นเรื่องที่ดีซึ่งเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง
แต่ถ้าจะให้เขายอมก้มหน้ารับง่าย ๆ แบบนี้ มันจะทำให้ศักดิ์ศรีและความยิ่งใหญ่น่าเกรงขามในฐานะฮ่องเต้ของเขาต้องเสียหายน่ะสิ!
โม่จงหรานขมวดคิ้วมุ่น
ทันใดนั้นเอง ก็ได้ยินเขาแผดเสียงตวาดอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “ยังกล้าเถียงแบบข้าง ๆ คู ๆ อีกรึ?!”
“ทหาร! ลากพวกเขาสองคนออกไป แล้วฟาดด้วยไม้กระบองให้ตาย!”