อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 235 หยุนหว่านหนิงมีอันตราย
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 235 หยุนหว่านหนิงมีอันตราย
เห็นลักษณะท่าทางเคร่งขรึมของนาง หมอหลวงหยางคิดได้เพียงว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตายอะไรจริงๆ
เขากลืนน้ำลายลงแล้ว “พระชายาหมิงมีเรื่องใดสงสัยเชิญถามมาได้โดยตรงพ่ะย่ะค่ะ ขอเพียงเป็นเรื่องที่กระหม่อมทราบจะตอบตามตรงทั้งหมดพ่ะย่ะค่ะ”
“ได้ยินว่าวันนี้ฮองเฮาอยู่ที่จวนอ๋องหยิง ทรงกริ้วจนเป็นลมไปหรือ?”
“เรื่องนี้ คือเรื่องสำคัญมากที่ท่านพูดถึง?”
หมอหลวงหยางแสดงออกอย่างจำใจ แต่ไม่กล้าพูดมาตามตรง
“หรือว่าเรื่องนี้ยังไม่สำคัญพอหรือ?”
เห็นท่าทางโมโหแต่ไม่กล้าพูดของหมอหลวงหยาง หยุนหว่านหนิงหัวเราะออกมา “เอาเถิดไม่แกล้งเจ้าแล้ว! ข้าแค่อยากถามเสียหน่อยว่า หมอหลวงหยางเป็นหมอหลวงมาอย่างน้อยคงสักสามสิบปีได้กระมัง?”
จากหมอหลวงทั่วไปคนหนึ่ง มานะบากบั่นจนกลายเป็นหัวหน้าแห่งโรงหมอหลวง ต้องใช้เวลาหลายปี
“สามสิบสองปีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หมอหลวงหยางมองนางด้วยความระมัดระวังแวบหนึ่ง “มิทราบว่าเหตุใดพระชายาหมิงจึงถามเรื่องนี้พ่ะย่ะค่ะ?”
หยุนหว่านหนิงคิดอย่างละเอียด “สามสิบกว่าปี…… หมอหลวงหยาง เจ้าแก่มากเชียวนะ!”
หมอหลวงหยางจับหน้าอกเอาไว้ หัวใจถูกทิ่มแทงจนกลายเป็นเม่นแคระตัวหนึ่ง
เขาพูดอย่างอ่อนแรง “กระหม่อม ปีนี้กระหม่อมเพิ่งห้าสิบห้า……”
“ห้าสิบห้ายังไม่แก่หรือ?”
หยุนหว่านหนิงปัดมือแล้ว “ในเมื่อหมอหลวงหยางอยู่ที่โรงหมอหลวงมานานหลายปีเยี่ยงนี้ คิดว่าคงจะรู้ เรื่องที่เฉินกุ้ยเฟยประชวรในตอนนั้นกระมัง?”
ได้ยินคำพูดนี้……
หมอหลวงหยางหันหน้ามองไปโดยจิตใต้สำนึก เห็นเพียงประตูใหญ่ของจวนอ๋องโจวปิดสนิท
เขาถึงแอบโล่งออกไปทีหนึ่ง ลดเสียงลงมาแบบไม่รู้ตัว “พระชายาหมิง เหตุใดท่านถามคำถามนี้พ่ะย่ะค่ะ?”
“ข้าแค่สงสัย ตอนนั้นเฉินกุ้ยเฟยประชวรด้วยโรคอะไรกันแน่”
ที่แท้ นี่ต่างหากถึงเป็นเรื่องสำคัญมากๆ ที่นางพูดเมื่อสักครู่
หมอหลวงหยางสีหน้าลังเลพอสมควร
“หมอหลวงหยาง ทั่วทั้งโรงหมอหลวง เป็นเจ้าที่จิตใจดีที่สุดแล้ว!”
หยุนหว่านหนิงเริ่มการบุกโจมตี“แบบดึงมาเป็นพวก” “หมอหลวงคนอื่นข้าไม่เชื่อใจ! โดยเฉพาะคุณสมบัติและประสบการณ์ของเจ้ามากที่สุด มีเพียงเจ้าที่ข้ามาสอบถามเรื่องนี้ได้แล้ว”
หมอหลวงหยางสีหน้าลังเล
ไม่รู้ว่าไม่อยากเล่า หรือว่ามีอะไรที่เล่าไม่ได้กันแน่
“หมอหลวงหยางมีความลำบากใจอะไรที่จะพูดออกมากัน?”
หยุนหว่านหนิงถามแบบลองเชิง
“ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ”
หมอหลวงหยางส่ายหน้าเบาๆ ลังเลอยู่ตั้งนานสุดท้ายยังเอ่ยปากออกมา “พระชายาหมิงพ่ะย่ะค่ะ เรื่องนี้กระหม่อมบอกท่านแล้ว ท่านอย่าบอกผู้ใดโดยเด็ดขาดนะพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าว่ามา! ข้ารับรองจะปิดปากเงียบ”
หยุนหว่านหนิงตบหน้าอกรับรอง
หมอหลวงหยางถึงเล่าเรื่องราวในตอนนั้นอย่างไม่รู้จักเหนื่อย
“พระชายาหมิง กระหม่อมทราบว่าท่านเป็นคนที่อุปนิสัยตรงไปตรงมาเช่นกัน!”
เขากดเสียงต่ำ “แต่ความจริงตอนนั้นเรื่องของเฉินกุ้ยเฟย กระหม่อมก็เคยสงสัย…..”
สิบกว่าปีก่อน หมอหลวงหยางยังไม่ใช่หัวหน้า
ถึงแม้เขาเข้ามาโรงหมอหลวงเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่เบื้องบนยังมีหมอหลวงที่คุณสมบัติและประสบการณ์มากกว่ากดเขาเอาไว้ อยากจะเลื่อนขั้นสูงขึ้น ยากลำบากมากเพียงใด?
“เวลานั้น สนมที่ได้รับความเอ็นดูมากที่สุดในวัง ก็คือเฉินกุ้ยเฟยพ่ะย่ะค่ะ”
ตอนนั้น เต๋อเฟยยังไม่ได้เข้าวัง
เพราะโม่จงหรานยังไม่ได้เสด็จออกนอกวังเป็นการส่วนตัว ยังไม่รู้จักเต๋อเฟย
เพราะเหตุนี้สนมที่ได้รับความเอ็นดูมากที่สุดในวัง ก็คือเฉินกุ้ยเฟย
“ตระกูลเฉินอิทธิพลอำนาจยิ่งใหญ่ ฮ่องเต้ยังทรงชื่นชอบเฉินกุ้ยเฟยอีก พระชายาหมิงน่าจะทราบหลักการที่คงอยู่ในวังหลัง หากอยากจะมีชีวิตอยู่ในวังต่อไป ถ้ามิใช่ฮ่องเต้ทรงโปรดปราน อิทธิพลอำนาจของตระกูลตนเองต้องยิ่งใหญ่”
หยุนหว่านหนิงพยักหน้า
หลักการข้อนี้ นางยังพอเข้าใจ
เฉกเช่นซูเฟยในตอนนี้ ถึงไม่ได้รับความรักใคร่เอ็นดูจากโม่จงหราน กลับมีตระกูลตนเองหนุนหลัง
ตระกูลของเต๋อเฟยอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวง ไม่มีตระกูลตนเองหนุนหลัง กลับได้รับความโปรดปรานของโม่จงหราน
“แต่เฉินกุ้ยเฟยในตอนนั้น ล้วนมีทั้งสองอย่างนี้”
หมอหลวงหยางสีหน้าลึกล้ำ พูดจาอย่างมีความหมายลึกซึ้ง “แต่ความจริงนอกจากสองสิ่งนี้แล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”
“นั่นก็คือจิตใจของคน”
พอได้ยินคำพูดนี้ หยุนหว่านหนิงจึงรู้ว่าเรื่องราวในตอนนั้น จะต้องไม่ได้ธรรมดาเช่นนี้
เป็นไปตามคาด เพียงฟังหมอหลวงหยางพูดต่อไป “เฉินกุ้ยเฟยอุปนิสัยตรงไปตรงมา แต่มิทรงถนัดผูกมิตรกับผู้อื่น นอกจากฮ่องเต้แล้ว พระองค์ไปไหนมาไหนในวังเพียงผู้เดียว”
“ไม่อยู่รวมกลุ่มกับสนมคนอื่น และไม่เอาใจฮวงเฮาเหนียงเหนียง และไทเฮาเหนียงเหนียงด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
ไทเฮาเหนียงเหนียง?
ในเวลาไม่กี่วันมานี้ หยุนหว่านหนิงได้ยินเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับไทเฮาเป็นหนที่สองแล้ว
“ความจริงหลังจากที่เฉินกุ้ยเฟยประชวร กระหม่อมโชคดีได้ติดตามใต้เท้าหัวหน้าในเวลานั้น ไปรักษาให้เฉินกุ้ยเฟยด้วยกันพ่ะย่ะค่ะ”
หมอหลวงหยางถอนหายใจเบาๆ ทีหนึ่ง “เพียงแค่กระหม่อมได้เป็นเพียงลูกมือให้ใต้เท้าหัวหน้า และไม่สามารถจับชีพจรให้เฉินกุ้ยเฟยด้วยตนเอง เวลานั้น เฉินกุ้ยเฟยก็ประชวรหนักแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“พระองค์ทรงพระครรภ์อยู่ เพื่อรักษาทารกในครรภ์ เฉินกุ้ยเฟยไม่ยอมเสวยโอสถเด็ดขาด”
หยุนหว่านหนิงรู้สึกประทับใจ
นี่ก็คือความรักของมารดาสินะ!
เฉินกุ้ยเฟยยินยอมใช้ชีวิตของตนเอง มาแลกการกำเนิดของโม่เหว่ย
“เวลานี้กระหม่อมเคยแอบสอบถามใต้เท้าหัวหน้า ว่าเฉินกุ้ยเฟยเป็นอะไรกันแน่ แต่ว่าใต้เท้าหัวหน้าเพียงสั่งกระหม่อมอย่างจริงจังมาว่า ถ้าอยากมีชีวิตอยู่ เรื่องที่ไม่ควรถามก็อย่าถามพ่ะย่ะค่ะ”
หมอหลวงหยางมองไปรอบด้านด้วยความระแวง
เห็นว่ารอบด้านไร้ผู้คน ถึงพูดด้วยเสียงเบา “กระหม่อมสังเกตเห็นว่า อาการประชวรของเฉิยกุ้ยเฟยกลัวว่ามีความแปลกประหลาดพ่ะย่ะค่ะ”
“หลายวันนั้นเป็นช่วงเวลาที่ทุกข์ทรมานที่สุดในชีวิตกระหม่อมเลยพ่ะย่ะค่ะ”
หมอหลวงหยางเดิมคิดจะลักลอบเข้าในไปวังของเฉินกุ้ยเฟย ตรวจอาการให้พระองค์ดูเสียหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น
“แต่ยังไม่รอให้กระหม่อมตัดสินใจ ก็มีข่าวว่าเฉินกุ้ยเฟยคลอดพระโอรสพ่ะย่ะค่ะ”
โม่เหว่ยถือกำเนิดแล้ว
“แต่เวลาต่อมา ก็คือเฉินกุ้ยเฟยประชวรจนสิ้นพระชนม์พ่ะย่ะค่ะ”
หมอหลวงหยางถอนหายใจอย่างหนักอึ้ง บนหน้าเต็มไปด้วยความละอายใจและตำหนิตนเอง “ตอนนั้นถ้าหากกระหม่อมตัดสินใจเร็วเสียหน่อย ไปตรวจอาการให้เฉินกุ้ยเฟย……”
“คาดว่าคงมีจุดจบอีกอย่างหนึ่งกระมัง!”
เขาส่ายหน้าเบาๆ “ตั้งแต่เวลานั้นเป็นต้นมา กระหม่อมก็มีความเข้าใจต่อ‘จิตใจคน’ต่างออกไปพ่ะย่ะค่ะ”
ไม่เพียงหมอหลวงหยางมีความเข้าใจที่แตกต่างไปเท่านั้น
ฟังเขาเล่ามารอบหนึ่ง หยุนหว่านหนิงก็มีความเข้าใจต่อจิตใจคนต่างออกไปเช่นกัน
“ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา กระหม่อมตัดสินว่า อยากเป็นหมอหลวงที่ซื่อสัตย์ในหน้าที่คนหนึ่ง ไม่สามารถทรยศต่อจรรยาบรรณหมอของตนเองได้ ไม่สามารถทำเรื่องที่ทำให้ตนเองเสียใจได้พ่ะย่ะค่ะ”
หมอหลวงหยางพูดจาอย่างเคร่งขรึมจริงจัง
ดังนั้นวันนี้ที่จวนอ๋องหยิง หลังจากวินิจฉัยว่าหยุนธิงหลานไม่ได้ตั้งครรภ์ เขาจึงไม่กังวลแม้แต่น้อย รายงานไปตามตรง
หลายปีมานี้ เขาไม่เคยทำเรื่องราวใดๆ ที่ฝ่าฝืนจรรยาบรรณหมอ
“หมอหลวงหยาง เจ้าทำได้ดีมาก! เจ้าคือหมอหลวงที่ดีคนหนึ่ง”
หยุนหว่านหนิงตบไหล่ของเขาเบาๆ ให้กำลังใจเขาอย่างมาก “ยืนหยัดเดินบนเส้นทางของตัวเจ้าเองต่อไปเถิด! ข้าเชื่อว่า เจ้าจะเป็นแสงสว่างเจิดจ้าดวงหนึ่งในวังหลังที่ดุจดังโคลนตม”
คำพูดเหล่านี้ เป็นกำลังใจให้หมอหลวงหยางอย่างมากจริงๆ
เขามองนางแบบน้ำตาเอ่อล้น “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ พระชายาหมิง”
“กระหม่อมทราบว่า พระชายาหมิงไม่ได้ชอบดูถูกเหยียดหยามผู้อื่น และก้าวร้าวดื้อรั้นเหมือนที่แสดงออกภายนอก ในใจของท่าน เปี่ยมเมตตาและซื่อตรงด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
หยุนหว่านหนิง “หยุด! ข้าชอบดูถูกเหยียดหยาม และก้าวร้าวดื้อรั้นตั้งแต่เมื่อใด?”
หมอหลวงหยางเช็ดน้ำตาแล้ว “นี่คือท่านกำลังใช้ภายนอกที่ดูดื้อรั้น มาปกปิดภายในที่เมตตาและซื่อตรงอยู่!”
หยุนหว่านหนิง “……ขอบใจที่ชม”
เงยหน้ามองจวนหยางทางขวามือแวบหนึ่ง นางถอนหายใจทีหนึ่ง “หมอหลวงหยาง ถึงจวนเจ้าแล้ว”
นางยังส่งเขากลับมาถึงบ้านจริงๆ
หมอหลวงหยางละอายใจที่สุด “พระชายาหมิงพ่ะย่ะค่ะ เดิมควรเป็นกระหม่อมส่งท่านกลับไป!”
“คำพูดตามพิธีก็ไม่ต้องพูดแล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นตาแก่ที่ใจฝ่อ! ขอแค่จำไว้ว่าเรื่องคืนนี้ จะต้องเก็บเป็นความลับก็พอ เข้าไปเถิด!”
หยุนหว่านหนิงโบกมือแล้ว
“วันนี้ค่ำเกินไป วันหลังกระหม่อมขอเชิญพระชายาหมิงเข้ามาประทับเล่นในจวนพ่ะย่ะค่ะ”
หมอหลวงหยางหิ้วกล่องอุปกรณ์การแพทย์เข้าไปข้างในแล้ว
ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำ หยุนหว่านหนิงค่อยๆ เดินไปยังทิศทางของจวนอ๋องหมิง
นางยังกำลังจัดระเบียบคำพูดเหล่านั้นที่หมอหลวงหยางพูดมาอยู่ภายในสมอง
ดูแล้วสมควรไปเข้าเฝ้า ไทเฮาเหนียงเหนียงที่ไม่ปรากฏกายมานานท่านนี้เสียหน่อยจริงๆ แล้ว……
เดินไปได้ไม่กี่ก้าว กำไลหยกของนางร้อนผ่าวขึ้นกะทันหัน