อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 257 ข้าจะแย่งชิงเอง
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 257 ข้าจะแย่งชิงเอง
“ค่ายห้ากองพลอะไร? เกิดอะไรขึ้น?”
เต๋อเฟยสีหน้าดูสงสัย “เจ้าใหญ่กับเจ้ารองดูแลอยู่ที่ค่ายห้ากองพลไม่ใช่หรือ? เยว่เอ๋อร์ เกี่ยวอะไรกับเจ้า?”
“เสด็จแม่ ลูกต้องไปก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
โมเยว่ไม่ตอบ และลุกขึ้นจากไปในทันที
หลังจากกลับมาที่ห้องทรงพระอักษร หรูโม่ก็รายงานเบาะแส “นายท่าน เป็นอย่างที่ท่านสงสัย อ๋องหยิงคอยผสมโรงเรื่องนี้จริงๆ”
“แต่อ๋องหยิงไม่ได้ออกหน้า”
“เช่นนั้นหรือ? ”
โมเยว่เลิกคิ้ว “พูดต่อสิ! ”
โม่หุยเฟิงเป็นคนที่มีความสามารถ
เขาส่งคนไปจับตาดูจวนอ๋องหยิง และพบว่าในระยะนี้เขาไม่ได้ออกจากจวนอ๋องแม้แต่ครึ่งก้าว ไม่คิดเลยว่าเขาจะคอยผสมโรงเรื่องของค่ายห้ากองพล
จะเห็นได้ว่าเบื้องหลังเขา ยังมีอำนาจอื่นอยู่อีก!
“อันที่จริงเรื่องนี้อ๋องฮั่นเป็นคนทำ!”
ทันทีที่หรูโม่เอ่ยปาก โมเยว่ก็รู้สึกประหลาดใจ “อ้อ?! ”
เขาสงสัยคนมากมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ รวมถึงโม่หุยเหยียนและโม่หุยเฟิงด้วย
แต่คนเดียวที่ไม่เคยสงสัยเลยคือโม่ฮั่นอี่ว์!
ในสายตาของเขา โม่ฮั่นอี่ว์เป็นพวกขี้เมาหยำเป
แม้ว่าเขากับโม่หุยเหยียนจะดูแลค่ายห้ากองพล แต่ความจริงแล้วคนที่เป็นผู้รับผิดชอบคือโม่หุยเหยียน โม่ฮั่นอี่ว์เป็นแค่คนที่ปะปนเข้ามา
ใครจะรู้ว่าคดีที่ยังค้างคาอยู่นี้ จะเป็นเขาที่เป็นกุญแจสำคัญ!
“เล่ามาอย่างละเอียด”
โม่เยว่นั่งลงด้วยสีหน้าจริงจัง
นี่ดูเหมือนว่าพี่ชายที่สองจะไม่น่าไว้ใจ เป็นเขาที่ประเมินเขาต่ำไป!
หรูโม่พูดด้วยเสียงต่ำ “ข้าน้อยพบว่าระยะนี้ผู้ที่ชื่อพลทหารของค่ายห้ากองพล ทักจะเข้าออกจวนอ๋องหยิงอยู่บ่อยครั้ง”
สับเปลี่ยนในวันธรรมดาไม่มีทางถูกสงสัย
ถึงอย่างไรโม่หุยเฟิงก็เป็นคนจัดการค่ายกองพลห้า
แม้ว่าตอนนี้จะถูกโม่หุยเหยียนและโม่ฮั่นอี่ว์เข้ายึดครอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะหันหลังให้กับโม่หุยเฟิง และจงรักภักดีต่อ “เจ้านายใหม่” ทั้งสอง
เป็นเรื่องปกติที่จะมีคนเข้าออกจวนอ๋องหยิง เพื่อแอบส่งข่าวให้โม่หุยเฟิง
“เดิมทีข้าน้อยคิดว่าพลทหารผู้นั้นกลับมารายงานอ๋องหยิงเกี่ยวกับคดีที่ยังค้างคาของค่ายห้ากองพล”
หรูโม่กล่าวว่า “ข้าน้อยเดาว่าอ๋องหยิงต้องมีส่วนร่วมด้วย เป็นการดีที่สุดหากคดีที่ยังค้างคาจะคลี่คลาย ทำคุณงามความดีระหว่างต้องโทษ และยึดค่ายห้ากองพลกลับคืนมา”
การคาดเดานี้สมเหตุสมผล
โม่เยว่พยักหน้า บอกใบ้ให้เขาดำเนินการต่อ
“แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อข้าน้อยติดตามพลทหารผู้นั้นอย่างใกล้ชิด กลับพบเขาเดินไปเดินมาทั่วเมืองหลวง……”
“หลังจากเดินวนแล้ว เขาก็เข้าไปในจวนอ๋องฮั่น! ”
โม่เยว่หรี่ตาลงเล็กน้อย “หึ้ม? ”
“ข้าน้อยแอบเข้าไปในจวนอ๋องฮั่น และพบว่าอ๋องฮั่นเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องนี้ เขาแอบซื้อตัวพลทหารผู้นั้นมานานแล้ว และเขาแนะนำอ๋องหยิงให้ยึดค่ายห้ากองพลกลับคืนมา”
เห็นได้ชัดว่าไม่ง่ายเลยที่โม่หุยเฟิงจะยึดค่ายห้ากองพลกลับคืนมา
เขาถูกคุมขังอยู่ที่จวนอ๋อง และไม่สามารถทำอย่างอื่นได้
ดังนั้นจึงทำได้เพียงเริ่มต้นจากภายในค่ายห้ากองพล
โดยไม่คำนึงถึงจำนวนผู้เสียชีวิตในหอนางโลม หรือสมาชิกในค่ายห้ากองพลที่ถูกแขวนไว้นอกประตูเมือง ทั้งหมดล้วนเป็นคนที่แสดงความจงรักภักดีต่อโม่ฮั่นอี่ว์!
โม่หุยเฟิงดึง “ตะปู” ออกมาทีละตัว
สมาชิกที่เหลือของค่ายห้ากองพลที่ติดตามเขามานาน จะไม่รู้ได้อย่างไรว่านี่เป็นอุบายของอ๋องหยิง?
จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเขากำลังเขียนเสือให้วัวกลัว เชือดไก่ให้ลิงดู!
ดังนั้นคนที่เหลือจึงไม่กล้าทำอะไรผลีผลามอีก
“อ๋องฮั่นกุมหลักฐานการกระทำความผิดทั้งหมดของอ๋องหยิงอยู่ในมือแล้ว เมื่อฝ่าบาทกลับมา เขาจะต้องนำหลักฐานออกมาอย่างแน่นอน”
เมื่อถึงเวลานั้น โม่หุยเฟิงก็ยากที่จะพลิกสถานการณ์!
แต่โม่ฮั่นอี่ว์กุมหลักฐานเหล่านี้ไว้ แน่นอนว่าไม่มีทางส่งมอบให้โม่เยว่
แถมเขายังคิดว่าตัวเองจะแย่งชิงความดีความชอบไป แล้วจะมอบหลักฐานเหล่านี้ให้โม่เยว่ไปสร้างความดีความชอบได้อย่างไร?!
“นายท่าน ในตอนนี้ท่านคิดว่าพวกเราควรทำอย่างไรขอรับ?”
หรูโม่ถามอย่างลังเลว่า “แย่งชิงหลักฐานมาจากในมืออ๋องฮั่นอย่างโจ่งแจ้ง หรือว่าแย่งชิงหลักฐานจากในมืออ๋องฮั่นอย่างลับๆ !? ”
“แย่งชิง? ”
เมื่อได้ยินคำนี้ โมเยว่ก็ไม่สบอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด
เขาขมวดคิ้ว “ข้าเป็นโจรอย่างนั้นหรือ?”
ใช้อะไร “แย่งชิง” คำอธิบายนี้ไม่เหมาะสมเพียงใด?
หรูโม่กระแอมเบาๆ “นายท่าน เช่นนั้นท่านคิดว่าควรทำอย่างไรขอรับ?”
“ไปพาพี่รองเข้ามาในวัง”
โมเยว่ยกคางขึ้น และกำชับเป็นพิเศษว่า “จำไว้ว่าเชิญเข้ามาในวัง ไม่ใช่ทำให้พี่รองสลบแล้วพาเข้าไปในวัง! ”
หรูโม่ลูบจมูก “ขอรับนายท่าน”
นายท่านรู้ได้อย่างไรว่าเขาวางแผนที่จะทำให้อ๋องฮั่นสลบแล้วพาเข้าไปในวัง? !
“นายท่าน พาอ๋องฮั่นเข้ามาในวังแล้ว ท่านวางแผนจะทำอย่างไร?”
หรือว่าต้องการจะร่วมมือกับอ๋องฮั่น?
หรือ……
“ข้าจะแย่งชิงเอง”
โมเยว่กล่าวอย่างช้าๆ
หรูโม่ “……นายท่านช่างปราดเปรื่อง! ”
เขารับคำสั่งและจากไปในทันที
หลังจากนั้นไม่นาน โม่ฮั่นอี่ว์ก็เข้าไปในห้องทรงพระอักษรพร้อมกับบ่นพึมพำ “เจ้าเจ็ด ทำไมองครักษ์ผู้นี้ของเจ้าถึงไม่รู้จักมารยาทเอาเสียเลย! นี่เป็นการเชิญข้าเข้ามาในวังอย่างนั้นหรือ?!”
โม่เยว่เงยหน้าขึ้นไปมอง
และเห็นว่าโม่ฮั่นอี่ว์ถูกหรูโม่ “เชิญ” เข้ามาพอดี
เพียงแต่มือทั้งสองของเขาถูกมัดไว้ และใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ “ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี! ข้าเป็นพี่รองของเจ้า! แต่เจ้ากลับกล้าสั่งให้ลูกน้องปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้?!”
เชือกมัดมือทั้งสองของเขาไว้ และปลายเชือกอีกข้างก็อยู่ในมือของหรูโม่……
หรูโม่ดูเหมือนกำลังจูงวัว และจูงเขาเข้าไปในวัง!
โม่เยว่ขมวดคิ้วและมองไปที่หรูโม่ “เจ้าทำอะไร?”
“นายท่าน ท่านบอกว่าให้เชิญท่านอ๋องฮั่นเข้ามาในวังอย่างสุภาพ”
หรูโม่เกาหัวอย่างไร้เดียงสา “เพียงแต่ท่านอ๋องฮั่นไม่ให้ความร่วมมือมากนัก! ท่านบอกว่าห้ามทำให้ท่านอ๋องฮั่นสลบแล้วพาเข้าไปในวัง ข้าน้อยจึงทำได้เพียงแค่นี้…… ”
ในขณะที่พูด เขาก็ยื่นเชือกในมือให้โม่เยว่
แน่นอนว่าโม่เยว่รับไว้ “พี่รอง ลูกน้องผู้นี้ไม่ค่อยประสีประสา ข้าต้องขอโทษแทนเขาด้วย”
โม่ฮั่นอี่ว์ตะคอกอย่างไม่พอใจ “ข้ากำลังกินข้าว…..มื้อเที่ยงก็ยังไม่ได้กิน หิวแทบแย่ ข้ากำลังกินน่องไก่ แต่น่องไก่ก็ถูกฝ่ามือของหรูโม่จนตกลงบนพื้น”
“น่องไก่นั่นชิ้นโตมาก น่าเสียดาย!”
เขาส่ายหัวอย่างเสียดาย
“เสี่ยวเหลียงจื่อ”
โมเยว่สั่งเหลียงเสี่ยวกงกงที่อยู่นอกประตูในทันที “ตั้งสำรับ! อย่าลืมเตรียมน่องไก่ด้วย! ชิ้นโตๆ! ”
“พี่รอง เชิญนั่ง”
เขาดึงเก้าอี้ออกมาให้โม่ฮั่นอี่ว์นั่งลงและพูดคุยกัน
แต่ไม่คิดที่จะแก้เชือก……
เดิมทีในตอนนี้ก็ได้เวลาอาหารกลางวันแล้ว และห้องเครื่องก็เตรียมไว้แล้ว
หลังจากตั้งสำรับอาหารเสร็จ โม่ฮั่นอี่ว์ก็ขยับมือ “เจ้าจะให้ข้ากินอย่างไร? เจ้าจะป้อนข้าด้วยตัวเอง หรือว่าจะให้หรูโม่ป้อน?”
ช่วงนี้โม่ฮั่นอี่ว์อ้วนขึ้นมาก
เดิมทีมือทั้งสองฃองเขาก็อวบอ้วนอยู่แล้ว เมื่อเอาเชือกออกจึงมีรอยแดงเล็กน้อยในทันที
โมเยว่แก้เชือกให้เขา “พี่รอง เชิญ! ”
โม่ฮั่นอี่ว์มองไปที่อาหารบนโต๊ะ กลืนน้ำลาย และหยิบน่องไก่ขึ้นมากินในทันที
ในขณะกิน เขาก็ถามโม่เยว่ไปว่า “เจ้าเจ็ด เจ้าไม่กินหรือ?”
“ข้ายังไม่หิว”
โมเยว่ส่ายหัวช้าๆ และมองเขาด้วยสายตาที่มีเลศนัย “พี่รอง อาหารพวกนี้อร่อยหรือไม่?”
“อร่อย! ทำไมเจ้าไม่กิน?”
ในขณะโม่ฮั่นอี่ว์กำลังกิน ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกถึงสายตาแปลกๆ ของโมเยว่……เขาวางน่องไก่ลงอย่างลังเล “เจ้าเจ็ด อาหารพวกนี้มีอะไรผิดปกติหรือไม่?”
“เจ้าคงไม่ได้คิดร้ายกับข้าใช่หรือไม่?”
ทันทีที่พูดออกมา ใบหน้าอ้วนๆ ก็ยับยู่ยี่ แล้วคนทั้งคนก็ฟุบลงบนโต๊ะ!