อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 254 ฉวยโอกาสฟ้อง
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 254 ฉวยโอกาสฟ้อง
เห็นเพียงซูปิ่งซ่านคุกเข่าลงข้างหนึ่งอยู่ตรงหน้าหยวนเป่า!
น้ำเสียงสะอื้น เปล่งเสียงด้วยความตื่นเต้นผิดปกติ “บ่าว บ่าวคำนับพระนัดดาองค์โต!”
โม่จงหรานถีบทีหนึ่ง “ไปเอาเบาะกลมมา! จะให้หลานชายข้าคุกเข่าอยู่กับพื้นเย็นๆ อย่างนี้อีกนานแค่ไหน เจ้าคนเลอะเลือน!”
ขณะซูปิ่งซ่านกำลังจะลุกขึ้น หวางหมัวมัวก็เอาเบาะกลมมาแล้ว
นางหัวเราะฮาๆ ยัดเบาะที่ใต้เข่าของหยวนเป่า แล้วจึงเอ่ย “ความปรารถนาของฝ่าบาท สำเร็จสักทีนะเพคะ!”
หยุนหว่านหนิงฉวยโอกาสพูดอีก “หม่อมฉันมีความผิด เสด็จพ่อโปรด…”
“หลีกไป! ข้าจะพูดกับหลานชายของข้า อย่าขัดจังหวะ”
โม่จงหรานทำหน้ารังเกียจ
เขาย่อตัวอยู่ตรงหน้าหยวนเป่า มองเขาคารวะอย่างเต็มรูปแบบด้วยใบหน้ายิ้มแฉ่ง แล้ว…อุ้มเขาขึ้นมาด้วยตนเอง “ไอ้หยา หลานชายสุดที่รักของข้า!”
“ข้าไม่รู้เลยนะเนี่ย ว่ามีหลานชายตัวโตขนาดนี้แล้ว!”
ต้องรู้ ถึงตอนนี้โม่จงหรานจะมีหลานสาวสามคนแล้ว
แต่ก็ยังไม่มีหลานสาวคนไหนได้รับสวัสดิการอย่างนี้ สามารถถูกโม่จงหรานอุ้มเข้าอกได้!
ก็ใช่ว่าเขาจะไม่รักหลานสาวเหล่านั้น
และเขาก็ไม่ใช่คนหัวโบราณให้ความสำคัญกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิง
เพียงแต่เขาได้เจอหยวนเป่าเป็นคนแรก ทั้งเจ้าเด็กนี่ยังน่ารักขนาดนี้…หลานสาวสามคนนั้น เวลาเจอเขาก็กลัว ขนาดเรียกยังไม่กล้าเรียกเขาเสียงดังเลย
ต่อให้โม่จงหรานอยากเข้าใกล้ แต่เพราะเด็กขี้กลัว จึงได้แต่ปล่อยไป
หยวนเป่าถูกเขาอุ้มอยู่ในอก ทั้งยังโยนสูงอีก ดังนั้นจึงหัวเราะ “เอิ๊กๆๆ” ขึ้นมาทันที
เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะที่เป็นดั่งการเยียวยาแล้ว ความเหนื่อยล้าจากการเร่งเดินทางของโม่จงหรานก็หายเป็นปลิดทิ้ง!
“เข้าไปพูดกันเถอะ”
ไทเฮากู้ยิ้มหน้าชื่นตาบานมองพวกเขา
เมื่อทุกคนเข้าตำหนักหลัก โม่จงหรานยังคงอุ้มหยวนเป่าไว้กับอก อย่างไรก็ไม่ยอมปล่อย
เขาถึงขนาดเอาพู่หยกตรงเอวออกมา แล้วมอบให้หยวนเป่าเป็นของขวัญการพบหน้า
ซูปิ่งซ่านใจสั่นระริก
หยุนหว่านหนิงปิดปากแอบกรุ้มกริ่ม
พู่หยกตรงเอวของโม่จงหราน ไม่ใช่ของธรรมดานะ
ในช่วงเวลาสำคัญ ยังใช้เอาตัวรอดได้ด้วย!
พู่หยกนี้เรียกว่าตราพยัคฆ์
ไม่เพียงแต่เคลื่อนกำลังพลได้ ไม่ว่าผู้ใดเห็นพู่หยกนี้…ประดุจพบฮ่องเต้!
ตอนนี้โม่จงหรานมอบของดีอย่างนี้ให้หยวนเป่าอย่างไม่ลังเล หยุนหว่านหนิงพรูลมหายใจยาว ต่อไปเมื่ออยู่ในวังหลวง ในเมืองหลวง…
ไม่ นางคือพระชายาในเมืองหลวง นอกจากไทเฮากับฮองเฮาแล้ว ลำดับยศยังจะสูงกว่าเต๋อเฟยอีก!
ที่เคารพนบนอบกับเต๋อเฟย ก็แค่เพราะนางคือแม่สามีเท่านั้น!
เดิมนางก็สามารถวางก้ามในเมืองหลวงและหนานจวิ้นได้อยู่แล้ว!
บัดนี้บุตรชายได้พู่หยกอันนี้ นางก็ไม่ต้องเกรงกลัวอะไร วางก้ามได้มากกว่าเดิม!
โม่จงหรานอุ้มหยวนเป่า เล่นกับเขาพักหนึ่ง
เวลาจะเย็นแล้ว หวางหมัวมัวจึงเข้ามาบอกว่าจะพาหยวนเป่าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
เมื่อนั้นเขาจึงปล่อยมืออย่างอาลัยอาวรณ์ “ไม่อย่างนั้น ข้าไปอาบน้ำให้หยวนเป่าก็แล้วกัน?”
หวางหมัวมัวยิ้มเอ่ย “ฝ่าบาท ทรงเคยทำมาก่อนหรือเพคะ พระนัดดาองค์โตซุกซนยิ่งนัก! พออาบน้ำเปลี่ยนชุดแล้ว ก็รับพระกระยาหารเย็นได้แล้วเพคะ!”
พอเห็นแขนเสื้อหยวนเป่ามีดินโคลนเป็นจุดๆ โม่จงหรานจึงรีบพูด “อย่างนั้นพวกเจ้ารีบไปรีบมา”
“เพคะ ฝ่าบาท”
หวางหมัวมัวพาหยวนเป่าออกไป
เมื่อนั้นโม่จงหรานจึงแค่นเสียงฮึเย็นทีหนึ่ง “บังอาจหยุนหว่านหนิง! เจ้ารู้ความผิดหรือไม่”
หยุนหว่านหนิงระอาใจ
เมื่อกี้นางยอมรับผิดตั้งหลายครั้งแล้ว ก็เขานี่แหละที่บอกให้หลีกไปมิใช่หรือ!
แต่ไทเฮากู้นั่งแท่นอยู่ นางไม่กลัวว่าโม่จงหรานจะทำอะไรนางหรอก…และรู้ว่าเขาจะไม่ทำอะไรนางด้วย
“หม่อมฉันมีความผิดเพคะ”
หยุนหว่านหนิงวางถ้วยน้ำชา คุกเข่าตรงหน้าเขา
“ฮึ”
โม่จงหรานเบือนหน้ามองทางหน้าต่าง ท่าทาง ‘ข้าไม่อยากสนใจเจ้า’
หยุนหว่านหนิงแสดงออกว่าหมดคำพูดมาก
เมื่อกี้ยังทำหน้าโกรธอยู่เลย พริบตาก็เชิดใส่แล้ว
ทีแรกนางคิดว่าพอเขาเปิดปากมาก็ไต่ถามว่าทำไมถึงปิดบังการมีตัวตนของหยวนเป่ากับเขา
ใครจะรู้ พอโม่จงหรานเปิดปากมาก็ ‘ฮึ’ เฉยๆ!
“เสด็จพ่อ”
เขาปลุกปลอบอย่างใจเย็น “ล้วนเป็นหม่อมฉันไม่ดีเองเพคะ! แต่นี่ก็ต้องโทษโม่เยว่! หม่อมฉันบอกแต่แรกแล้วว่าต้องทูลบอกเรื่องนี้กับเสด็จพ่อ”
“ใครจะรู้ เป็นตายอย่างไรโม่เยว่ก็ไม่อนุญาต!”
หยุนหว่านหนิงโยนเรื่องนี้ให้โม่เยว่แบบไม่ลังเลแม้แต่น้อย…
โม่เยว่ที่กำลังตรวจฎีกาอยู่ในขณะนี้ จามหลายครั้งติดกัน
หรูโม่ที่ยืนอยู่ด้านข้างนับ “นายท่าน ได้ยินว่าการจามก็มีกฎเหมือนกันนะขอรับ”
“หนึ่งคิดถึง สองด่า สามเป็นหวัด! เมื่อกี้ท่านจามสี่ครั้ง ก็คือสอง สองครั้ง แสดงว่ามีคนสองคนกำลังด่าท่านอยู่ขอรับ!”
โม่เยว่ขยี้จมูก ขมวดคิ้วแน่น
ยามนี้ ในตำหนักสิงกงมีคนสองคนกำลังร่วมกันก่นด่าเขาด้วยความเดือดดาลอยู่จริงๆ
“เจ้าตัวบัดซบ! ถึงกับกล้าขัดขวางไม่ให้ข้าเจอกับหลานชายสุดที่รักของข้า?! เอาไว้ข้ากลับเมืองหลวงก่อนนะ ข้าจะถลกหนังตีขาสุนัขของมันเลย!”
โม่จงหรานโมโหพลุ่งพล่านเลิกแขนเสื้อ
หยุนหว่านหนิงกำลังสะบัดผ้าเช็ดหน้า เช็ดขอบตาที่ไม่มีน้ำตาสักหยด มองเขาอย่างน้อยอกน้อยใจ
“ใช่เพคะเสด็จพ่อ โม่เยว่น่าชังยิ่งนัก! เขาบอกว่าปกติพระองค์ชอบด่าเขา ก็เลยไม่ให้พระองค์พบหยวนเป่า แล้วยังไม่อนุญาตให้หม่อมฉันทูลบอกกับพระองค์ด้วยเพคะ!”
“เสด็จพ่อ โม่เยว่ก็คือไอ้เลวเพคะ!”
“อื่ม ไอ้เลวจริงๆ!”
โม่จงหรานเดือดพลุ “รอข้ากลับเมืองหลวงก่อนนะ จะไม่เว้นเลย!”
“ไม่เพียงเท่านี้นะเพคะ!”
หยุนหว่านหนิงรีบฉวยโอกาสฟ้อง “เสด็จพ่อมิทรงทราบ โม่เยว่เอาแต่สงสัย ว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่สายเลือดของเขา”
“เขาสงสัยมาตลอด ว่าจะเป็น… ‘ลูกชู้’ ของหม่อมฉันกับบ่าวไพร่เพคะ!”
นางร้องห่มร้องไห้ “หลายปีก่อนเขาเข้าใจผิดหม่อมฉัน ดังนั้นก็เลยกักบริเวณหม่อมฉันให้อยู่แต่ในเรือนชิงหยิ่ง! ตอนที่คลอดหยวนเป่า หม่อมฉันต้องทุบแจกัน แล้วใช้เศษกระเบื้องตัดสายสะดือเองเพคะ”
“สี่ปีมานี้ เพื่อเลี้ยงหยวนเป่าให้อยู่รอด หม่อมฉันกินไม่อิ่มใส่ไม่อุ่น…”
“แต่ถึงจะเป็นอย่างนี้ ก็ยังถูกเขาสงสัยว่าเป็น ‘ลูกชู้’ ของบ่าวไพร่! เสด็จพ่อ หม่อมฉันไม่ได้รับความเป็นธรรมเพคะ!”
นางเอามือปิดหน้า ร้องไห้สะอึกสะอื้น
ถ้อยคำนึ่งครึ่งจริงครึ่งเท็จ แต่กลับทำให้คนฟังแล้วรู้สึกสัตย์จริงยิ่งนัก
โดยเฉพาะนางร้องไห้หนักขนาดนี้ แม้แต่ไทเฮากู้ก็ยังอดน้ำตาร่วงไม่ได้ รับผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมจากมือสาวใช้ ซับหยาดน้ำตาบนใบหน้า
โม่จงหรานก็ไม่เคยคิดมาก่อน ว่าสี่ปีนี้หยุนหว่านหนิงจะตกระกำลำบากถึงเพียงนี้!
ในใจเขามีความรู้สึกซับซ้อน
สายตาที่มองนาง ระคนความสงสารชัดเจน
“ข้ารู้ เจ้าเป็นเด็กดีคนหนึ่ง!”
เขาประคองหยุนหว่านหนิงขึ้นมาด้วยตนเอง “แค่คิดไม่ถึง ว่าเจ้าเจ็ดจะบัดซบถึงเพียงนี้!”
“มิน่าล่ะ เจ้าถึงไม่บอกข้า หยวนเป่าโตขนาดนี้แล้ว ที่แท้เป็นเพราะเจ้าเจ็ดเข้าใจผิดเจ้า ทั้งยังไม่อนุญาตให้เจ้าบอกข้า…”
โม่จงหรานทอดถอนใจ ใบหน้าตึงเครียด
แต่พอเห็นหยุนหว่านหนิงร่ำไห้โศกา เขาก็ขมวดคิ้วเป็นปมแน่น ตบบ่านาง “หว่านหนิง เจ้าวางใจเถอะ! ขอเพียงมีข้าอยู่ จะต้องทวงความเป็นธรรมเข้าข้างเจ้าแน่!”
“เจ้าเจ็ดตัวบัดซบ ข้าต้องจัดการเขาแทนเจ้าแน่นอน!”
“เอาไว้กลับถึงเมืองหลวง ข้าจะระบายความอัดอั้นให้เจ้าทันที!”
เมื่อนั้นหยุนหว่านหนิงจึงสูดจมูก “เสด็จพ่อ เช่นนั้นพระองค์ยังจะโทษหม่อมฉันที่ปิดบังเรื่องหยวนเป่าหรือไม่เพคะ”
“นี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้าสักหน่อย ข้าจะโทษเจ้าทำไม!”
โม่จงหรานทำหน้าขึงขัง เอ่ยเสียงหนัก “อีกอย่าง เจ้ามีหลานชายคนโตให้ตระกูลโม่ เป็นขุนนางผู้มีผลงานใหญ่หลวง! ข้าต้องปูนบำเหน็จให้เจ้าสิ จะลงโทษเจ้าได้อย่างไร”
อาจเพราะนึกถึงว่าหยุนหว่านหนิงได้รับความไม่เป็นธรรม…
โม่จงหรานสายตาขรึม ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วจึงสั่งกับซูปิ่งซ่าน “ร่างโองการทันที ส่งโองการข้ากลับเมืองหลวง…”