อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 22 ให้เขา สร้างอำนาจบารมี
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 22 ให้เขา สร้างอำนาจบารมี
น่าเสียดาย สุดท้ายหรูยี่ก็จับตัวโหยวเอ้อไม่ได้
“ช่างเถอะ! พื้นที่แถบนี้เกรงว่าเขาคงคุ้นเคยมากกว่าใคร หากเขาตั้งใจจะซ่อนตัวเอาไว้ เกรงว่าเราคงหาเขาไม่เจอจริงๆ กลับไปกันก่อนเถอะ!”
มองไปที่ขาของหรูเยียนครู่หนึ่ง หยุนหว่านหนิงขมวดคิ้วขึ้นมา “ยังเดินได้หรือไม่?”
“เดินได้”
หรูเยียนไม่โอดโอยเลยแม้แต่น้อย
หรูยี่กลับขมวดคิ้วแน่น “พระชายา เหตุใดท่านถึงต้องจับตัวโหยวเอ้อคนนั้นให้ได้? เขาเคยล่วงเกินท่านหรือ? ในเมื่อเขามีความสำคัญต่อพระชายาเช่นนี้ ไม่สู้ให้นายท่านลงมือดีกว่า?”
ความหมายของเขา คือโม่เยว่ส่งคนไปจับตัวโหยวเอ้อ
“ไม่ได้”
หยุนหว่านหนิงส่ายหน้าอย่างแน่วแน่เด็ดขาด “จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น”
ทันทีที่โม่เยว่เคลื่อนไหว จะต้องทำให้พวกคนที่จ้องมองนางอยู่เบื้องหลังแตกตื่นอย่างแน่นอน
อีกอย่าง เกรงว่าผู้ชายบ้าคนนี้อาจจะไม่ช่วยนางก็เป็นได้……
ทั้งสามคนกลับไปที่จวนอ๋องอย่างทุลักทุเลเล็กน้อย ทันทีที่เข้าประตูก็ถูกโม่เยว่ที่กำลังจะออกไปข้างนอกจับได้คาหนังคาเขา
มองดูท่าทางที่หน้าตามอมแมมไปด้วยฝุ่นของทั้งสามคน โม่เยว่ขมวดคิ้วแน่น “นี่พวกเจ้าไปทำอะไรกันมา? ออกปล้นสะดมชาวบ้านกันมาหรือ? ดีที่บ่าวรับใช้ชายที่เฝ้าหน้าประตูไม่ได้เห็นพวกเจ้าเป็นขอทานแล้วไล่ออกไป”
หยุนหว่านหนิง: “……”
ผู้ชายคนนี้ ปากจัดมากจริงๆเลย!
แต่เมื่อก้มหน้ามองดูแล้ว พวกเขาก็ทุลักทุเลเล็กน้อยจริงๆ
นอกจากฝุ่นแล้ว บนตัวยังมีกลิ่นคาวเลือดที่แรงและฉุน มิน่าโม่เยว่ถึงบอกว่าพวกเขาออกไปปล้นสะดมชาวบ้านมา
“นายท่าน ข้าน้อยยังมีธุระอีก ขอตัวไปก่อนแล้ว”
หรูยี่ถอยออกไปอย่างทันท่วงที
หรูเยียนก็หาข้ออ้างว่ามีธุระ เดินจากไปอย่างกะโผลกกะเผลก เหลือไว้เพียงหยุนหว่านหนิงที่ยังคงสับสนทำอะไรไม่ถูก เผชิญหน้ากับโม่เยว่ที่สีหน้าดำมืดยิ่งกว่าถ่านตามลำพัง
“ท่านอ๋องกำลังจะออกไปข้างนอกหรือ?”
หยุนหว่านหนิงกระตุกมุมปากขึ้นมาเล็กน้อย เผยรอยยิ้มที่ฝืนใจออกมาเล็กน้อย
“ค่ายเสิ่นจีเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย ข้าจะไปจัดการ”
ถึงแม้จะหันหน้าเข้าหาดวงอาทิตย์ แต่ว่าใบหน้าที่เย็นยะเยือกราวกับภูเขาน้ำแข็ง เสียงที่เย็นชาราวกับเกล็ดน้ำแข็ง ก็ยังทำให้หยุนหว่านหนิงตัวสั่นขึ้นมา
หลายวันก่อนหน้านี้ นางให้เงินกับข้อมูลเขาไป เรื่องต่างๆในค่ายเสิ่นจีดำเนินการอย่างเป็นทางการแล้ว
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?”
นางกะพริบตาเล็กน้อย
เดิมทีโม่เยว่ไม่อยากบอกนางเรื่องในราชสำนัก แต่เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าตอนนี้นางมีความสามารถของ “กุนซือ” ก็เลยกล่าวอธิบายสองสามคำ “มีอาวุธสองสามชิ้น ทางด้านค่ายห้ากองพลไม่ยอมปล่อยมือ”
“บอกว่า อาวุธพวกนี้คืออาวุธที่พวกเขาสร้างขึ้นมาเอง ไม่ยอมส่งมอบออกมา”
อาวุธสองสามชิ้น……
มองดูท่าทางที่ขมวดคิ้วแน่นของเขา หยุนหว่านหนิงก็เดาได้แล้วว่าคงไม่ใช่แค่เพียงอาวุธสองสามชิ้นเท่านั้น
เกรงว่า อย่างน้อยก็น่าจะเป็นชุดถึงจะถูก
แต่โม่เยว่ไม่ได้พูดออกมาให้ชัดเจน นางก็ไม่ได้เปิดโปง เพียงแต่กล่าวว่า “เดิมทีค่ายเสิ่นจีก็ควรจะดูแลจัดการอาวุธทั้งหมดอยู่แล้ว ในเมื่อค่ายห้ากองพลไม่ยอมส่งมอบออกมา ก็คือการฝ่าฝืนคำสั่งของเสด็จพ่อ อย่างไรเสียก็เป็นคำสั่งของเสด็จพ่อ ให้ท่านดูแลจัดการค่ายเสิ่นจี ค่ายห้ากองพลกับค่ายเสิ่นจีก็ควรจะรับผิดชอบหน้าที่ของตน”
สองประโยคที่นางพูดออกมาอย่างไม่พยายามอธิบาย ก็แก้ปัญหาของโม่เยว่แล้ว
เดิมทีเขาคำนึงว่า โม่หุยเฟิงดูแลจัดการค่ายห้ากองพล ดังนั้นจึงไม่อยากจะให้แตกหักกัน
แต่หยุนหว่านหนิงกล่าวถูกต้อง
ค่ายเสิ่นจีกับค่ายห้ากองพลรับผิดชอบหน้าที่ของตน ผู้ที่อยู่ใต้อาณัติไม่ยอมส่งมอบอาวุธ เกรงว่าคงจะเป็นคำสั่งของโม่หุยเฟิงมากกว่า
มิเช่นนั้น พวกเขาไม่กล้าจองหองเช่นนี้หรอก
โม่เยว่ไม่สามารถเจรจาสันติกับพวกเขา เช่นนั้นก็มีแต่ให้ฮ่องเต้ออกหน้าแล้ว
เขามองดูหยุนหว่านหนิงด้วยความประหลาดใจเล็กน้อยครู่หนึ่ง กลับเห็นนางสะบัดหัว ท่าทางภาคภูมิใจ “ตอนนี้ไม่ต้องรีบร้อนขอบคุณข้าหรอก! กลับมาค่อยแล้วขอบคุณข้าเถอะ”
“แต่ว่าข้าต้องเตือนสติท่านคำหนึ่ง”
หยุดไปครู่หนึ่ง นางมองดูโม่เยว่อย่างลึกซึ้งครู่หนึ่ง “ท่านเอาค่ายเสิ่นจีลงมา ก็คือการแตะต้องสิ่งที่คนอื่นปรารถนามากที่สุด”
“โดยเฉพาะกับ ท่านอ๋องหยิงที่ต้องการจะดูแลจัดการค่ายห้ากองพลกับค่ายเสิ่นจีไปพร้อมกัน”
“สิ่งที่คนอื่นปรารถนามากที่สุด?”
เห็นได้ชัดว่าโม่เยว่ไม่เข้าใจสิ่งที่นางพูดถึงมันคืออะไร
แต่ว่าประโยคหลังนี้ เขาฟังเข้าใจแล้ว
โม่หุยเฟิงเจ้าเล่ห์และโหดเหี้ยมมาแต่กำเนิด
หากให้เขารู้ว่า เบื้องหลังของเขายังมีหยุนหว่านหนิงคอยออกอุบายและวางแผนการ……เขาทำหน้าจริงจังขึ้นมา “ข้ารู้แล้ว เรื่องที่เจ้าไม่ควรต้องเป็นห่วงกังวลก็ไม่จำเป็นต้องคอยกังวล จะได้ไม่ตายโดยที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
พูดจบ เขาก็ออกไปโดยไม่หันกลับมามองเลย
“ชิ! ยังจะมาข่มขู่ข้าอีก ข้าว่าตัวท่านเองนั่นแหละที่เป็นคนโง่”
สองมือของหยุนหว่านหนิงโอบสองแขนเอาไว้ กล่าวขึ้นมาอย่างไม่เห็นด้วย “คนอื่นเขาเอาดาบชี้มาที่ท่านแล้ว ยังเห็นคนอื่นเป็นพี่น้องอีก ช่างไร้เดียงสามากพอจริงๆ!.
ให้โม่เยว่ไปจัดการกับโม่หุยเฟิง นางถึงจะมีความมั่นใจในการแก้แค้นฉินซื่อเสวียมากขึ้น!
ในดวงตามีแสงสลัวแวบผ่านไปเล็กน้อย หยุนหว่านหนิงหันหลังกลับเข้าไปในเรือนชิงหยิ่ง
…….
ห้องทรงพระอักษร
โม่จงหรานฮ่องเต้รัชกาลปัจจุบัน ตอนนี้อายุล่วงเลยห้าสิบแล้ว แต่ร่างกายยังคงแข็งแรง
ในตอนนี้ โม่จงหรานกำลังตรวจอ่านฎีกาอยู่
หลังจากที่โม่เยว่น้อมทักทายแล้ว ก็ยืนเงียบๆอยู่ด้านข้าง
นานพักใหญ่ โม่จงหรานถึงได้วางฎีกาลง เงยหน้าเหลือบมองเขาครู่หนึ่ง “มีเรื่องอะไรก็พูดมาตามตรง ทำท่าทำทางเหมือนคนท้องผูก ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของข้าอย่างมาก”
“เสด็จพ่อ”
ไหนเลยจะรู้ว่า โม่เยว่กลับคุกเข่าลงไปบนพื้นโดยตรง
เมื่อคุกเข่าลงไปเช่นนี้ คิ้วของโม่จงหรานก็ขมวดกันแน่นมากขึ้น “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“เสด็จพ่อ ลูกมาเพื่อขอให้เสด็จพ่อช่วยชี้ทางสว่างให้”
โม่เยว่กล่าวขึ้นมาอย่างเคารพนบนอบ
โม่จงหรานเลิกคิ้วขึ้นมาอย่างสงสัย “อ๋อ? ลองพูดมาฟังหน่อยสิ”
“ได้รับความกรุณาให้ความสำคัญและความไว้วางใจของเสด็จพ่อ มอบหมายให้ลูกดูแลจัดการค่ายเสิ่นจี แต่ว่าตอนนี้มีปัญหาอยู่ข้อหนึ่ง ขอเสด็จพ่อได้โปรดช่วยคลายความสงสัยให้ลูกด้วย”
เขากล่าวถามด้วยท่าทางจริงจัง “ขอถามเสด็จพ่อ อะไรคือค่ายเสิ่นจี?”
“เจ้ากำลังถามคำถามกับข้า?”
น้ำเสียงของโม่จงหรานฟังไม่ออกว่ายินดีหรือโกรธ
“ในเมื่อเสด็จพ่อรู้ว่าอะไรคือค่ายเสิ่นจี เช่นนั้นลูกบังอาจเรียนถามเสด็จพ่อ ทำไมค่ายห้ากองพลถึงสามารถดูแลจัดการอาวุธด้วยตัวเอง? หรือว่า ค่ายเสิ่นจีเป็นแค่เครื่องประดับตกแต่ง?”
โม่เยว่ตอบไม่ตรงคำถาม
คราวนี้ โม่จงหรานเริ่มขมวดคิ้วขึ้นมา “เจ้าสามทำอะไรเจ้าหรือ?”
ฟังดูแล้ว ทั้งสองคนเหมือนกับไม่ได้พูดภาษาเดียวกัน แต่ต่างก็ไม่ได้เป็นคนโง่
แค่คำพูดเพียงไม่กี่คำ โม่จงหรานก็เข้าใจเจตนาการมาของโม่เยว่แล้ว
“เสด็จพ่อทรงพระปรีชาชาญ! แต่พี่สามไม่ได้ทำอะไรลูก เพียงแต่ว่าทหารลูกกระจ๊อกที่อยู่ใต้อาณัติบางคนภายนอกแสดงออกว่าได้ปฏิบัติตามคำสั่งแต่ดำเนินขัดขวางอย่างลับๆ ไม่ยอมส่งมอบอาวุธออกมา เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพี่สาม ลูกลำบากใจอย่างมาก ตั้งใจมาขอให้เสด็จพ่อช่วยคลายความสงสัยโดยเฉพาะ”
โม่เยว่ก้มหน้าเอาไว้ มองไม่เห็นสีหน้าท่าทางที่อยู่บนใบหน้า
โม่จงหรานก็เข้าใจ โม่หุยเฟิงลูกชายคนที่สามคนนี้โอหังอวดดี และนิสัยก็อ่อนไหว
หากว่าโม่เยว่ไปสอบถามเขาเรื่องนี้ พี่น้องสองคนก็จะเกิดความบาดหมางใจเพราะเหตุนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ตลอดมา สิ่งที่เขาที่เกลียดมากที่สุดก็คือพี่น้องฆ่าฟันกันเอง
ดังนั้น โม่เยว่กำลังปกป้องโม่หุยเฟิง เพียงแต่บอกว่าทหารลูกกระจ๊อกที่อยู่ใต้อาณัติภายนอกแสดงออกว่าได้ปฏิบัติตามคำสั่งแต่ดำเนินขัดขวางอย่างลับๆ ทำให้เขาพอใจอย่างมาก
โม่จงหรานพยักหน้าอย่างพอใจ สายตาที่มองมาทางเขาก็มีความประหลาดใจเล็กน้อย “ในเมื่อข้ามอบหมายค่ายเสิ่นจีให้เจ้า เรื่องเกี่ยวกับค่ายเสิ่นจี ทุกคำพูดทุกการกระทำของเจ้าก็ถือเป็นเจตนาของข้าทั้งนั้น”
“ในเมื่อทหารลูกกระจ๊อกพวกนั้นกล้าแสดงออกว่าได้ปฏิบัติตามเพียงภายนอกและดำเนินขัดขวางอย่างลับๆ เก็บเอาไว้ก็ไร้ประโยชน์?”
เขาส่งสัญญาณว่าให้โม่เยว่ลุกขึ้นมาพูด
จากนั้น โม่จงหรานก็ลุกยืนขึ้นมา ตบไปที่ไหล่ของเขาอย่างแรง “ผู้ปกครอง ควรมีลักษณะท่าทางของผู้ปกครอง ผู้ที่ไม่เชื่อฟัง ฆ่าไม่มีละเว้น”
น้ำเสียงของเขา เต็มเปี่ยมไปด้วยความเย็นยะเยือก
นั่นคือลักษณะท่าทางที่มีในเฉพาะผู้ปกครองที่อยู่ในตำแหน่งมาเป็นเวลานาน
“ค่ายเสิ่นจีเพิ่งจะก่อตั้งขึ้นมา เจ้าก็ทำงานให้ราชสำนักเป็นครั้งแรก หากไม่สามารถแสดงลักษณะท่าทางของราชวงศ์ออกมาได้ วันหน้าใครจะเชื่อฟังเจ้า? !”
นัยนอกเหนือคำพูด ก็คือให้เขาเอาทหารลูกกระจ๊อกพวกนี้ สร้างอำนาจบารมี!