อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 193 เจ้าว่ามันน่าโมโหหรือไม่
ม่านราตรีมาถึง เวลาล่วงเลยไปอีกหนึ่งวัน
สำหรับซุนตายิ่ง เมื่อครู่คือการประสบกับความอัปยศอีกครั้ง
เนื่องจากตำหนักซีเยว่ถูกรื้อ ดังนั้นตอนนี้นางจึงไม่มีที่อยู่ ส่วนฮองเฮาจ้าวเพื่อแสดงความเมตตาใจกว้างในฐานะฮองเฮาของตน และเพื่อดับเพลิงพิโรธของโม่จงหรานในเรื่อง ‘โม่หุยเฟิงถูกกักบริเวณ’ ลงบ้าง
ดังนั้นจึงสั่งให้ซุนตายิ่งเข้ามาอยู่ในตำหนักปีกของตำหนักคุนหนิง
นี่คือครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่นางสนมได้รับเกียรติเช่นนี้ ถึงกับสามารถอยู่ตำหนักร่วมกับฮองเฮา!
หลังจากเกาะฮองเฮาที่เป็นไม้ใหญ่ผู้นี้แล้ว ซุนตายิ่งย่อมต้องแบ่งเบาคลายความกังวลของฮองเฮาอย่างสุดความสามารถ
ยั่วยวนโม่จงหรานทุกวัน
แต่น่าเศร้า นางล้มเหลวทุกวัน
วันแรกที่เข้าอยู่ในตำหนักคุนหนิง ด้วยความเห็นชอบจากฮองเฮาจ้าว นางจึงไปพบโม่จงหรานอย่างแทบอดรนทนไม่ไหว ทั้งแสดงออกอย่างเขินอาย ให้ฝ่าบาทพำนักอยู่ที่ตำหนักคุนหนิงตอนกลางคืน
โม่จงหรานปฏิเสธอย่างไร้ไมตรี
วันถัดมา นางแต่งเนื้อแต่งตัวดั่งบุปผาแย้มบานไปห้องทรงพระอักษรอีกอย่างไม่ตายใจ
โม่จงหรานปิดประตูไม่พบ
วันที่สาม นางทำเป็นกำลังชมดอกไม้อยู่ในอุทยานหลวง และพบเขากับโม่จงหรานที่เดินผ่านมาพอดีโดย ‘บังเอิญ’ ทั้งยังเล่นลูกไม้แกล้งเท้าแพลง อยากให้ฮ่องเต้ส่งกลับไป
โม่จงหรานสั่งให้ซูปิ่งซ่านส่งนางกลับไป ด้วยใบหน้ารังเกียจเต็มประดา
วันที่สี่…
จำไม่ได้แล้ว นี่มันวันที่เท่าไรแล้ว
สรุปแล้ว ทุกวันยามโพล้เพล้ นางก็เตรียมตัวเสร็จแล้ว หลังจากแช่ตัวอยู่ในน้ำผสมกลีบดอกไม้ครึ่งชั่วยามเต็มๆ แช่จนผิวหนังทั้งตัวเหี่ยว ถึงจะลุกขึ้นอย่างพอใจ
เข้าห้องทรงพระอักษรด้วยเรือนร่างหอมกรุ่นและความคาดหวังเต็มเปี่ยม
แต่น่าเศร้า นางถูกโม่จงหรานโยนออกมาอย่างไม่ไว้ไมตรีแม้แต่น้อย
เหตุผลคือ กลิ่นบนตัวเจ้าฉุนจนคลื่นเหียน ข้าแพ้กลีบดอกไม้ รีบหายตัวไปจากตรงหน้าข้าเร็ว!
โม่จงหรานจามไม่หยุด ซุนตายิ่งจากไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
ไหนเลยจะรู้ พอออกจากห้องทรงพระอักษรก็พบกับหยุนหว่านหนิง
ถูกนางเย้ยหยันอีกยกใหญ่!
ซุนตายิ่งปิดหน้าวิ่งหนี…
“เหนียงเหนียง เรื่องนี้พระชายาหมิงจะกำเริบเสิบสานเกินไปแล้วนะเพคะ! หรือว่าเหนียงเหนียงจะปล่อยให้นางทำเช่นนี้ต่อ เห็นวังหลังเป็นถิ่นของตัวเอง!”
นางกำลังร้องไห้ฟ้องอยู่ตรงหน้าฮองเฮาจ้าว
สีหน้าฮองเฮาจ้าวย่ำแย่อย่างหนัก
หลายวันมานี้โม่หุยเฟิงเกิดเรื่อง ชื่อเสียงหยุนธิงหลานเหม็นโฉ่ ทำให้โม่หุยเฟิงพลอยลำบากอีกครั้ง…
จวนเฉิงเซี่ยงยากจะรักษาเอาตัวรอด โม่หุยเหยียนก็ช่วยอะไรไม่ได้
นางไม่เจอตัวโม่จงหราน ขอร้องแทนโม่หุยเฟิงไม่ได้ ได้แต่ดูโม่เยว่ได้รับความสำคัญจากฮ่องเต้มากขึ้นเรื่อยๆ
ฮองเฮาจ้าวร้อนใจดั่งไฟ!
แต่นางกลับไร้หนทาง!
ด้วยความจำเป็น นางจึงได้แต่วางแผนกับซุนตายิ่ง
นังแพศยาน้อยนี่ แม้จะโง่งมไปหน่อย แต่ก็มีจิตใจมุมานะในการ ‘ขึ้นสูง’
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่านางต้องการผู้หญิงที่โง่งมสักหน่อย
หนึ่ง นางจะได้ควบคุมง่าย
สอง เต๋อเฟยก็มิใช่คนโง่หรือ
ฝ่าบาทโปรดปรานแต่เต๋อเฟยหลายปีปานนั้น ตอนนี้ก็ถือว่าแหนงหน่ายแล้ว นางจึง ‘คัดลอก’ ‘เต๋อเฟย’ ที่สาวกว่าและโง่งมกว่าออกมาอีกคนอย่างสมบูรณ์แบบ!
และซุนตายิ่ง ก็คือตัวเลือกที่ดีที่สุดพอดี
ครั้นเห็นนางร้องไห้รื้นน้ำตา ฮองเฮาจ้าวรู้สึกเพียงปวดหัว
แต่ก็ยังฝืนตั้งสติ กดความหงุดหงิดในดวงตา “ซุนตายิ่ง เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เจ้าเล่าความกับข้ามาดีๆ”
“เหนียงเหนียง วันนี้ฝ่าบาทก็ยังไม่ยอมเสด็จมาตำหนักคุนหนิงเพคะ”
ซุนตายิ่งสะอึกสะอื้น ดวงตาทั้งแดงทั้งบวม “หม่อมฉันไม่ยอมแพ้ ก็เลยรออยู่ข้างนอกห้องทรงพระอักษร”
“ไหนเลยจะรู้ พระชายาหมิงมาพอดี เย้ยหยันหม่อมฉันยกใหญ่เพคะ!”
ครั้นนึกถึงเรื่องที่หยุนหว่านหนิงทำกับนางและพี่ชายในระยะนี้ ซุนตายิ่งก็แทบอยากจะฆ่านาง “เหนียงเหนียง! พระชายาหมิงจะบังอาจไปแล้วเพคะ!”
“ก็ไม่รู้ว่าทำไม ฝ่าบาทถึงทรงอนุญาตให้นางเข้าออกห้องทรงพระอักษรได้อิสระ”
“อภัยที่หม่อมฉันพูดมา…”
นางเงยหน้า มองฮองเฮาจ้าวด้วยความระมัดระวัง “เหนียงเหนียง ในวังมีกฎ วังหลังจะก้าวก่ายราชกิจไม่ได้เพคะ!”
นางคิดจะเตือนฮองเฮาจ้าว ว่าหยุนหว่านหนิง ‘ก้าวก่ายราชกิจ’ แล้ว ต้องลงโทษให้หนัก!
ไหนเลยจะรู้ ฮองเฮาจ้าวถอนหายใจ “เจ้านึกว่าข้าไม่รู้หรือ วังหลังก้าวก่ายราชกิจไม่ได้”
“แต่ฝ่าบาททรงยืนกราน ข้าก็จนหนทาง!”
วังหลังห้ามก้าวก่ายราชกิจจริง แต่หยุนหว่านหนิงทำได้!
เพียงแค่เรื่องนี้ ฮองเฮาจ้าวก็โมโหจนกัดเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้ว…สะใภ้ของนางสองคน กลับไม่มีสักคนที่ได้รับอภิสิทธิ์และเกียรติเช่นนี้
ไม่มีสักคนที่เข้าสายพระเนตรฝ่าบาท!
โจวหยิงหยิงก็ช่างเถอะ นั่นก็คนโง่งมเหมือนกัน!
ใครจะรู้ว่าคือหยุนหว่านหนิง!
นังแพศยาน้อยนี่ เมื่อก่อนก็โง่นักมิใช่หรือ
ตอนนี้ทั้งเก่งกล้า ทั้งไวเป็นกรด แถมฝ่าบาทยังเอาแต่เชื่อนาง…เจ้าว่ามันน่าโมโหหรือไม่!
“เหนียงเหนียง บางทีฝ่าบาทอาจถูกพระชายาปิดพระเนตรพระกรรณอยู่ล่ะเพคะ”
ซุนตายิ่งมองข้างนอกอย่างระแวดระวัง เห็นจางหมัวมัวกำลังเฝ้าอยู่ที่ปากประตู ดังนั้นจึงวางใจเอ่ย “หม่อมฉันได้ยินมาว่า ฝ่าบาททำตามพระชายาหมิงทุกอย่าง ต้องการอะไรก็ได้หมดเพคะ!”
กับแค่เรื่องนี้ พูดอย่างกับนางไม่รู้อย่างนั้นแหละ!
ฮองเฮาจ้าวมองนางอย่างดูแคลนไม่สบอารมณ์ “แล้วอย่างไร”
“ดังนั้นหม่อมฉันจึงสงสัย…พระชายาหมิงกับฝ่าบาท ต้องมีสัมพันธ์คลุมเครือแน่เพคะ!”
ซุนตายิ่งฮึดความกล้าพูด
เมื่อสิ้นเสียง ฮองเฮาจ้าวก็ตบหน้านางฉาดหนึ่ง “บังอาจ! อะไรก็กล้าพูดออกมาได้ ไม่ต้องการหัวหมูนี้ของเจ้าแล้วหรือ”
ฮองเฮาจ้าวจ้องนางด้วยความดุดัน
ซุนตายิ่งถูกตบล้มไปอยู่กับพื้น
“เหนียงเหนียง! หม่อมฉันแค่คาดเดาเพคะ!”
นางกุมใบหน้า เงยหน้ามองฮองเฮาจ้าวด้วยความน้อยใจ “พระชายาหมิงทั้งสาวทั้งสวย แถม…”
“เจ้ายังกล้าพูดอีก!”
ฮองเฮาจ้าวมองจากที่สูง สีหน้าดุดันถึงที่สุด “เจ้ายังอยากมีชีวิตอยู่หรือไม่!”
เมื่อนั้นซุนตายิ่งจึงเงียบปากด้วยความน้อยใจ
ฮองเฮาจ้าวเดือดดาล
จางหมัวมัวที่อยู่ปากประตูรีบเข้ามาปลอบ ฮองเฮาจ้าวนั่งลงอีกครั้ง ความโกรธเกรี้ยวบนใบหน้ายังไม่จางหาย “ซุนตายิ่ง อะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด”
“เจ้าเข้าวังมานานขนาดนี้แล้ว ข้านึกว่าเจ้าจะรู้แล้วเสียอีก!”
หากคำพูดนี้แพร่ออกไป ไม่เพียงแต่ซุนตายิ่งที่จะรักษาชีวิตไม่ได้
เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าฮองเฮาจ้าวก็จะพลอยลำบากไปด้วย!
คนโง่!
นางก่นด่าในใจ
“เพคะ หม่อมฉันทราบแล้ว ขอบพระทัยเหนียงเหนียงที่ทรงสั่งสอน”
ซุนตายิ่งก้มหน้าอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม น้ำตาร่วงพรูราวกับมุกสายขาด
เมื่อเห็นดังนั้น ฮองเฮาจ้าวจึงอดกลั้นความพิโรธ ส่งสายตากับจางหมัวมัว จางหมัวมัวพลันรับทราบ เดินไปประคองซุนตายิ่งลุกขึ้น “นายหญิง เหนียงเหนียงหวังดีต่อท่านหรอกนะ!”
“หากคำพูดพวกนี้ทราบไปถึงพระกรรณฝ่าบาท จะต้องหัวหลุดจากบ่า!”
“ข้ารู้แล้ว”
ซุนตายิ่งกัดริมฝีปากน้อยใจ ท่าทางอดกลั้นต่อความอัปยศทำงานใหญ่ได้ แต่กลับเชื่อฟังแต่โดยดี
เมื่อนั้นฮองเฮาจ้าวจึงเอ่ยปาก “ฝ่าบาทโปรดปรานเจ้านานเพียงนี้ ทำไมท้องเจ้ายังไม่มีวี่แววอีก”
“ตามหมอหลวงมาดูแล้วหรือ ร่างกายไม่มีปัญหากระมัง”
ครั้นพูดถึงเรื่องนี้ ซุนตายิ่งก็ร้องไห้หนักกว่าเดิม
ฮองเฮาจ้าวรำคาญ “มีอะไรก็พูด ร้องไห้ทำไม!”
“เหนียงเหนียง หม่อมฉันมีความทุกข์เพคะ!”
ซุนตายิ่งที่จางหมัวมัวเพิ่งประคองลุกขึ้นมา คุกเข่าตรงหน้าฮองเฮาจ้าว กอดขาทั้งสองแน่น “เหนียงเหนียง ต้องคืนความเป็นธรรมให้หม่อมฉันด้วยนะเพคะ!”
ฮองเฮาจ้าวถามเสียงหนัก “เรื่องอะไรอีก!”