อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 174 โลกนี้มันกลมจริงๆ
ช่วงบ่ายวันนั้น หยุนหว่านหนิงเข้าวังไปพร้อมกับโม่เฟยเฟย
นางไปยังห้องทรงพระอักษรก่อน เพื่อไปลองหยั่งเชิงโม่จงหราน
ที่ไหนได้ นนี้แดดออกทางทิศตะวันตกจริงๆ แม้แต่นางโม่จงหรานก็ไม่ให้พบ
ซูปิ่งซ่านยืนอยู่บ้านนอกประตู พร้อมพูดโน้มน้าวด้วยสีหน้าลำบากใจว่า “พระชายาหมิง พระชายากลับไปก่อนเถอะ ฝ่าบาทมีรับสั่ง ไม่พบใครทั้งนั้น”
“ไม่พบจริงๆ?”
หยุนหว่านหนิงไม่แล้วใจ
“ไม่พบจริงๆ”
ซูปิ่งซ่านส่ายหัว สีหน้าจริงจังอย่างมาก
“งั้นก็ได้”
หยุนหว่านหนิงก็ไม่ใช่คนไม่รู้ความ เดินไปสองก้าวแล้วหันกลับมามอง เห็นซูปิ่งซ่านยังยืนด้านนอกประตู เห็นได้ชัดว่ากลัวนางย้อนกลับไป
ดังนั้นจึงมองตามนางตลอด รอนางเดินไปไกลแล้วค่อยเข้าไปในห้องทรงพระอักษร
“เสด็จพ่อกำลังทำอะไร?”
หยุนหว่านหนิงเอามือกอดอก เดินเข้าไปในอี้ว์ฮวาหยวน
กับโม่จงหราน ตอนนี้นางเข้าใจดีแล้ว
ถึงเขาจะเป็นฮ่องเต้มีอำนาจเหนือผู้คน แต่เป็นคนหน้าคดใจดี กับนางที่เป็นลูกสะใภ้คนนี้ ก็รักและเอ็นดูด้วยใจจริง รักและปกป้องเหมือนอย่างลูกสาวคนหนึ่ง
ยิ่งไปกว่านั้น ปกติเขาก็รักและเอ็นดูโม่เฟยเฟยที่สุด?
หวนคิดถึงวันนั้นที่เขาทะเลาะกับเต๋อเฟย เขาบอกกับนางว่าเรื่องนี้จะต้องเป็นที่รู้กันไปทั่วทั้งวังหลัง…..
ตอนนั้นหยุนหว่านหนิงยังคิดไม่ถึง ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น
แต่ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ เต๋อเฟยป่วย ซุนตายิ่งเป็นที่โปรดปราน โม่เฟยเฟยตกที่นั่งลำบาก
รวมเรื่องทุกอย่างไว้ด้วยกันแล้ว นางมักคิดว่า เบื้องหลังมีม่านอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นซ่อนอยู่ ปกคลุมพวกเขาทั้งหมดไว้
มีแผนร้าย
มีแผนร้ายแน่นอน
อีกอย่าง แผนร้ายนี้ก็เกี่ยวข้องกับโม่จงหราน….
“เสียดายซ่งจื่ออวี๋กลับภูเขาหยุนอู้แล้ว ยังไม่กลับมาเมืองหลวง”
หยุนหว่านหนิงส่ายหัว พร้อมขมวดคิ้ว
ก่อนหน้านี้ ซ่งจื่ออวี๋ยังบอกว่ากลับภูเขาหยุนอู้ อีกวันหนึ่งก็สามารถกลับเมืองหลวง แต่ผ่านไปห้าหกวันแล้ว ไม่เห็นมีข่าวของซ่งจื่ออวี๋
เมื่อวานนางก็ตั้งใจจะไปภูเขาหยุนอู้แล้ว
กลับจู่ๆก็ได้รับสาร์นนกพิราบของซ่งจื่ออวี๋ บอกว่าเจอปัญหาด่วน อีกสองวันถึงจะกลับมาได้
หากซ่งจื่ออวี๋อยู่ นางต้องให้เขาคำนวณดู ในใจโม่จงหรานคิดยังไง
แต่เสียดาย ซ่งจื่ออวี๋ยังไม่กลับมา
คิดไปคิดมา หยุนหว่านหนิงเตรียมที่จะไปตำหนักหย่งโซ่ว ดูว่าเต๋อเฟยป่วยจริงหรือเปล่า
หลายวันมานี้นางไปได้ไปตำหนักหย่งโซ่ว เพราะนางทำให้เต๋อเฟยโกรธจริงๆ
วันนี้เพื่อโม่เฟยเฟย นางจึงต้องไป
ที่ไหนได้ เพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงโอ้ยดังขึ้น…..หยุนหว่านหนิงที่เดินเหม่อ ค่อยได้สติกลับมา มองดูตรงหน้าคือนางเดินชนผู้หญิง
สีหน้านางกำนัลพวกนั้นตื่นเต้น รีบช่วยพยุงนางขึ้นมา
“นายหญิงนายหญิงท่านไม่เป็นไรใช่ไหม?”
นายหญิง?
หยุนหว่านหนิงมองดูผู้หญิงที่ล้มอยู่บนพื้น คิดในใจว่าที่แท้ก็เป็นหนึ่งในเมียน้อยโม่จงหราน
ตั้งแต่โบราณมา ฮ่องเต้ล้วนมีสามพระตำหนักหกหมู่เรือน โม่จงหรานก็ไม่ยกเว้น
เขามีนางงามในวังในสามพันนาง สนมมีมากจนนับไม่ถ้วน
เขาพูดกับหยุนหว่านหนิงด้วยตนเองว่า เขายังไม่รู้เลยว่าในวังหลังของเขา เลี้ยงสนมไว้กี่คน จคนำไม่ได้ทั้งหมด จำชื่อจำหน้าตาพวกนางไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าร่วมนอนกับทุกคนแล้ว
หากนอนครบจนหมด เขาคงถูกบีบจนแห้งแน่
ในวังหลังที่ถูกเรียกว่านายหญิง….ปกติคือสนมที่สถานะด้อยกว่าสนม
ต่อให้เจอหยุนหว่านหนิง พวกนางก็ควรทำความเคารพนางถึงจะถูก
หยุนหว่านหนิงไม่รู้จัก‘นายหญิง’คนนี้ จึงไม่พูดอะไร เพียงยืนอยู่กับที่รอนางทำความเคารพ นางตอบโต้
ใครจะรู้ว่า ‘นายหญิง’ คนนี้ไม่ได้รับการเคารพนาง หลังพวกนางกำนัลของนางช่วยกันพยุงนางขึ้นมา แล้วก็ยกมาขึ้นมาจะตบหน้าหยุนหว่านหนิงอย่างไม่พูดไม่จา
“ไม่มีตาหรือไง คนอย่างข้าคู่ควรที่เจ้าจะมาเดินชนหรือ?”
ยังตบไม่ถึงใบหน้าหยุนหว่านหนิง มือของซุนตายิ่งก็ถูกนางคว้าจับไว้แล้ว
“เจ้ากำลังพูดกับข้า?”
หยุนหว่านหนิงเลิกคิ้วมองดูนาง พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าพระชายาไม่รู้‘นายหญิง’อะไร อยากคุยกับข้า ก็บอกชื่อตระกูลมาก่อน”
ได้ยินนางเรียกตัวเองว่า พระชายา……
แววตาซุนตายิ่งสั่นไหว
แต่คิดว่าตอนนี้นางเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ จึงมีความมั่นใจขึ้นมา นางยืนตรงอยากชักแขนกลับ แต่ใช้แรงดึงดูแล้วหลายครั้ง หยุนหว่านหนิงกลับยิ่งคว้าจับแน่น
ซุนตายิ่งเจ็บจนกัดฟันพูดขึ้นว่า “เจ้า เจ้าปล่อยข้า”
“คนอะไร กล้ามาแตะต้องข้า?”
หยุนหว่านหนิงปล่อยมือแล้วผลัก ซุนตายิ่งล้มลงพื้นอีกครั้ง
เมื่อกี้เพียงแค่ถูกชนล้มลงไป ครั้งนี้เท้าพลิก ล้มเข้าไปในแปลงดอกไม้ด้านข้าง
“นายหญิง…..”
พวกนางกำนัลร้องขึ้นมาอย่างตกใจ พร้อมวิ่งไปตรงแปลงดอกไม้ แล้วพยุงซุนตายิ่งขึ้นมา
บนหัวซุนตายิ่งเต็มไปด้วยต้นหญ้าใบไม้ ชายกระโปรงก็เปื้อนไปด้วยโคลน
ผมเพ้ายุ่งเหยิง สีหน้าย่ำแย่….
“เจ้า เจ้าบังอาจมาก เจ้ารู้ไหมว่าข้าเป็นใคร”
นางไม่ทันได้สนใจสภาพตนเอง เพียงจ้องมองดูหยุนหว่านหนิงที่เป็นต้นเหตุ พร้อมพูดขึ้นอย่างดุร้ายว่า “เจ้ากล้าทำกับข้าเช่นนี้ ข้าจะไปฟ้องฮ่องเต้ให้ตัวหัวเจ้า”
สายตาหยุนหว่านหนิงเยือกเย็น
เห็นทีคนนี้ก็คือคนโปรดคนใหม่ของโม่จงหราน ซุนตายิ่ง
เฮ้อ วันนี้โลกช่างแคบจริงๆ
โม่จงหรานข่มขู่จะตัดหัวนางบ่อยครั้งก็ช่างเถอะ ซุนตายิ่งคนนี้ เป็นใครกัน?
“ที่แท้เจ้าก็คือซุนตายิ่ง?”
“ในเมื่อเจ้ารู้จักข้า ก็รีบคุกเข่าขอโทษข้า ไม่แน่ข้าอาจจะไว้ชีวิตเจ้า”
ซุนตายิ่งใจเต้นรุนแรง สายตาฉายแววได้ใจ
เห็นท่าทีนางวางมาด หยุนหว่านหนิงหัวเราะเย้ยในใจ เดินเข้าไปใกล้นาง พร้อมพูดขึ้นว่า “ใช่หรือ? งั้นเจ้ารู้ไหม ข้าคือใคร?”
เวลานี้ นางกำนัลด้านหลังซุนตายิ่ง กระซิบพูดข้างหูนางว่า
“นายหญิง คนนี้คือพระชายาหมิง ท่านมีเรื่องด้วยไม่ได้”
“พระชายาหมิง?”
สายตาซุนตายิ่งฉายแววสงสัย
จะโทษนางที่ไม่รู้จักหยุนหว่านหนิงก็ไม่ได้
หยุนหว่านหนิงเข้าออกในวังหลังน้อยครั้งมาก เข้าวังมาถ้าไม่ไปยังห้องทรงพระอักษร ก็ไปยังตำหนักหย่งโซ่ว แม้แต่ตำหนักคุนหนิงก็ไปน้อยครั้งมาก
ส่วนซุนตายิ่งคนนี้ เพิ่งถูกส่งเข้าวังมาเมื่อเดือนที่แล้ว
ดังนั้นไม่รู้จักหยุนหว่านหนิง ก็ไม่น่าแปลก
“พระชายาหมิง แล้วยังไง?”
นางพูดขึ้นมาอย่างไม่แยแสว่า “ข้าเป็นผู้หญิงของฮ่องเต้ เจ้าพบเจอข้า ควรเรียกข้าว่าซุนเหนียงเหนียงถึงจะถูก”
ได้ยินแบบนี้ หยุนหว่านหนิงหัวเราะ
แม้แต่พวกนางกำนัลด้านหลังซุนตายิ่ง ก็มองดูนางอย่างตกตะลึง…..
สมองซุนตายิ่งไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหม?
ต่อหน้าพระชายาหมิง ให้เรียกนางว่าซุนเหนียงเหนียง?
เกรงว่าอีกเดี๋ยวตนเองตายยังไงก็ไม่รู้
เห็นว่าห้าม‘ซุนเหนียงเหนียง’รนหาที่ตายไม่ได้ พวกนางกำนัลต่างพากันถอยหลังหนึ่งก้าว รักษาระยะห่างไว้กับนาง เพื่อความปลอดภัยของตนเอง
หยุนหว่านหนิงไม่โกรธกลับหัวเราะ
จู่ๆนางก็เอื้อมมือมา คว้าจับคางซุนตายิ่ง พร้อมพูดขึ้นว่า “ซุนเหนียงเหนียง?”
“ใครให้ท้ายเจ้ากล้าพูดเช่นนี้? หากข้าไม่เรียก เจ้าจะทำไม?”
ปากซุนตายิ่งเปลี่ยนเป็นรูป “O” นางขมวดคิ้วเจ็บปวด พูดอะไรไม่ออก
“วันนี้บังเอิญจริงๆ เจ้าโผล่มาหาข้าด้วยตนเอง”
หยุนหว่านหนิงหัวเราะเย้ย พร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่อย่างนั้น ข้าก็จะไปหาเจ้า ตอนนี้สะดวกแล้ว เจ้ามากับข้า ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า”
พูดเสร็จ นางก็ฉุดดึงอย่างแรง
โดยบีบหน้าซุนตายิ่ง ลากตัวนางไปยังในส่วนลึกของอี้ว์ฮวาหยวน