อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 268 อกแตกตายไปอีกคนแล้ว
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 268 อกแตกตายไปอีกคนแล้ว
“หรือจะบอกว่า ให้ท่านฟังบางอย่าง”
นางเดินไปถึงข้างเตียง หยิบปากกาบันทึกเสียงด้ามหนึ่งออกมาจากช่องว่าง
ในตอนที่นางเข้ามา โม่หุยเฟิงก็ระมัดระวังตัวในทุกด้านแล้ว โดยเฉพาะตอนที่หยุนหว่านหนิงยื่นมือเข้าไปในแขนเสื้อ เขาก็ยิ่งตั้งสติเป็นอย่างดี
กลัวแต่ว่าวินาทีต่อมา นางจะหยิบเข็มเงินออกมาจากแขนเสื้อ……
อย่างไรเสียตอนที่อยู่ในห้องทรงพระอักษร เห็นนางพกเข็มเงินติดตัว โม่หุยเฟิงก็ตกตะลึงอย่างมากแล้ว
เขากลัวแต่ว่าสักวันหนึ่ง เข็มเงินนี้จะถูกใช้กับเขา!
“บทเรียน” ที่ผู้หญิงคนนี้ให้กับเขา มันมากเกินไปแล้วจริงๆ
ดังนั้นตอนนี้แค่เห็นหยุนหว่านหนิงยื่นมือเข้าไปในแขนเสื้อ โม่หุยเฟิงก็ประหม่าจนขมับเต้น “ตุ้บๆ” ขึ้นมา
แต่เมื่อเห็นสิ่งที่นางหยิบออกมาคือ “กล่องเล็กๆ” กล่องหนึ่ง โม่หุยเฟิงก็ขมวดคิ้วแน่น “นี่คืออาวุธอะไร? เจ้าอยากลอบทำร้ายข้าหรือ?”
“เจ้าคิดจะทำอะไร?”
“หยุนหว่านหนิง ข้าขอเตือนเจ้าเอาไว้นะ! หากเจ้ากล้าทำอะไรข้า ข้าจะไม่……”
เขาพูดอย่างรวดเร็ว แสดงให้เห็นว่าตกใจแย่แล้ว
และแสดงให้เห็นว่า ในใจเขามีความหวาดกลัวหยุนหว่านหนิงนานแล้ว
ยังไม่ทันได้พูดจบ ก็ได้ยิน “กล่องเล็กๆ” นั่น จู่ๆ “เอ่ยปากพูดขึ้นมา” แล้ว!
ข้างในมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา “ท่านก็รู้ว่า ข้าน่าจะยังมีประโยชน์ให้ใช้อยู่! ไม่ว่าจะเป็นจวนกั๋วกงของเรา หรือว่าในจวนอ๋องหยิง!”
นี่คือ……
เสียงของหยุนธิงหลาน!”
โม่หุยเฟิงสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที มองไปที่หยุนหว่านหนิงครู่หนึ่งโดยสัญชาตญาณ
ได้ยินเพียงเสียงของผู้ชายแปลกหน้าอีกคนดังมาจากข้างใน น้ำเสียงแฝงการดูแคลนเล็กน้อย “ตอนนี้ไม่มีจวนอ๋องหยิงแล้ว มีเพียงจวนอ๋องสามเท่านั้น”
สีหน้าของโม่หุยเฟิงไม่น่าดูมากขึ้นไปอีก
ตั้งแต่หยุนหว่านหนิงเข้ามาจนถึงตอนนี้ ถึงแม้จะไม่ได้ทำอะไรเขาเลย
แต่คำพูดสองสามประโยคนี้ ไม่ต่างอะไรไปจากการตบหน้าของเขา
การตบที่มองไม่เห็นนี่ ตบจนโม่หุยเฟิงวิงเวียนไม่รู้ทิศทาง บนใบหน้าก็เจ็บอย่างปวดแสบปวดร้อน
เขาระงับความโกรธแค้นและเจ็บปวดในใจเอาไว้ กัดฟันเอาไว้แน่น ใบหน้าก็เคร่งเครียดเช่นกัน
เสียงของหยุนธิงหลานก็ดังขึ้นมาอีก นางกล่าวขึ้นมาอย่างร้อนใจ “จวนอ๋องสาม! ในใจของอ๋องหยิง……ท่านอ๋องสาม ข้าก็ยังมีสถานะอยู่บ้าง!”
“ถ้าหากท่านอยากจะทำอะไร บางทีข้าอาจจะเป็นสายให้ท่านได้!”
หลังจากจบคำพูดสองสามประโยคนี้ หยุนหว่านหนิงก็กดปุ่มหยุดชั่วคราว
นางเลิกคิ้วมองดูโม่หุยเฟิง
เห็นเพียงตอนนี้เขา เหมือนกับ…….หมีโง่ที่ใกล้จะโมโหจนถึงขีดสุดแล้ว
ไม่ใช่ว่าหยุนหว่านหนิงจะดูถูกเขา
เป็นเพราะว่าตอนนี้บนศีรษะของเขาถูกพันด้วยผ้าพันแผล บาดแผลบนหน้าก็ทุลักทุเลอย่างมากเช่นกัน ถึงแม้ว่าเขาจะพยายามนั่งพิงตรงหัวเตียง แต่ผ้าห่มที่อยู่บนร่างกาย ห่อตัวเขาเอาไว้อย่างแน่นหนา
พูดตามตรงไม่ปิดบัง
เหตุผลที่เมื่อครู่นี้เขาห่อตัวเองเอาไว้อย่างแน่นหนา ก็เพราะกลัวว่าหยุนหว่านหนิงจะหยิบเข็มเงินออกมา แทงเขาอย่างแรง!
เวลานี้ถ้าหากหยุนหว่านหนิงจะแทงเขาจริงๆ เขาไม่มีกำลังต้านทานได้เลยแม้แต่น้อย!
ดังนั้นตอนนี้ว่าเขาเหมือนหมีโง่ตัวหนึ่ง ก็เป็นการยกย่องเขาแล้ว
“ท่านอ๋องสาม น่าจะฟังออกว่านี่คือเสียงพูดของใครใช่ไหม?”
คำว่า “ท่านอ๋องสาม” ทำให้โม่หุยเฟิงยิ่งไม่มีหน้าพบผู้คนมากขึ้นไปอีก
เขากัดฟันเอาไว้ สายตาจ้องมองปากกาบันทึกเสียงที่อยู่ในมือของหยุนหว่านหนิงอย่างไม่ละสายตา “นี่มันคืออะไรของเจ้ากันแน่? ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่า นี่ไม่ใช่การจงใจใส่ร้ายหลานเอ๋อร์ของเจ้า?”
“หลานเอ๋อร์?”
หยุนหว่านหนิงรู้สึกขบขัน
นี่มันเวลาไหนแล้ว โม่หุยเฟิงยังเรียกหยุนธิงหลานว่า “หลานเอ๋อร์” อยู่
แสดงให้เห็นว่าเขารักหยุนธิงหลานจริงๆ!
“เช่นนั้นท่านก็ฟังต่อไป ว่าข้าใส่ร้ายหลานเอ๋อร์ของท่านหรือไม่”
หยุนหว่านหนิงสีหน้าเยาะเย้ย เปิดเนื้อหาของเสียงบันทึกต่อไป
คือเสียงของนาง “หืม? ในเมื่อเจ้ารู้ว่า ตอนนี้อ๋องหยิงกลายเป็นท่านอ๋องสามแล้ว ก็รู้แล้วว่าสำหรับท่านอ๋องของข้าแล้ว โม่หุยเฟิงไม่ได้มีภัยคุกคามใดๆแล้ว”
“เหตุใดข้าถึงต้องการให้เจ้าเป็นสาย? แล้วเหตุใดถึงต้องจัดการกับโม่หุยเฟิงด้วย?”
“ข้า……”
หยุนธิงหลานลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก็กล่าวขึ้นมาอีกว่า “แต่ท่านก็น่าจะรู้ว่า ในใจของโม่หุยเฟิงยังมีข้าอยู่! ไม่อย่างนั้นครั้งนี้ข้าก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา เหตุใดเขาถึงไม่ฆ่าข้าล่ะ? !”
“ท่านน่าจะรู้ว่า เขาเป็นคนที่โหดเหี้ยมอำมหิตคนหนึ่ง!”
เนื้อหาเสียงบันทึกมาถึงตรงนี้ ก็สิ้นสุดลง
โม่หุยเฟิงโกรธจนตัวสั่นไปทั้งตัว ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำแล้ว
หยุนหว่านหนิงกอดอกเอาไว้ ยืนมองดูเขาอยู่ข้างเตียง เดาะลิ้นขึ้นมา “นึกถึงเมื่อตอนนั้น……”
“สามารถกล่าวได้ว่าท่านอ๋องสามคือบุคคลที่ทรงอำนาจในเมืองหลวงเลยก็ว่าได้! มีคนมากมายแค่ไหนที่คิดว่า เสด็จพ่อจะแต่งตั้งท่านเป็นไท่จื่อ มอบแผ่นดินหนานจวิ้นเอาไว้ในมือท่าน”
นางกล่าวออกมาอย่างไม่รีบร้อน
โม่หุยเฟิงเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาแดงก่ำคู่นั้นดูน่ากลัวมากเป็นพิเศษ
“น่าเสียดาย ตอนนี้ตกอับจนถึงขั้นนี้ได้”
หยุนหว่านหนิงไม่กลัวเขาหรอก
นางส่ายหน้าช้าๆ สีหน้าเสียดาย “แม้แต่หยุนธิงหลาน ก็ยังไม่เห็นหัวท่าน ตั้งใจจะคิดคำนวณท่านอย่างเดียว ใช้ประโยชน์จากความจริงใจที่ท่านมีต่อนาง มาขอความเมตตาจากข้า”
โม่หุยเฟิงกัดฟันเสียงดังกรอบ สองมือกำหมัดแน่นแล้ว
“หยุนหว่านหนิง เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่!”
เขาพูดออกมาอย่างยากลำบาก “มีอะไรก็พูดมาตามตรง ไม่จำเป็นต้องเล่นตุกติกกับข้า!”
“ถึงแม้ท่านอ๋องสามจะตกต่ำจนถึงสถานการณ์นี้แล้ว แต่ก็ยังเป็นคนตรงไปตรงมา!”
หยุนหว่านหนิงปรบมือ
โม่หุยเฟิง: “……”
เห็นเขาไม่พูดอะไร ท่าทางเหมือนคนท้องผูก หยุนหว่านหนิงกะพริบตา “ท่านอ๋องสาม เมื่อครู่ข้าชมเชยท่านนะ ทำไมท่านถึงไม่พูดอะไรล่ะ?”
ในเมื่อเป็นการชมเขา ทำไมยังต้องเหยียบย่ำเขาด้วย? !
ต้องขอบคุณที่นางชมเขาจริงๆ!
โม่หุยเฟิงหดหู่ใจ กล่าวถามขึ้นมาอย่างดุดัน “เจ้าอยากจะให้ข้าพูดอะไร? !”
“ถึงแม้ท่านจะไม่ถ่อมตัวหน่อย อย่างน้อยก็ควรขอบคุณใช่ไหม?”
หยุนหว่านหนิงฮึออกมาเบาๆ “นี่คือสามัญสำนึกและมารยาทขั้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์! เสด็จแม่ไม่เคยสอนท่านหรอกหรือ?”
โม่หุยเฟิง: “……”
เขาจะขอบคุณนางกับผีอะไร!
นังผู้หญิงโสโครกคนนี้ กำลังด่าเขาไร้การศึกษาอยู่ชัดๆ!
สงบนิ่ง ใจเย็น!
โม่หุยเฟิงเตือนตัวเองในใจอย่างต่อเนื่อง:ความสามารถที่ร้ายกาจที่สุดของผู้หญิงคนนี้ ก็คือทำให้คนอกแตกตายไม่ต้องชดใช้ชีวิต ตั้งแต่เสด็จพ่อเสด็จแม่ จนถึงเจ้าสี่ที่กำลังป่วยอยู่ ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถหนีไม้นี้ของนางไปได้……
เขาจะต้องใจเย็นเอาไว้ อย่าได้ถูกผู้หญิงคนนี้ส่งผลต่ออารมณ์ความรู้สึก อย่าได้ถูกนางทำให้โกรธจนล้มลงได้
หากเขาโกรธจนล้มลง ผู้หญิงคนนี้ต้องได้ใจจนเหลิงแน่นอน!
ดวงตาทั้งคู่ของโม่หุยเฟิงแดงก่ำ แต่กลับหายใจเข้าลึกๆอย่างต่อเนื่อง พยายามทำให้ตนเองสงบสติอารมณ์ลงมา
เห็นดังนั้น หยุนหว่านหนิงก็หัวเราะออกมาเบาๆ
นางนั่งลงไปบนเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้าง จู่ๆก็ท่องออกมาช้าๆ “ชีวิตก็เหมือนละครฉากหนึ่ง เพราะมีพรหมลิขิตถึงได้มาพบกัน การเกื้อกูลกันจนแก่เฒ่านั้นไม่ง่ายดาย ควรจะถนอมให้มากกว่านี้หรือไม่”
“บันดาลโทสะเพราะเรื่องเล็กน้อย นึกย้อนกลับไปทำเพื่ออะไร”
“คนอื่นจะโกรธข้าไม่โกรธ โกรธจนเจ็บไข้ได้ป่วยไร้คนแทนที่ หากข้าอกแตกตายสมใจใคร นอกจากเหนื่อยกาย……”
โม่หุยเฟิง: “……เจ้ากำลังพึมพำอะไรอยู่!”
“ข้าเห็นว่าท่านอ๋องสามดูเหมือนจะโกรธมาก ดังนั้นจึงโน้มน้าวท่านด้วยเหตุผลไง! ท่านดูสิว่าตอนนี้ท่านโกรธจนเป็นเช่นนี้แล้ว หากไม่สามารถสงบสติอารมณ์ลงมาได้อีก ถูกข้าทำให้อกแตกตายจะทำอย่างไร?”
หยุนหว่านหนิงทำหน้าไร้เดียงสา
“……เจ้าพูดถูกแล้ว”
โม่หุยเฟิงหายใจเข้าลึกๆอย่างยากลำบาก แต่ก็ยังรู้สึกว่ามีลมหายใจเฮือกหนึ่งอัดอั้นอยู่ตรงหน้าอก
ขึ้นก็ไม่ได้ลงก็ไม่ได้ หน้าอกเจ็บแปลบๆ
เคยได้ยิน “วีรกรรมอันยิ่งใหญ่เกรียงไกร” ที่ผู้หญิงคนนี้ทำให้คนอื่นอกแตกตายมานานแล้ว โม่หุยเฟิงไม่เคยคิดเลยว่า วันนี้จะถึงคราวของเขา!
นึกถึงตอนนั้น ได้ยินเรื่องที่หยุนหว่านหนิงทำให้ใครโกรธจนล้มลง……
เขายังรู้สึกเยาะเย้ย คิดในใจว่าคนที่ถูกทำให้โกรธจนล้มลง ร่างกายต้องแย่แค่ไหน ความสามารถในการแบกรับความกดดันทางจิตใจต้องอ่อนแอขนาดไหน!
แต่ตอนนี้ถึงคราวตัวเอง เขาถึงได้รู้ว่านี่มันคือความรู้สึกแบบไหน!
กว่าโม่หุยเฟิงจะสงบสติอารมณ์ลงมาได้ ใครจะรู้ว่าจะได้ยินนางกล่าวขึ้นมาอีกว่า “ใช่แล้วท่านอ๋องสาม ที่ข้ามาในคืนนี้ เพราะยังมีเรื่องหนึ่งจะบอกท่าน”
สัญชาตญาณบอกกับเขาว่า ไม่ใช่เรื่องดีอะไรแน่
สายตาของโม่หุยเฟิงประกายแวบขึ้นมา สองมืออดที่จะจับผ้าห่มเอาไว้แน่นไม่ได้ “เรื่องอะไร?”