อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 246 ชายชาตรีไม่กล่าวถึงความกล้าหาญในอดีต
ร้องไห้อยู่พักหนึ่งจนกระทั่งอารมณ์ของทั้งสองคนสงบลงเล็กน้อย
หยุนหว่านหนิงจึงมานั่งที่ข้างกายของไทเฮากู้ พูดคุยอย่างละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์ตลอดสี่ปีที่ผ่านมาเพื่อที่นางจะได้ผ่อนคลาย
“เจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว!”
ไทเฮากู้เอ่ยอย่างทอดถอนใจ “แม่ของเจ้าจากไปเร็ว เจ้าคนเลวหยุนเจิ้นซงนั่นก็ดูแลเจ้าไม่ดี เดิมทีข้าคิดว่าเมื่อปล่อยให้เจ้าได้แต่งงานกับคนที่เจ้าชอบ ต่อไปชีวิตที่เหลือของเจ้าก็จะมีแต่ความสุขสงบ”
ตอนนั้นที่หยุนหว่านหนิงตั้งใจใส่ร้ายฉินซื่อเสวียกับโม่เยว่ ไทเฮากู้จะไม่รู้ได้อย่างไร
เพียงแต่นางเข้าใจว่าหยุนหว่านหนิงรักใคร่ชื่นชมโม่เยว่มาหลายปีแล้ว
เพื่อเติมเต็มความรักความหลงใหลของนาง ไทเฮากู้จึงปล่อยให้หยุนหว่านหนิงทำผิดทุกวิถีทางโดยไม่ห้ามปราม ยอมแม้กระทั่งปล่อยให้นางทำลายการหมั้นของโม่เยว่กับฉินซื่อเสวียโดยไม่นึกเสียดาย
ไหนเลยจะรู้ว่านั่นไม่ใช่การเติมเต็มความรักของนางหรือทำให้นางมีอนาคตที่มั่นคงมีความสุข
แต่มันคือการผลักนางเข้าสู่กองไฟ!
หยุนหว่านหนิงแต่งงานเข้าจวนอ๋องหมิงได้สำเร็จ แต่โม่เยว่กลับไม่รัก ทั้งยังถูกขังอยู่ในเรือนชิงหยิ่ง…
ไทเฮากู้ต้องคอยช่วยนางหลายต่อหลายครั้ง แต่โม่เยว่กลับโกรธจนอาการเก่าของนางกำเริบ
ดังนั้นไทเฮากู้จึงออกมาอยู่ไกลจากเมืองหลวง มาอยู่ที่พระราชวังนอกเมืองเพื่อพักฟื้น
“ในตอนนั้นเจ้าเยว่เอ๋อร์นั่นเคยรับรองกับข้าเป็นมั่นเหมาะ ว่าเขาจะแค่กักบริเวณเจ้าไว้ จะไม่ทำอะไรกับเจ้า ดังนั้นข้าจึงไม่ได้ยื่นมือเข้าไปยุ่งในเรื่องนี้”
พูดมาถึงตรงนี้ ฝ่ายหนึ่งก็เป็นหยุนหว่านหนิงซึ่งเป็นที่รักของนาง อีกฝ่ายหนึ่งก็เป็นโม่เยว่หลานชายของนาง
ไม่ว่าจะฝ่ายไหนก็เป็นเลือดเนื้อ แบบนี้ไทเฮากู้จะทำอย่างไรได้
นางกลัวกว่าถ้ากดดันมากเกินไป โม่เยว่จะทำอะไรกับหยุนหว่านหนิง
ดังนั้นนางจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากออกจากวังอย่างจนปัญญา ไปให้ไกลจากความสกปรกโสมมของเมืองหลวง
เมื่อเห็นไทเฮากู้ร้องไห้จนนัยน์ตาทั้งบวมทั้งแดง หยุนหว่านหนิงก็รู้สึกสะเทือนใจขึ้นมา
ไทเฮากู้รักนางจริงๆ
“ไทเฮา หม่อมฉันสบายดีเพคะ! ตอนนี้หม่อมฉันกับท่านอ๋องเองก็ดีกันมาก! เรื่องที่มาเยือนพระราชวังนอกเมืองคราวนี้ โม่เยว่เองก็ทราบ ทั้งยังกำชับให้หม่อมฉันอยู่เป็นเพื่อนพระองค์หลายๆ วันด้วยเพคะ”
หยุนหว่านหนิงรีบเช็ดน้ำตาและเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ใช่แค่พวกเราเท่านั้นที่นำของมาฝากพระองค์”
“แม้แต่เสด็จแม่ก็จำได้ว่าไทเฮาทรงชอบเสวยขนมมันม่วงใส่น้ำตาลทรายแดง เลยรับสั่งให้คนทำไว้มากเป็นพิเศษ ให้หม่อมฉันนำมาถวายให้ไทเฮา”
นางยืนขึ้นแล้วขณะที่พูด
หยุนหว่านหนิงประคองไทเฮากู้ให้ลุกขึ้นมา จากนั้นทั้งคู่จึงเดินกลับไป
“งั้นหรือ”
เห็นได้ชัดว่าไทเฮากู้ประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้ากับเยว่เอ๋อร์เข้ากันได้ดีจริงๆ งั้นหรือ เจ้าไม่ได้หลอกข้าใช่หรือไม่”
“ไม่หลอกแน่อยู่แล้วเพคะ!”
หยุนหว่านหนิงกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ถ้าไทเฮาไม่เชื่อ พรุ่งนี้ก็ตามหม่อมฉันกลับเมืองหลวงได้เพคะ หม่อมฉันกับโม่เยว่จะกราบบังคมทูลไทเฮา ทำให้ไทเฮาทรงวางพระทัย!”
หนึ่งคำก็โม่เยว่ สองคำก็โม่เยว่ พอได้ยินแบบนี้ไทเฮาก็รู้สึกขบขันขึ้นมา
“เจ้านี่นะ ยังคงอาจหาญเช่นเดิม”
แม้จะพูดแบบนั้น แต่ในคำพูดของนางกลับไม่มีแววของการตำหนิติเตียน หนำซ้ำกลับเต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู “ทุกอย่างในเมืองหลวงเรียบร้อยดีหรือไม่”
“เรียบร้อยเพคะ!”
เมื่อเข้าไปในห้องโถงและนั่งลง หยุนหว่านหนิงจึงสั่งให้หรูเยียนไปหยิบขนมมันม่วงใส่น้ำตาลทรายแดงมาให้ “ไทเฮาทรงชิมสิเพคะ ทั้งหมดนี่เสด็จแม่ทำด้วยความใส่ใจพระองค์ เสด็จแม่กตัญญูต่อพระองค์มากเพคะ!”
“นางกตัญญูต่อข้างั้นหรือ”
ไทเฮากู้ส่งเสียงฮึอย่างเย็นชา
แต่ถึงกระนั้นก็ยังอ้าปาก กินขนมหนึ่งชิ้นจากมือของหยุนหว่านหนิง “แม้ว่าข้าจะอยู่ที่พระราชวังนอกเมืองหลวง”
“แต่ข้าก็ใช่ว่าจะไม่มีพ่อครัว! ถ้าอยากกินขนมมันม่วงใส่น้ำตาลทรายแดง จะต้องให้นางสั่งให้ครัวเล็กๆ ทำ แล้วเดินทางห่างไกลเป็นพันลี้มาให้ข้าหรือ”
หลังจากลองชิมอย่างละเอียด ไทเฮากู้จึงพยักหน้าและเอ่ยว่า “รสชาติไม่เลว”
ด้วยความที่รู้ว่านางเองก็เป็นคนปากร้ายใจดี หวางหมัวมัวจึงยิ้มและเอ่ยว่า “เต๋อเฟยเหนียงเหนียงก็แค่มีนิสัยตรงไปตรงมาน่ะเพคะ”
“แต่บ่าวว่า คบหากับคนเช่นนี้น่ะดีเพคะ! ไม่เหมือนบางคนที่หน้าเนื้อใจเสือ”
แม้แต่หยุนหว่านหนิงยังพอจะเดาได้ว่า ‘บางคน’ ที่นางพูดถึงคือใคร
เป็นฮองเฮาจ้าวนั่นเอง
“ไทเฮามิได้ปฏิบัติต่อเต๋อเฟยเช่นเดียวกันหรอกหรือ อันที่จริงไทเฮาทรงรักเต๋อเฟยมาก!”
ไม่อย่างนั้นไทเฮากู้จะรักโม่เยว่มากขนาดนี้หรือ
แม้ว่าตอนนั้นไทเฮากู้จะโกรธที่ถูกโม่เยว่คุกคามจนอาการเก่ากำเริบ แต่ไทเฮากู้ก็ไม่ได้ลงโทษโม่เยว่ ตรงกันข้าม นางกลับเลือกที่จะออกไปจากเมืองหลวงเพื่อป้องกันไม่ให้โม่เยว่เกิดความปฏิปักษ์ขึ้นในใจ
และด้วยเหตุนี้เอง นางจึงปกป้องชีวิตของหยุนหว่านหนิงไว้ได้
ไม่อย่างนั้นหยุนหว่านหนิงจะมีชีวิตอยู่มาถึงสี่ปีได้อย่างไร!
เมื่อมีหวางหมัวมัวไกล่เกลี่ยให้ ไทเฮากู้จึงเงียบไปครู่หนึ่ง “ทุกอย่างในวังเรียบร้อยดีหรือ”
“เรียบร้อยดีทุกอย่างเพคะ”
หยุนหว่านหนิงหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดเศษขนมที่หลังมือของนาง นางนั้นจึงเอ่ยเบาๆ ว่า “ไทเฮา ได้ยินว่าสุขภาพของพระองค์ไม่ค่อยดีหรือเพคะ”
“ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ”
ก่อนที่จะมาเยี่ยมเยียนไทเฮา กับญาติห่างๆ จากตระกูลกู้ผู้นี้ อันที่จริงนางไม่ได้รู้สึกผูกพันอะไรมากนัก เพราะตั้งแต่ข้ามเวลามา นางยังไม่เคยพบกับไทเฮามาก่อน
แม้แต่ก่อนหน้านี้ที่หมอหลวงหยางพูดถึงเรื่องของไทเฮา…
นางยังรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับนาง
แต่พอได้พบกันวันนี้ นางจึงตระหนักได้ถึงความมหัศจรรย์ทางสายเลือด
แม้ว่านางจะไม่ใช่ร่างเดิม
แต่ในตัวนางกับไทเฮากู้ก็มีสายเลือดเดียวกันไหลเวียนอยู่
ไทเฮาผู้สูงส่งในสายตาของทุกคน เป็นเพียงสตรีธรรมดาผู้หนึ่งที่ห่วงใยลูกหลานในสายตาของนาง
“โธ่ แก่แล้ว! จะมีอะไรดี!”
ไทเฮากู้ส่ายศีรษะเบาๆ “ถึงจะมีอะไรดีไม่ดีมันก็เท่านั้น จะอยู่หรือไม่อยู่ก็ไม่ได้สำคัญ”
“ฮ่องเต้พระองค์ก่อนสิ้นพระชนม์ไปหลายปีแล้ว ที่ข้าต้องอยู่ตัวคนเดียวมาตลอดหลายปีนี้ก็นับว่ามากพอแล้ว!”
ได้ยินดังนั้นหวางหมัวมัวก็เริ่มร่ำไห้ออกมาอีกครั้ง
หยุนหว่านหนิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “ตรัสเช่นนั้นได้อย่างไรเพคะ พระองค์ต้องมีอายุยืนเป็นร้อยปีสิเพคะ”
นางเอ่ยเบาๆ “หม่อมฉันจะตรวจดูให้พระองค์เองเพคะ”
“ตรวจดู? เจ้าเป็นทักษะทางการแพทย์หรือเปล่า”
ไทเฮากู้รู้สึกขบขันกับคำพูดนี้ “ข้ารู้จักเด็กน้อยอย่างเจ้า! เจ้าไม่ชอบอ่านเขียนตั้งแต่ยังเด็ก ฉิน หมากรุก ประดิษฐ์อักษร วาดรูป… แต่ละอย่างมิได้แตกฉานเลย”
เมื่อพบกับสายตาที่หยอกเย้าของนาง หยุนหว่านหนิงก็หน้าแดงขึ้นมา
“ไทเฮาเพคะ!”
นางเอ่ยอย่างกระเง้ากระงอด “ชายชาตรีไม่กล่าวถึงความกล้าหาญในอดีตนะเพคะ”
“เจ้าดูเถิดว่าเจ้าเรียนมาน้อยหรือเปล่า ชายชาตรีไม่กล่าวถึงความกล้าหาญในอดีตเอามาใช้กับเรื่องนี้ได้งั้นหรือ? เจ้าเคยกล้าหาญด้วยรึ”
ไทเฮากู้กล่าวพลางหัวเราะคิกคัก
“หม่อมฉันตั้งใจแหย่ให้พระองค์มีความสุขหรอกเพคะ! ใครบอกว่าหม่อมฉันไม่ชอบอ่านเขียนตอนเด็กแล้วจะไม่รู้หนังสือ”
หยุนหว่านหนิงส่งเสียงในลำคอเบาๆ “หลายปีที่อยู่ในจวนอ๋องหมิง หม่อมฉันทำงานหนักมากเพคะ! หม่อมฉันศึกษาการแพทย์มานับไม่ถ้วน ตอนนี้แม้แต่เสด็จพ่อยังบอกว่าทักษะทางการแพทย์ของหม่อมฉันดีกว่าหมอหลวงหยางเลย!”
“งั้นหรือ”
ไทเฮากู้ประหลาดใจเล็กน้อย
หวางหมัวมัวยิ้มและกล่าวว่า “ในเมื่อฮ่องเต้บอกว่าใช่ เช่นนั้นก็คงพอตัวละเพคะ!”
“โอ้โฮ มองไม่ออกเลยว่าหนิงเอ๋อร์ของเราจะเก่งขนาดนี้ ถึงขนาดเทียบกับทักษะทางการแพทย์ของหมอหลวงหยางเลยหรือ”
สายตาของไทเฮากู้เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจเช่นกัน “ดี! สมเป็นหลานสาวของข้าจริงๆ!”
นางกับกู้ป๋อจ้งเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน หยุนหว่านหนิงเป็นหลานสาวของกู้ป๋อจ้ง ดังนั้นนางก็ต้องเป็นหลานสาวของนางเหมือนกันมิใช่หรือ!
“เช่นนั้นเจ้าก็ตรวจดูให้ข้าเถิด”
ไทเฮากู้ค่อยๆ ยื่นมือออกมา “นี่คือโรคเก่าของข้า”
“แม้แต่หมอหลวงหยางกับคนอื่นๆ ยังบอกว่าทำได้แค่พักฟื้นเท่านั้น ไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้ ที่พระราชวังแห่งนี้มีหมอหลวงอยู่ด้วย แต่ข้าอยากฟังว่าเจ้าจะว่าอย่างไรบ้าง”
เมื่อพบกับสายตาที่มองนางอย่างมีความหมาย หยุนหว่านหนิงจึงพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม
นางวางนิ้วลงบนชีพจรของไทเฮากู้และค่อยๆ หลับตาลง
เวลาผ่านไปทุกนาที ทุกวินาที
หวางหมัวมัวและคนอื่นๆ ยืนอยู่ข้างๆ โดยไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
ไทเฮากู้มองหยุนหว่านหนิงด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน
หลังจากผ่านไปประมาณสิบห้านาที จู่ๆ หยุนหว่านหนิงก็ลืมตาโพล่ง สีหน้าดูไม่ดีเลยสักนิด!
เห็นดังนั้นไทเฮากู้จึงรีบถามว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ หนิงเอ๋อร์”