อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 168 เขาคือดาวหายนะ
จู่ ๆ โม่จงหรานก็โกรธ หมายจะสั่งให้ทหารลากตัวหยุนหว่านหนิงกับโม่เยว่ออกไปทุบตีด้วยกระบองจนตาย…..
ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น เกรงว่าคงจะถูกทำให้ตกใจกลัวจนฉี่ราดกางเกงไปนานแล้ว
แต่พอเป็นสองคนนี้ กลับดูไม่มีท่าทีว่าเห็นเรื่องเป็นเรื่องคอขาดบาดตายอะไรเลย
หยุนหว่านหนิงส่ายหัวด้วยสีหน้ามุ่งมั่นไม่หวั่นไหว “เสด็จพ่อ หม่อมฉันรู้ดีว่าท่านเป็นคนปากแข็งใจอ่อน อย่างไรท่านก็ไม่มีวันยอมให้คนเอากระบองมาทุบตีหม่อมฉันกับท่านอ๋องจนตายแน่”
โม่เยว่พยักหน้าแสดงท่าทางว่าเห็นด้วย
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าทำไม่ได้?”
โม่จงหรานชำเลืองมองนางด้วยหางตาแวบหนึ่ง “ข้าไม่ใช่คนปากแข็งใจอ่อน แต่เป็นคนปากอ่อนใจแข็งต่างหาก”
“เสด็จพ่อ อย่าเล่นลิ้นสิเพคะ”
หยุนหว่านหนิงหัวเราะฮิ ๆ “ถ้าท่านคิดจะตีพวกเราให้ตายจริง ๆ ซ่งจื่ออวี๋ย่อมต้องกล่าวเตือนพวกเราก่อนแน่ แต่ท่านดูเขาสิ ยังทำตัวปลีกวิเวกสบายอกสบายใจอยู่เลย”
“ย่อมเห็นได้ว่า เสด็จพ่อแค่ขู่ให้พวกเราตกใจกลัวไปอย่างนั้นเอง!”
โม่จงหราน: “…..”
เขาลืมไปเลยว่า ซ่งจื่ออวี๋ยังยืนอยู่ข้าง ๆ อีกทั้งคน
“เจ้าช่างจริงใจเหลือเกินนะ! ถึงกับเอาซ่งจื่ออวี๋มาข่มขู่ข้าเร็วขนาดนี้เลยเชียวรึ? ในเมื่อเขาเป็นคนของพวกเจ้า ข้าเก็บเขาไว้ข้างกาย จะไม่ยิ่งอันตรายกว่าเดิมหรือไร?”
เขาแค่นเสียงเย็นชาขึ้นมาเสียงหนึ่ง
“เสด็จพ่อ ท่านพูดเช่นนี้เท่ากับเห็นพวกเราเป็นคนนอกแล้วนะเพคะ”
หยุนหว่านหนิงแสดงท่าทีไม่เห็นด้วย “ทั่วทั้งหนานจวิ้น ล้วนเป็นของเสด็จพ่อ!”
“แม้ว่าซ่งจื่ออวี๋จะเป็นเพื่อนสนิทของพวกเรา แต่อะไรที่เป็นของพวกเราก็เป็นของท่านด้วยเช่นกัน เขาเองก็ไม่ใช่ว่าเป็นคนของท่านด้วยหรอกหรือ?”
“ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ท่านยังต้องกังวลเรื่องอะไรอีกล่ะเพคะ?”
โม่จงหรานครุ่นคิดอย่างละเอียด ฟังดูเหมือนว่าก็มีเหตุผลจริง ๆ
ด้วยวิธีนี้ หยุนหว่านหนิงก็อาศัยทักษะสาลิกาลิ้นทองของตัวเอง พลิกสถานการณ์กลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างรวดเร็ว โม่จงหรานโบกมือให้ทหารรักษาพระองค์ที่เพิ่งเข้ามาถอยออกไป จากนั้นก็หันไปมองซ่งจื่ออวี๋อย่างพิจารณา
เมื่อครู่นี้ได้ยินหยุนหว่านหนิงพูดว่า….เขาเป็นเพื่อนสนิทของพวกเขา
ในใจของซ่งจื่ออวี๋รู้สึกซับซ้อน
ปีนี้เขาเพิ่งอายุครบยี่สิบสาม ได้เดินทางไปทั่วหล้า ได้พบปะผู้คนมากมายนับไม่ถ้วน แต่นี่นับเป็นครั้งแรกที่มีคนถือว่าเขาเป็นเพื่อน
ก่อนหน้านี้ ใคร ๆ ต่างก็บอกว่าเขาเป็นตัวประหลาด เป็นตัวประหลาดที่สามารถทำนายอนาคตได้
ดังนั้นจึงไม่มีใครอยากเป็นเพื่อนกับเขา เพราะทุกคนต่างก็กลัวว่าจะถูกเขาสอดแนมความลับ หรือถูกอ่านความคิดในใจจนทะลุปรุโปร่ง
แม้ว่าเขาจะเป็นเทียนซือ(นักพยากรณ์) แต่เขาก็เป็นเทียนซือที่มีคุณธรรมนะ!
ใครมันอยู่ดี ๆ ก็จะสอดส่องเข้าไปดูในหัวใจของคนอื่นอยู่ได้ทุกวี่ทุกวันล่ะ?
สิ่งนี้มันต้องใช้พลังปราณด้วยถึงจะสำเร็จ!
ถ้าเขาเอาแต่สอดส่องเข้าไปในหัวใจของคนอื่นตลอดเวลา สิ่งที่เขาจะสูญเสียไปคือจิตวิญญาณ บั่นทอนอายุขัยให้สั้นลง ถ้าเรื่องดำเนินไปเช่นนี้นานเข้า น่ากลัวว่ายังไม่ทันจะได้มีเพื่อน เขาก็คงทำจนตัวเองหมดแรงตายไปก่อนแล้ว!
จะมีก็แต่หยุนหว่านหนิงกับโม่เยว่ ที่ไม่กลัวเขาเลยจริง ๆ…..
มีสองคนผัวเมียนี้ตบอกผาง ๆ รับประกันให้ โม่จงหรานก็เก็บซ่งจื่ออวี๋ไว้ในที่สุด
แต่เขาก็ยังต้องทดสอบซ่งจื่ออวี๋อยู่ดี
“หากภายในหนึ่งเดือนนี้ เจ้าสามารถแก้ปัญหาความอดอยากของประชาชนได้ ชำระล้างชื่อเสียงอันเลวร้ายของค่ายเสินจีออกไปได้สำเร็จ ข้าจะแต่งตั้งเจ้าเป็นชินเทียนเจี้ยนทันที!”
โม่จงหรานมองเขาด้วยสีหน้าจริงจัง
ใครจะคิดว่า เขากลับไม่มีท่าทีหวั่นกลัวเลย
เขายกยิ้มเล็กน้อย “ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาถึงหนึ่งเดือนหรอก แค่ครึ่งเดือน ข้าก็สามารถทำให้พืชผลในไร่นาของประชาชน กลับมาฟื้นคืนชีวิตใหม่ได้อีกครั้งแล้ว”
“โอ๋? นี่เจ้าถึงกับมั่นใจขนาดนั้นเลยเชียวรึ?!”
โม่จงหรานตกตะลึง
แต่เขากลับบังเกิดความเชื่อมั่นประการหนึ่งในตัวของซ่งจื่ออวี๋
ดูเหมือนว่าเจ้าหนุ่มคนนี้ จะเป็นคนที่มีความสามารถจริง ๆ อีกทั้งคำพูดนี้ของเขาก็ไม่เหมือนคำพูดคุยโตโอ้อวดด้วย….. “ได้! ในเมื่อเจ้าว่าเช่นนั้น ข้าก็จะตั้งตารอดูแล้วกัน!”
โม่จงหรานตัดสินใจขั้นสุดท้าย
ทั้งสามออกจากพระราชวังอย่างราบรื่น
“ทำข้าตกใจแทบตายแล้ว”
เพิ่งจะก้าวพ้นออกจากประตูวัง หยุนหว่านหนิงก็ถอนหายใจยาวยืดด้วยความโล่งอก พลางตบ ๆ ที่ตำแหน่งหัวใจไม่หยุด “ข้ายังนึกว่าเสด็จพ่อจะสั่งตัดหัวข้าทิ้งจริง ๆ แล้วนะเนี่ย!”
โม่เยว่: “…..”
“เจ้าถึงกับกลัวเลยรึ? เมื่อครู่นี้ยังเห็นทำตัวเจ๋งเป้งอยู่เลยไม่ใช่หรือไร?”
เขาอยู่กับหยุนหว่านหนิงมานาน ได้เรียนรู้คำศัพท์สมัยใหม่ไปไม่น้อย “ข้ายังคิดว่าเจ้าไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินจริง ๆ เสียอีก”
“ทำไมจะไม่กลัวล่ะ? นั่นคือเสด็จพ่อเชียวนะ! ใคร ๆ ต่างก็ร่ำลือว่าหากเสด็จพ่อคำรามหนึ่งครั้ง ทั้งเมืองหลวงต้องสั่นสะเทือนถึงสามหนเลย!”
นางก็เป็นได้แค่เสือกระดาษเท่านั้นแหล่ะ เข้าใจ๊? !
หยุนหว่านหนิงกลอกตามองบนใส่เขา “ข้าก็แค่แสร้งทำไปอย่างนั้นเองแหล่ะ! อย่ามาขัดแข้งขัดขากันเองจะได้ไหม?”
ใครบ้างล่ะจะไม่กลัวฮ่องเต้?
ฮ่องเต้เปลี่ยนสีหน้าได้เร็วยิ่งกว่าท้องฟ้าเปลี่ยนสีซะอีก แถมในมือก็ยังกุมชีวิตลิขิตความเป็นความตายของทุกคนได้หมด ใครมันจะไปกล้ายั่วยุได้ตามอำเภอใจล่ะ?
โม่เยว่มองนางด้วยรอยยิ้มละไม จากนั้นก็หันไปถามซ่งจื่ออวี๋ว่า “จื่ออวี๋ ที่เจ้าสัญญาต่อเบื้องพระพักตร์เสด็จพ่อ ว่าเจ้าสามารถเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้ภายในครึ่งเดือนนั่น เจ้าทำได้จริง ๆ น่ะรึ?”
“ได้สิ”
ซ่งจื่ออวี๋พยักหน้า “แต่ก่อนหน้านั้น ข้าต้องกลับไปที่ภูเขาหยุนอู้รอบหนึ่งก่อน”
“เจ้าจะไปหาเสวียนซันเซียนเซิงหรือ?”
หยุนหว่านหนิงถาม
“อื้ม”
ซ่งจื่ออวี๋ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ข้าคำนวณออกมาได้แล้ว ว่าฝนที่ตกอย่างต่อเนื่องไม่หยุดในเมืองหลวง มันเกิดจากดาวหายนะก่อให้เกิดเภทภัยจริง ๆ”
เมื่อครู่นี้ตอนที่อยู่ต่อหน้าโม่จงหราน เขาก็พูดแบบนี้เหมือนกัน โม่เยว่ยังคิดไปว่าเขาคงแค่พูดอะไรเรื่อยเปื่อยไม่ถือเป็นจริงเป็นจัง
พอมาดูตอนนี้ เหมือนว่ามันจะเป็นเรื่องจริงสินะ?
“ดาวหายนะ? ดาวหายนะอะไร?”
ในเมื่อซ่งจื่ออวี๋พูดมาขนาดนี้แล้ว ก็เป็นไปได้ว่าจะต้องไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับค่ายเสินจี
“ที่นั่น”
สายตาของเขาเคร่งขรึม แล้วยื่นมือชี้ไปที่ใดที่หนึ่ง
โม่เยว่มองตามทางที่เขาชี้ไป สีหน้าเปลี่ยนทันที แล้วกับหยุนหว่านหนิงมองหน้ากัน “ที่นั่นคือจวนอ๋องหยิง! อย่าบอกว่าดาวหายคือ….”
โม่หุยเฟิง? !
“ถูกต้อง”
ซ่งจื่ออวี๋พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดว่า “ดาวหายนะเพิ่งกลับมาจากทางตะวันตกเฉียงเหนือ นำพาฝันร้ายมาสู่เมืองหลวง”
“แต่ฝนหอบนี้ มันตกมาได้หลายเดือนแล้วนะ เพิ่งจะหยุดไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เอง แล้วพี่สามก็เพิ่งกลับมาจากทางตะวันตกเฉียงเหนือจริง ๆ แต่เขากลับมาถึงเมืองหลวงได้ยังไม่ถึงเดือนเลย ทำไมมันถึงมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาได้ล่ะ?”
โม่เย่วเต็มไปด้วยความสงสัย
หยุนหว่านหนิงก็แสดงท่าทางว่าสงสัยมากเช่นกัน “จื่ออวี๋ เจ้าอย่ามัวทำเป็นอุบเรื่องสำคัญให้คนเขาอยากรู้ มีอะไรก็พูดออกมาให้มันชัด ๆ สิ”
“แม้ว่าดาวหายนะนี้จะเพิ่งกลับมาจากทางตะวันตกเฉียงเหนือ แต่เพราะเขาทำเรื่องชั่วร้ายไว้มากเกินไป ก่อกรรมทำเข็ญจนนับครั้งไม่ถ้วน ดังนั้นเคราะห์ร้ายที่เกิดจากกรรมชั่วกลุ่มก้อนนี้ จึงเกาะติดตามตัวเขามาด้วยตลอดทาง”
สีหน้าของซ่งจื่ออวี๋มืดทะมึนลงเล็กน้อย
โม่เยว่ไม่เอ่ยโต้แย้งแม้แต่คำเดียว
โม่หุยเฟิงคนนี้ ใจคอโหดเหี้ยมวิธีการอำมหิต กระทั่งพี่น้องแท้ ๆ ของตัวเองเขาก็ยังลงมือทำร้ายได้อย่างไม่มีปราณี
ถ้าจะบอกว่าเขาก่อกรรมทำเข็ญไว้มากมาย นั่นนับว่าไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลย
“ถ้าข้าจำไม่ผิดล่ะก็ วันที่ฝนตกหนัก เหมือนจะเป็นวันที่คนใกล้ตัวเขาประสบกับเรื่องเดือดร้อนลำบากพอดี”
เมื่อได้ยินดังนั้น จู่ ๆ หยุนหว่านหนิงก็เหมือนว่าจะฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “ใช่แล้ว! ข้ายังจำวันนั้นตอนที่อยู่ในวังได้ ฉินซื่อเสวียถูกลงโทษให้โบยตีด้วยไม้กระดาน”
ในตอนที่เรื่องขโมยป้ายคำสั่งถูกจับได้ เพื่อจะปกป้องฉินซื่อเสวีย ฮองเฮาจ้าวจึงชิงเป็นฝ่ายสั่งลงโทษให้ตีนางด้วยไม้กระดาน
นั่นเป็นเหตุผลที่โม่จงหรานไม่ได้สั่งลงโทษใด ๆ ต่ออีก
“นางถูกตีจนแท้งลูก แล้วในคืนนั้นเองฝนก็ตกลงมาห่าใหญ่”
หยุนหว่านหนิงย้อนความทรงจำอย่างละเอียดถี่ถ้วน “ในตอนนั้น ข้ายังคิดว่ามันเป็นฝนตกฟ้าร้องของช่วงเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิเสียอีก ใครจะรู้ล่ะว่าฝนหอบนี้กลับตกต่อเนื่องไม่ยอมหยุด ตกตลอดยาวนานถึงเดือนกว่า ๆ แบบนี้”
คืนวันนั้น เกิดฟ้าแลบฟ้าร้อง เสียงดังกึกก้องกัมปนาทไม่หยุด
แม้แต่หยวนเป่า ก็ยังมาขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของนางตลอดคืน ด้วยเพราะถูกความเคลื่อนไหวข้างนอกทำให้ตื่นตระหนกหวาดกลัว
พอได้ยินซ่งจื่ออวี๋พูดแบบนี้ นางก็หวนนึกถึงเหตุการณ์อันแปลกประหลาดในคืนนั้นขึ้นมาได้
ที่แท้ฝนประหลาดหอบนี้ ถึงกับเกิดขึ้นจากผลของบาปกรรมที่ติดตัวโม่หุยเฟิงมา? !
“ในโลกใบนี้ มีเรื่องลึกลับน่าเหลือเชื่อแบบนี้อยู่จริง ๆ น่ะหรือ….”
เรื่อง?
คำพูดเพิ่งจะออกจากปากมาได้ประโยคเดียว จู่ ๆ หยุนหว่านหนิงก็หุบปากฉับ
ขนาดตัวนาง ยังสามารถเดินทางข้ามเวลาจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดมาที่นี่ได้เลย แถมยังพกพาช่องว่างอเนกประสงค์ที่สุดแสนจะมหัศจรรย์พันลึกนั่นติดตัวมาด้วย โลกใบนี้ยังมีเรื่องอะไรที่เป็นไปไม่ได้อีกเหรอ?
เมื่อเห็นว่าเสียงของนางหยุดไปอย่างกะทันหัน โม่เยว่ก็เหลือบตาไปมองนางด้วยความสงสัย
ในเวลานี้เอง หัวไหล่ของหยุนหว่านหนิงก็ถูกใครคนหนึ่งตบเบา ๆ “หว่านหนิง ทำไมถึงได้…..”
นางหวีดร้องเสียงแหลมด้วยความตกใจขึ้นมาทันที “อ๊า!”
หยุนหว่านหนิงรีบหันกลับไปมอง หลังจากเห็นชัดเจนดีแล้วว่าคนที่ตบไหล่นางจากข้างหลังคือใคร นางก็ถลึงตามองพลางแผดเสียงใส่ด้วยความโกรธเคืองว่า “เจ้ารนหาที่ตายรึ!!”