อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 212 สืบหาคนร้ายตัวจริง
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 212 สืบหาคนร้ายตัวจริง
ในซุปข้นตับแกะและโจ๊กถั่วแดงลูกเดือย ล้วนตรวจไม่พบสารพิษทั้งนั้น
สาเหตุที่เต๋อเฟยถูกพิษ ล้วนเป็นเพราะซุปข้นตับแกะที่ห้องเครื่องส่งมาถ้วยนี้ ก็ไม่รู้ว่าพ่อครัวหลวงถูกคนบงการ หรือว่าเป็นความบังเอิญที่ไม่ได้ตั้งใจกันแน่
ตกลงแล้วความจริงเป็นอย่างไร คงได้แต่นำตัวพ่อครัวหลวงมาสอบถามเท่านั้น
โม่จงหรานก็คิดถึงประเด็นสำคัญที่อยู่ข้างใน สั่งการให้นำตัวพ่อครัวหลวงมาทันที
ห้องเครื่องมีพ่อครัวหลวงทั้งหมดสิบสองคน นอกเหนือจากนี้นางกำนัลที่ทำงานเบ็ดเตล็ด หมัวมัว ขันที ฯลฯ ก็มีมากจนนับไม่ถ้วนเช่นกัน
ผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ในวันนี้คือ พ่อครัวหลวงจัง พ่อครัวหลวงหวง รวมถึงพ่อครัวหลวงเจี๋ย
นอกจากทั้งสามคนที่ถูกพามาแล้ว ยังมีคนใช้ในวังที่ทำงานเบ็ดเตล็ดอีกนับสิบรายก็ถูกพามาพร้อมกัน
เต๋อเฟยกินยาแก้พิษไปแล้ว หมอหลวงหยางดูแลอยู่ด้านข้าง
หยุนหว่านหนิง โม่เยว่และโม่จงหราน ออกไปด้านนอกตำหนัก
พ่อครัวหลวงจังและคนอื่นๆรออยู่ด้านนอกตำหนักแล้ว
เห็นพวกเขาออกมา ต่างก็พากันคุกเข่าน้อมทักทาย
โม่จงหรานระงับความโกรธในใจไม่ได้นานแล้ว เมื่อเห็นคนพวกนี้ก็รู้สึกโกรธขึ้นมา โบกมือสั่งการอย่างเด็ดขาด โดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง “ลากทุกคนลงไปโบยยี่สิบทีก่อน ค่อยเข้ามาตอบคำถาม!”
พ่อครัวหลวงและคนรับใช้ในวังทั้งหลาย ตกตะลึงไปในทันที
เสียงร้องขอความเมตตาดังระงม เสียงนั่นดังกว่าเสียงกบในนาฤดูร้อนเสียอีก
หยุนหว่านหนิงหาวขึ้นมา และไม่ได้ขัดขวาง
ไม่ว่าคนพวกนี้จะบริสุทธิ์หรือไม่ เต๋อเฟยถูกพิษ เดิมทีก็เป็นเรื่องใหญ่อยู่แล้ว
หากไม่มียารักษาได้ พวกเขาถึงขั้นยังต้องชดใช้ด้วยชีวิต ถูกฝังไปพร้อมกับเต๋อเฟยด้วยซ้ำ!
พวกเขาถูกโบยในคืนนี้ ก็เพื่อให้พวกเขาจำเอาไว้ให้มั่น เรื่องของตำหนักหย่งโซ่วในวันหน้า จำเป็นจะต้องระมัดระวังและละเอียดรอบคอบให้มากขึ้น
ทหารรักษาพระองค์เข้ามา ต้อนคนสิบกว่าคนนี้ออกไปทั้งหมด
หลังจากถูกโบยกันแล้ว ทุกคนก็ถูกโยนมาต่อหน้าโม่จงหรานอย่างจะตายมิตายแหล่
“ตอนนี้ ใครจะมาตอบคำถามของข้า”
โม่จงหรานนั่งตัวตรง ร่างตั้งตรงน่าเกรงขาม สีหน้าจริงจังน่าเกรงขาม
โม่เยว่ก็นั่งตัวตรงเช่นกัน สีหน้าเย็นยะเยือก
มีเพียงหยุนหว่านหนิงที่เอามือเท้าคาง นั่งอยู่บนเก้าอี้ราวกับแอ่งโคลน แถมยังนั่งไขว่ห้าง……แคะจมูกเป็นระยะๆ ไม่มีภาพลักษณ์ของพระชายาเลยแม้แต่น้อย
สายตาของโม่จงหรานกวาดมองไปโดยไม่ได้ตั้งใจ รู้สึกหนาวสั่นขึ้นมากะทันหัน
นังหนูคนนี้ กำลังแคะจมูกอยู่หรือ? !
เสื่อมเสียภาพลักษณ์!
นี่มันช่างเสื่อมเสียภาพลักษณ์จริงๆ!
โม่จงหรานไม่มีหน้ามองต่อไปอีก ได้แต่มองไปทางพ่อครัวหลวงและคนใช้ในวังที่กำลังคุกเข่าหายใจรวยรินอยู่ “หากไม่ยินดีจะตอบตามความจริง ข้าก็จะโบยพวกเจ้าอีกครั้ง”
“จากนั้นก็ลากตัวลงไปตัดหัวซะ!”
ข่มขู่ด้วยการตัดหัวอีกแล้ว
แต่โชดดีที่ ครั้งนี้ไม่ได้กล่าวต่อนาง
หยุนหว่านหนิงลูบไปที่ปลายจมูก แล้วก็สูดลมหายใจ
ในดวงตาของโม่เยว่มีรอยยิ้มแวบผ่านไปเล็กน้อย
ไม่ว่าสถานการณ์จะตึงเครียดขนาดไหน ขอเพียงมีนางอยู่……ดูเหมือนบรรยากาศล้วนจะผ่อนคลายลงเล็กน้อย
บรรดาพ่อครัวหลวงเริ่มเรียกร้องหาความเป็นธรรม
คนที่เป็นผู้นำคือพ่อครัวหลวงจัง เขารีบร้อนกล่าวตอบว่า “ฝ่าบาท บ่าวถูกปรักปรำ! อาหารของเต๋อเฟยเหนียงเหนียงในวันนี้ พ่อครัวหลวงเจี๋ยเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด”
“บ่าวรับผิดชอบอาหารของฝ่าบาทและฮองเฮา ส่วนพ่อครัวหลวงหวงรับผิดชอบอาหารของพระสนมทุกคน”
“พ่อครัวหลวงเจี๋ยรับผิดชอบอาหารของเต๋อเฟยเหนียงเหนียงและซูเฟยเหนียงเหนียง!”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา พ่อครัวหลวงหวงก็รีบร้อนพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกบ่าวเลยพ่ะย่ะค่ะ!”
พ่อครัวหลวงสิบกว่าคนในห้องเครื่อง ล้วนแบ่งงานกันทำอย่างชัดเจน
พวกเขามีนโยบาย “ระบบกะการทำงาน” ที่เข้มงวด สามคนหนึ่งวัน สี่วันหนึ่งรอบ
อาหารของฮ่องเต้และฮองเฮา ก็มักจะทำโดยพ่อครัวหลวงที่มีประสบการณ์ยาวนานที่สุดเสมอ คนคนนี้ก็คือ “พี่ใหญ่” ที่เข้ากะทำงานในห้องเครื่องในวันนั้น อย่างเช่นพ่อครัวหลวงจัง
รองลงมาก็คือพระสนมทั้งสี่ คนที่ถือว่าเป็น “พี่รอง” ของห้องเครื่องเป็นผู้รับผิดชอบในการทำอาหาร
บรรดานางสนมที่เหลือ ก็มี “น้องสาม” เป็นผู้รับผิดชอบในการทำอาหาร
อาหารของบรรดาคนรับใช้ในวัง ก็จะรับผิดชอบโดยนางกำนัลและหมัวมัวของห้องเครื่อง
พวกเขาแบ่งงานกันอย่างชัดเจน หลายปีมานี้ไม่เคยมีอะไรผิดพลาดมาก่อน
ใครจะรู้ว่าวันนี้ จะเกิดเรื่องขึ้นได้? !
ถูกพ่อครัวหลวงจังและพ่อครัวหลวงหวงผลักออกมา พ่อครัวหลวงเจี๋ยรู้สึกจนใจ เขาถูกโบยแรงที่สุด ได้รับบาดเจ็บสาหัสที่สุด คลานไปข้างหน้าสองสามก้าว “ฝ่าบาท บ่าวถูกปรักปรำ!”
“ตอนนี้ในวังมีเพียงซูเฟยกับเต๋อเฟยเหนียงเหนียงเท่านั้น อาหารของเหนียงเหนียงทั้งสองท่าน บ่าวล้วนพยายามทุ่มเททำอย่างดีที่สุด”
เขาเงยหน้าขึ้นอย่างน้อยใจ น้ำตาไหลอาบเต็มหน้านานแล้ว “บ่าวไม่กล้าละเลยแม้แต่น้อย ขอฝ่าบาทได้โปรดสอบสวนให้แจ่มแจ้งด้วย!”
ซูเฟยก็ช่างมันเถอะ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือเต๋อเฟยเหนียงเหนียง ท่านนี้คือผู้ซึ่งเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท!
ถึงแม้เขาจะละเลยซูเฟย ไหนเลยจะกล้าละเลยเต๋อเฟยเหนียงเหนียง?
เขาคอยระมัดระวัง กลัวแต่ว่าเต๋อเฟยเหนียงเหนียงจะไม่ชอบอาหารที่เขาทำ ไม่ว่านางจะผอมลงหรือว่าอ้วนขึ้น ก็ไม่มีผลดีอะไรกับพ่อครัวหลวงเจี๋ยเลยแม้แต่น้อย
หากผอมลง ฝ่าบาทก็จะลงโทษ ดุว่าอาหารที่เขาทำไม่สามารถทำให้เต๋อเฟยเหนียงเหนียงพอใจได้
หากอ้วนขึ้น เต๋อเฟยเหนียงเหนียงก็จะโกรธ หาว่าเขาจงใจทำให้นางอ้วนเป็นลูกบอล
พ่อครัวหลวงเจี๋ยคิดในใจ เขาช่างยากเย็นเหลือเกินจริงๆ!
เห็นพ่อครัวหลวงเจี๋ยร้องไห้อย่างจริงใจมาก พ่อครัวหลวงสองคนที่เหลือก็ทำท่าที “เรื่องไม่เกี่ยวกับตนอย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยว” ขึ้นมาอีก โม่จงหรานขมวดคิ้วแน่น
“หว่านหนิง เรื่องนี้เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไร?”
เขาหันหน้ามองไปทางหยุนหว่านหนิง
หยุนหว่านหนิงหาวขึ้นมาอย่างเกียจคร้าน “เสด็จพ่อ ลูกสะใภ้เข้ามาก้าวก่ายคงไม่ดีกระมัง”
“หากว่าเจ้าสามารถสืบหาคนร้ายตัวจริงที่ทำร้ายเต๋อเฟยได้ ข้าเชื่อว่าวันหน้า……ท่าทีที่เต๋อเฟยมีต่อเจ้าก็จะเปลี่ยนไปอย่างมาก”
โม่จงหรานเหมือนกำลังตกปลา ปล่อยเหยื่อล่อออกมา “นิสัยของเต๋อเฟย เจ้าก็รู้ดีนี่”
“ตอนนี้นางมีอคติกับเจ้า ทันทีที่ขจัดอคติออกไปแล้ว วันหน้าต่อให้เจ้าต้องการจะกอดหอมยกสูงๆ นางก็จะให้เจ้าโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย!”
หยุนหว่านหนิงเหงื่อแตกเพราะความอาย
คำว่า “กอดหอมยกสูงๆ” ประโยคนี้ เป็นวลีที่นางจงใจกล่าวต่อหน้าโม่จงหรานในตอนนั้น ว่าเขาโปรดปรานเต๋อเฟยมากเกินไป
แม้แต่จะ “กอดหอมยกสูงๆ” ก็ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
คิดไม่ถึงว่า เสด็จพ่อจะเรียนรู้ไป แถมยังใช้งานได้อย่างยืดหยุ่น!
โม่เยว่ทนไม่ไหว หัวเราะอู้อี้ในลำคอ
“เจ้าหัวเราะทำไม?”
โม่จงหรานจ้องมองเขาอย่างไม่พอใจ “เสด็จแม่เจ้าถูกพิษ นอกจากจะนั่งชมการแสดงแล้ว เจ้าก็ไม่ทำอะไรเลย! ลูกชายอย่างเจ้ายังเทียบหว่านหนิงไม่ได้เลย!”
โม่เยว่: “……”
ช่างยากเย็นเหลือเกิน!
ระยะนี้อยู่ดีๆเขาก็โดนว่าจริงๆด้วย!
“หว่านหนิงแต่งงานกับเจ้านานขนาดนี้แล้ว เจ้าเคยกอดหอมยกสูงๆนางบ้างไหม?”
โม่จงหรานฮึเย็นชาออกมา “ไม่ใช่ว่าข้าจะตำหนิเจ้า! อย่างที่หว่านหนิงกล่าวมา หลายปีมานี้เสด็จแม่ของเจ้า ถูกข้าตามใจจนกลายเป็นองค์หญิงตัวน้อย”
“เจ้าล่ะ? หว่านหนิงกลายเป็นสาวใช้แก่ๆ ของเจ้าไปแล้ว! ต้องคอยตามล้างตามเช็ดให้เจ้าทุกอย่าง!”
โม่เยว่: “…….เสด็จพ่อสั่งสอนถูกต้องแล้ว ทุกอย่างเป็นความผิดของลูกเอง”
อยู่กับหยุนหว่านหนิงนานไป วิธีการพูดของโม่จงหราน ก็มีแนวโน้มจะเปลี่ยนเป็น “แบบหว่านหนิง” แล้วเช่นกัน
เห็นโม่เยว่ยอมรับความผิดอย่างตรงไปตรงมา ความโกรธในใจของโม่จงหรานถึงได้ลดลงมาเล็กน้อย
เขาโกรธเพราะเต๋อเฟยถูกวางยาพิษล้วนๆ ดังนั้นจึงเห็นโม่เยว่เป็นที่ระบายอารมณ์……
“เสด็จพ่อโปรดระงับความโกรธ”
เห็นโม่เยว่ถูกตำหนิ หยุนหว่านหนิงรู้สึกมีความสุขขึ้นมา “เสด็จพ่อ อยากจะสืบหาว่าใครเป็นคนวางยาพิษเสด็จแม่กันแน่ เรื่องนี้มันง่ายนิดเดียว?”
“พ่อครัวหลวงทุกท่าน”
นางลุกขึ้นมา ยกซุปข้นตับแกะครึ่งถ้วยนั่นขึ้นมาจากโต๊ะ “รู้หรือไม่ว่านี่คือสิ่งใด?”
พ่อครัวหลวงทั้งสามยื่นหน้ามองมา
หยุนหว่านหนิงสังเกตสีหน้าท่าทางของพวกเขาอย่างไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึก
ทั้งสามคนล้วนปิดบังซ่อนเร้นเอาไว้ได้เป็นอย่างดี แสดงว่านี่คือซุปข้นตับแกะด้วยสีหน้าปกติ
“ตอบถูกแล้ว”
หยุนหว่านหนิงพยักหน้า แล้วก็สั่งให้หลี่หมัวมัวไปหยิบช้อนมาสามคัน “ได้ยินว่าซุปข้นตับแกะนี้เป็นของดี! ถ้าอย่างไรพ่อครัวหลวงทั้งสามท่านลองชิมพร้อมกันดีกว่าไหม?”
เดิมทีคิดว่าพระชายาหมิงลุกขึ้นมา เพราะอยากลงมือเฆี่ยนตีพวกเขา……
แต่ใครจะรู้ว่า จริงๆแล้วคือจะให้พวกเขากินซุปข้นตับแกะ? !
พระชายาหมิงคิดจะทำอะไรกันแน่? !