อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 204 อยู่พักที่เรือนชิงหยิ่ง
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 204 อยู่พักที่เรือนชิงหยิ่ง
เรื่องที่เต๋อเฟยกับโม่จงหราน ‘คืนดีกัน’ ทำให้เกิดคลื่นขนาดใหญ่ในวังหลัง
เหล่านางสนมต่างนึกว่าการที่เต๋อเฟยถูกโม่จงหรานละเลยในครั้งนี้ ต้องหมดโอกาสกลับมาเป็นที่โปรดปรานอีกแน่
เพราะโม่จงหรานโปรดแต่นางมายี่สิบกว่าปีแล้ว…
ช่วงเวลายาวนานเช่นนี้ อย่างไรก็ควรเบื่อได้แล้วกระมัง
ไหนเลยจะรู้ ว่าครั้งนี้ทั้งสองจะคืนดีเหมือนดังเก่าก่อนเร็วขนาดนั้น แล้วยังดูหวานชื่นกว่าวันวานด้วย โม่จงหรานพักอยู่ที่ตำหนักหย่งโซ่วทุกวัน เหล่านางสนมต่างอิจฉาตาร้อนไปหมดแล้ว
นี่อย่างไร ซูเฟยจึงมาตำหนักคุนหนิงร้องห่มร้องไห้ระบายความทุกข์
“เหนียงเหนียงเพคะ นี่จะน่าขยะแขยงเกินไปแล้ว! เต๋อเฟยอายุมากความงามถดถอย ไม่รู้ฝ่าบาททรงโปรดนางที่ตรงไหน! กินหมั่นโถวจืดชืดก็กินมาแล้วยี่สิบกว่าปี สมควรแก่การเบื่อหน่ายแล้ว ฝ่าบาทจะไม่เปลี่ยนรสชาติบ้างหรือเพคะ!”
นางบิดผ้าเช็ดหน้าผ้าไหม น้ำตาอาบแก้ม
ฮองเฮาจ้าวมองนางอย่างไม่สบอารมณ์ทีหนึ่ง
บอกว่าเต๋อเฟยอายุมากความงามถดถอย?
เต๋อเฟยยังจะเด็กกว่านางสี่ปีแน่ะ
ซูเฟยบอกว่าเต๋อเฟยอายุมากความงามถดถอย เช่นนั้นนางที่เป็นฮองเฮาก็ไม่มีหน้าพบผู้คนยิ่งกว่าอีกนะสิ!
“หมั่นโถวจืดชืดแล้วอย่างไร ฝ่าบาททรงยินดีกินหมั่นโถวยี่สิบปี กลับเป็นข้าเสียอีกที่มีอายุแล้ว สำหรับฝ่าบาทคงเป็นได้แค่ข้าวต้ม”
ฮองเฮาจ้าวหัวเราะเย็น “กินไม่ติดร่องฟัน แต่ก็ไม่อยู่ท้อง ดังนั้นถึงไม่ได้รับสายพระเนตรแม้แต่น้อย”
“หรือไม่ ข้าก็คือปิ่ง(*แผ่นแป้งอบ)ชิ้นหนึ่ง ยับยู่ยี่จนฝ่าบาททอดพระเนตรเห็นแล้วยังทรงไม่อยากพระกระยาหาร”
ว่าแล้วนางก็เหล่มองซูเฟย “กลับเป็นเจ้าที่อายุยังน้อยมีความสามารถ เหมือนซาลาเปาที่หอมกรุ่น แต่น่าเสียดาย กลับไม่สามารถทำให้ฝ่าบาททรงมีความต้องการได้”
เมื่อซูเฟยได้ฟัง สีหน้าก็กระด้างไป
นางรีบลุกขึ้นแล้วคุกเข่า “เหนียงเหนียง เมื่อครู่หม่อมฉันมิได้ตั้งใจเพคะ…หม่อมฉันปากพล่อย เหนียงเหนียงโปรดอภัยให้หม่อมฉันด้วย”
ถ้าเป็นปกติ ฮองเฮาจ้าวกลับไม่คิดเล็กคิดน้อยกับนาง
ทว่าคืนนี้ นางเพียงทอดสายตาด้วยความเย็นชา “ตบปาก”
ซูเฟยอึ้งพักหนึ่ง แต่แล้วก็ยกมือตบหน้าตัวเองสองสามครั้งแบบไม่สมัครใจ
เมื่อนั้นฮองเฮาจ้าวจึงผ่อนคลายลงบ้าง
ที่นางไม่สบอารมณ์ มิใช่คำพูดนั้นของซูเฟยเสียทีเดียว
ก่อนหน้านี้ครึ่งชั่วยาม โม่หุยเฟิงส่งคนเข้าวังมาส่งข่าว
เขาถูกกักอยู่ในจวนอ๋องหยิง แม้แต่ฉินซื่อเสวียก็ไม่สะดวกออกไป เมื่อวานหยุนธิงหลานแอบเข้าไปในจวน ร้องห่มร้องไห้ต้องการมีเด็กให้โม่หุยเฟิงคนหนึ่ง…
หนึ่ง เพื่อสยบข่าวลือไม่ดีเกี่ยวกับหยุนธิงหลานในเมืองหลวงระยะนี้
สอง หากมีลูก ฐานะของนางก็จะยิ่งมั่นคง เข้าจวนอ๋องหยิงได้โดยเร็วที่สุด
แต่กลับเป็นช่วงเวลาสำคัญนี้…
ฮองเฮาจ้าวปวดหัว นวดระหว่างคิ้วของตัวเอง แต่กลับคิดวิธีดีอะไรไม่ออก
หลังจากซูเฟยจากไป นางก็กุมหน้าผากนั่งอยู่บนเก้าอี้กุ้ยเฟย ดึกดื่นก็ยังไม่ยอมนอนบนเตียง
จางหมัวมัวเดินเข้ามาใกล้ เอ่ยขึ้นด้วยความระมัดระวัง “เหนียงเหนียง ดึกมากแล้วนะเพคะ สมควรบรรทมได้แล้ว”
“ข้านอนไม่หลับ”
ฮองเฮาจ้าวถอนหายใจเบา “ข้าแค่นึกว่ากำชัยอยู่ในมือแต่แรกแล้ว ใครจะรู้ว่านางซุนจะเป็นคนโง่งม ไม่เพียงทำให้เต๋อเฟยเสียความโปรดปรานโดยสมบูรณ์ได้ กลับกัน ยังทำให้นางกลับมาได้รับความโปรดปรานอีก”
“ส่วนทางเฟิงเอ๋อร์ ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรฝ่าบาทถึงจะยอมเอ่ยปาก”
“เหยียนเอ๋อร์ก็เป็นคนไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง ต่อให้ช่วยเขาขึ้นนั่งบัลลังก์…ก็เป็นดินที่ปั่นไม่ขึ้นรูป”
นางไม่เคยหวังกับโม่หุยเยียน
“เรื่องของหยุนธิงหลานกับเฟิงเอ๋อร์ เมืองหลวงก็ร่ำลือไปทั่วแล้ว ถ้าข้าให้หยุนธิงหลานเข้าจวนอ๋อง หนึ่งจะทำให้จวนเฉิงเซี่ยงไม่พอใจ สองฝ่าบาทจะตำหนิเอาได้
ที่โม่จงหรานกักตัวโม่หุยเฟิงให้อยู่ในจวนอ๋องหยิง ก็เพื่อลงโทษเขา ให้เขาสงบจิตใจสำนึกความผิด
ไหนเลยจะรู้ โม่หุยเฟิงยังไม่ทันได้สำนึกผิด ก็มีเรื่องกับหยุนธิงหลานอีกแล้ว
หากโม่จงหรานรู้เข้า ต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแน่!
“ตอนนี้ฝ่าบาทยังไม่ทรงชี้ชัดว่าจะลงโทษเฟิงเอ๋อร์อย่างไร แสดงว่ายังไม่หมดความหวังกับเฟิงเอ๋อร์ไปเสียทีเดียว เฟิงเอ๋อร์ยังมีโอกาสแน่”
ฮองเฮาจ้าวเอามือลง มองแสงเทียนวูบไหว “จะให้เรื่องนี้ทำลายอนาคตเฟิงเอ๋อร์ไม่ได้”
“เพียงแต่…”
นางจะพูดแต่ก็หยุดลงอีก
ฮองเฮาจ้าวลุกขึ้นยืน เดินวนไปวนมาในตำหนัก
ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยเสียงเบา “หยุนธิงหลานบอกกับเฟิงเอ๋อร์ ถ้านางท้องในเวลานี้ได้…”
“ไม่แน่ว่าจะได้ลูกชาย ได้พระนัดดาองค์โต! ถ้าเป็นเช่นนั้นก็จะทำให้เฟิงเอ๋อร์เหนือผู้อื่น!”
จางหมัวมัวพลันเปลี่ยนสีหน้า เดาความคิดของฮองเฮาจ้าวออก
นางก็เห็นด้วยที่จะให้หยุนธิงหลานท้องลูกของโม่หุยเฟิง!
“แต่เหนียงเหนียง คุณหนูรองหยุนยังไม่ได้แต่งเข้าจวนอ๋อง ต่อให้ตั้งครรภ์ ก็ไม่ถูกตามหลักจารีตประเพณีนะเพคะ! เช่นนี้จะไม่ทำให้ท่านอ๋องเป็นฝ่ายถูกกระทำหรือ”
“ข้ารู้”
ฮองเฮาจ้าวหน้าขรึม “ก็เพราะอย่างนี้ ข้าถึงได้ร้อนรนเช่นนี้อย่างไรเล่า”
จะเดินหน้าก็ไม่ใช่ จะถอยหลังก็ไม่ใช่!
ตอนนี้นางราวกับถูกทำให้ตกที่นั่งลำบาก จะเดินหน้าถอยหลังก็ไม่ได้ จะหันไปทางไหนก็ไม่ได้!
“หยุนธิงหลานบอกว่านางได้ตำรับยาพื้นบ้านมา ครั้งเดียวก็ได้ลูกชาย…”
ฮองเฮาจ้าวยังรู้สึกโชคดี
ใบหน้าเฒ่าชราของจางหมัวมัวตึงเครียด “เหนียงเหนียง หม่อมฉันขอบังอาจกล่าวคำไม่รื่นหู ยิ่งกั๋วกงใกล้ถึงห้าสิบเพิ่งจะทำให้อี๋เหนียงในจวนคลอดคุณชายน้อยออกมาได้”
“ตั้งแต่พระชายาหมิงจนถึงคุณหนูสามหยุน ก็เป็นบุตรสาวหมด”
“บ่าวได้ยินคนพูดมานานแล้ว บอกว่าผู้ชายตระกูลหยุนน้อยนิดมาหลายปี เช่นนั้นคุณหนูรองหยุนจะมีดวงที่ครั้งเดียวก็ได้บุตรชายหรือเพคะ”
ถ้อยคำนี้ไม่รื่นหูจริงแท้ แต่กลับมีเหตุผลบางส่วน
ฮองเฮาจ้าวลังเล
…
จวนอ๋องหมิงในยามนี้เงียบสงัด มีแต่โคมไฟที่ใต้ทางเดินแกว่งไกวตามสายลม
ดีที่ได้หยวนเป่า คืนนี้โม่เยว่จึงโชคดีได้นอนร่วมเตียงกับพวกเขาสองแม่ลูก
ทว่า เมื่ออยู่ข้างนอกเขาคืออ๋องหมิงผู้เกรียงไกร แต่พออยู่ในเรือนชิงหยิ่ง…ได้แต่นอนอยู่แทบเท้าของหยุนหว่านหนิงและหยวนเป่าแบบไม่ยินยอมพร้อมใจ
หยวนเป่าบอกว่าหนึ่งครอบครัวสามคนต้องนอนเตียงเดียวกัน กินอาหารโต๊ะเดียวกัน
ดังนั้นหยุนหว่านหนิงจึงโบกมือ อนุมัติให้โม่เยว่พักอยู่ที่เรือนชิงหยิ่งในคืนนี้ได้
เพียงแต่รูปแบบการพัก อัตคัดเกินไปแล้ว
ทิวากาลในฤดูร้อน สายลมโชยชื่นเย็นสบาย
หยุนหว่านหนิงชินกับการโผล่เท้าอยู่ข้างนอก แต่โม่เยว่กลัวว่าอีกหน่อยนางจะเป็น ‘โรคขี้ปวดขา’ ดังนั้นจึงกอดเท้าของนางนอนตลอดทั้งคืน
หยุนหว่านหนิงขี้ร้อน ประเดี๋ยวๆ ก็ดิ้น
โม่เยว่ดึงขานางมา ถูกนางที่กำลังสะลึมสะลือถีบหลายครั้ง
เท่านี้ยังดี…
หยวนเป่าแม้ยังเป็นเด็ก แขนขาก็ไม่ถือว่าใหญ่มาก แต่ก็อยู่ในช่วงเจริญเติบโต
ยามฝัน ไม่รู้ว่าฝันเห็นอะไรสิน่า เดี๋ยวๆ ก็ถีบมา ต้นขาโม่เยว่เจ็บเป็นพักๆ
ท่ามกลางความมืดมิด ใบหน้าหล่อเหลาของเขายู่ยี่เหยเก
หากมิใช่เพราะเขาหลับสนิท โม่เยว่ยังสงสัยว่าหยวนเป่าจงใจถีบเขา!
เจ้าเด็กนี่!
กำลังขาใช้ได้!
เขาคิดว่าอีกสองวันจะสอนวรยุทธ์ให้หยวนเป่าด้วยตนเอง
แต่คืนนี้ เขาผ่านไปด้วยความรู้สึกเจ็บแสบเหนือบรรยายและการอดนอน
แต่สองแม่ลูกทางนั้นกลับหลับปุ๋ย ถึงขนาดมีคนกกเท้าไว้ให้ ทว่าโม่เยว่ทางนี้กลับต้องรับกับการโจมตีของ ‘ลูกถีบรัวๆ’ ตลอดทั้งคืน
เขาตาค้างตลอดทั้งคืน
ฟ้ายังไม่สาง โม่เยว่ก็รีบสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เตรียมเข้าวังประชุมเช้า
ก่อนจะไป ยังเจาะจงกำชับกับหรูเยียน ว่าอย่าได้เอะอะทำให้พวกเขาสองแม่ลูกตื่น
กว่าหยุนหว่านหนิงจะตื่นอีกทีก็ตะวันสูงโด่แล้ว รู้สึกว่าเมื่อคืนหลับลึกเป็นพิเศษ
นางบิดขี้เกียจ เพิ่งเปิดประตูออกมา สภาพด้านนอกที่เห็น…นางเบิกตาโพลง เรียกด้วยความตกใจ “หรูเยียน! เข้ามา! นี่มันเกิดอะไรขึ้น!”