อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 28 ระบายความโกรธใส่ฉินซื่อเสวีย
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 28 ระบายความโกรธใส่ฉินซื่อเสวีย
เมื่อครู่ บรรยากาศตึงเครียดจริงจัง
หลังจากที่โม่หุยเฟิงจากไปแล้ว บรรยากาศกดดันนั่นก็หายวับไปอย่างสิ้นเชิง
โม่เยว่กวาดตามองตาอย่างราบเรียบครู่หนึ่ง “สายตาของเจ้ามองไปที่ไหน? เห็นแค่เพียงผู้ชายคนอื่นมีไอสังหาร ไม่เห็นหรือว่าผู้ชายของเจ้าก็มีไอสังหารเช่นกัน?”
หยุนหว่านหนิง: “……”
ผู้ชายของใคร? !
นางทำเป็นไม่ได้ยิน รีบเดินไปข้างประตูอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นวงกบประตูผิดรูปไปแล้ว อดที่จะกล่าวขึ้นมาอีกไม่ได้ “ท่านอ๋องหยิงคนนี้นี่จริงๆเลย ก่อนจะไปยังทำลายประตูจวนอ๋องเราอีก ท่านอ๋อง ท่านรีบไปขอให้เขาชดใช้ค่าเสียหายถึงที่เถอะ!”
โม่เยว่ไม่ได้สนใจนาง เพียงแค่สั่งการให้บ่าวรับใช้ไปเชิญหมอให้กับบ่าวรับใช้ชายที่ได้รับบาดเจ็บ
จากนั้นก็หันหลังจากไปเลย
มองดูแผ่นหลังที่ตรงแน่วของเขา หยุนหว่านหนิงรีบตามไปทันที “ข้ากำลังพูดกับท่านอยู่นะ! ข้านึกว่า วันนี้ท่านอ๋องหยิงจะไม่ยอมเลิกรากับท่านจนกว่าจะตายเสียอีก”
“ทำไมบทจะไปก็ไปเลยล่ะ?”
“ไม่เลิกราจนกว่าจะตาย?”
โม่เยว่หยุดลงกะทันหัน
หยุนหว่านหนิงคิดไม่ถึงว่าจู่ๆเขาจะหยุดลง หยุดเอาไว้อย่างเร็วก็ไม่ทันการแล้ว หน้าผากชนกับแผ่นหลังของเขาอย่างแรง
ผู้ชายคนนี้ ทำมาจากก้อนหินหรืออย่างไร?
นางเจ็บปวด กุมหน้าผากเอาไว้แล้วมองดูเขาด้วยสีหน้าคับแค้นใจ “ก่อนที่จะหยุดลงมา ให้สัญญาณหน่อยได้ไหม?”
โม่เยว่จ้องมองดวงตาของนางอย่างไม่ละสายตา “เจ้านึกว่า ข้ากับพี่สามจะไม่เลิกราจนกว่าจะตาย? ดังนั้น เจ้าก็เลยตามออกมาวางแผนจะเก็บศพข้าหรือ?”
“ถูกพูดแทงใจดำ อย่างไรก็กระอักกระอ่วนมากนะ”
หยุนหว่านหนิงฝืนยิ้มออกมา
ก็ไม่ใช่ว่าจะมาเก็บศพโม่เยว่หรอก
นางรู้ว่า ถึงแม้โม่หุยเฟิงจะใจกล้ามากแค่ไหน เกรงว่าคงไม่กล้าฆ่าโม่เยว่โดยตรงหรอก
เพียงแต่ มาดูว่าความขัดแย้งของพวกเขาจะดุเดือดรุนแรงถึงขั้นไหนเท่านั้น
ทางที่ดีที่สุด คือสู้จนขึ้นมาโดยตรงเลย!
ถ้าหากบาดเจ็บด้วยกันทั้งสองฝ่าย……คนที่ได้รับผลประโยชน์ก็คือนางหยุนหว่านหนิง
นางหัวเราะแหะๆ
ในดวงตาของโม่เยว่มีความซับซ้อนแวบผ่านไปเล็กน้อย “ไม่สามารถทำให้เจ้าสมหวังได้ กลับกลายเป็นความผิดของข้า”
ถึงแม้จะพูดเช่นนี้ เขาก็ไม่ได้โกรธอะไร เพียงแค่ฮึเสียงเย็นชาออกมาคำหนึ่ง “ตอนนี้ เกรงว่าจะเป็นการเปิดฉากการทำสงครามอย่างเป็นทางการแล้ว ตอนนี้พี่สาม ยังไม่กล้าแตกหักกับข้าอย่างจริงจัง”
ที่มาวันนี้ ก็แค่จะมาหยั่งเชิงท่าทีของเขาเท่านั้น
ถึงแม้จะทะเลาะกันไปถึงหน้าโม่จงหราน เรื่องนี้โม่หุยเฟิงก็มีเหตุผลไม่เพียงพออยู่ดี
ต้องบอกว่า โม่เยว่เดาถูกแล้ว
โม่หุยเฟิงกลับไปที่จวนอ๋องหยิงด้วยความโกรธเต็มท้อง
เวลานี้ลูกสาวสองคนของเขายังนอนกลางวันอยู่ ฉินซื่อเสวียได้ยินว่าเขากลับมาแล้ว ก็มาที่ห้องโถงใหญ่
ทันทีที่เข้าประตูมา เห็นสีหน้าของเขามืดมน อดที่จะขมวดคิ้วแล้วกล่าวถามไม่ได้ “นี่ท่านอ๋องเป็นอะไรไป? ไปที่จวนอ๋องหมิงเพื่อคิดบัญชีกับอ๋องหมิงมาไม่ใช่หรือ?”
ทำไม กลับมายังทำหน้าบูดบึ้งอีก?
หรือว่า ไม่ค่อยราบรื่นเท่าไหร่?
พอเห็นฉินซื่อเสวีย โม่หุยเฟิงก็นึกถึงคำพูดที่หยุนติงหลานเคยพูดกับเขา
บอกว่าฉินซื่อเสวียกับโม่เยว่เคยหมั้นหมายกันมาก่อน ไม่ว่าจะเคยมีอะไรกับโม่เยว่หรือไม่ แต่สำหรับเขาก็เป็นรองเท้าเก่าคู่หนึ่งแล้ว
อย่างไรเสีย หลายปีมานี้ในสายตาของทุกคน ช้าเร็วฉินซื่อเสวียก็จะเป็นผู้หญิงของท่านอ๋องหมิง
เดิมทีโม่หุยเฟิงก็เป็นคนที่กลัวเสียหน้าอยู่แล้ว
เพราะได้ยินคำพูดเหล่านี้ ไม่ว่าจะมองฉินซื่อเสวียอย่างไรก็ดูขัดหูขัดตาไปหมด ในใจรู้สึกรำคาญอย่างมาก
ถึงได้คิดจะ รับสนมมาปรับสมดุลจิตใจ
ตอนนี้เห็นใบหน้าของนางอีก……เขาก็ยิ่งโกรธจัดมากขึ้น คว้าถ้วยชาที่อยู่ข้างมือขึ้นมา ขว้างไปข้างเท้าของฉินซื่อเสวียอย่างแรง!
“อ๊า……”
ฉินซื่อเสวียตกใจสุดขีด กรีดร้องพร้อมกระโดดตัวขึ้นมา
ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น น้ำชาที่ร้อน ก็ยังคงสาดมายังชายกระโปรงของนาง
เศษซากชิ้นส่วนที่แตกออกกระจัดกระจาย ระเกะระกะไปทั่ว
“ท่านอ๋อง ท่านทำอะไรน่ะ!”
ฉินซื่อเสวียหันกลับมา มองดูเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ช่วงที่ผ่านมานี้ ถึงแม้ความสัมพันธ์ของพวกเขาสองสามีภรรยาจะไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ไม่ถึงขั้นต้องลงไม้ลงมือ
การกระทำของโม่หุยเฟิงในวันนี้ ทำให้นางตกใจมากจริงๆ!
“ทำอะไร? เจ้าพูดมา จะมาสืบข่าวให้น้องเจ็ดใช่ไหม? ! เจ้าอยู่ข้างกายข้า เพื่อความสะดวกในการส่งข่าวให้เขาใช่ไหม? เจ้ายังไม่ลืมความรักครั้งเก่าที่มีต่อเขาใช่ไหม? !”
โม่หุยเฟิงลุกขึ้นมา คำรามด้วยความโกรธ
เขาจ้องมองฉินซื่อเสวียอย่างดุดัน ดวงตาทั้งคู่เต็มไปด้วยสีเลือด ราวกับสัตว์ป่าที่กำลังโกรธจัด
ดูแล้ว น่ากลัวมากเป็นพิเศษ!
ฉินซื่อเสวียมองดูเขาอย่างตะลึงงัน ราวกับไม่รู้จักเขา
นานพักใหญ่ ถึงได้ร้องไห้แล้วกล่าวถามขึ้นมา “ท่านอ๋อง ท่านกำลังพูดอะไรอยู่น่ะ? !ข้ามาสืบข่าวให้ใคร ข้าไม่ลืมความรักครั้งก่อนที่มีต่อใคร? !”
“เจ้าอย่ามาทำไขสือกับข้า!”
โม่หุยเฟิงก้าวเข้ามาข้างหน้า คว้าข้อมือของฉินซื่อเสวียเอาไว้อย่างแรง “ฉินซื่อเสวีย ข้าขอเตือนเจ้าไว้”
“อย่ามาเล่นตุกติกต่อหน้าข้า! ตอนนี้เจ้าเป็นพระชายาหยิง เจ้าอย่าลืมฐานะของเจ้า! หากเจ้ากล้าทรยศข้า ข้าจะให้เจ้าอยู่ก็อยู่ไม่ได้ ตายก็ตายไม่ได้!”
เขาใช้แรงอย่างมาก
ฉินซื่อเสวียเจ็บปวด ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าเล็กก็ยิ่งยับยู่ยี่
“ท่านอ๋อง ท่านทำข้าเจ็บแล้ว!”
โม่หุยเฟิงถึงได้ปล่อยมือออกอย่างแรง ดวงตาที่แดงก่ำจ้องมองนางอย่างไม่ละสายตา “ข้าเสียใจภายหลังที่แต่งงานกับเจ้าจริงๆ”
“แม้แต่หยุนหว่านหนิงเจ้าก็ยังเทียบไม่ติด!”
คำพูดประโยคนี้ ยิ่งเป็นการทิ่มแทงจิตใจของฉินซื่อเสวีย
โม่หุยเฟิงจะว่าอะไรนางก็ได้ทั้งนั้น แต่จะว่านางด้อยกว่าหยุนหว่านหนิงไม่ได้!
“ท่านอ๋อง ทำไมท่านต้องทำกับข้าเช่นนี้? ข้าก็แค่ห่วงใยท่าน สอบถามท่านสองคำเท่านั้น ข้าคือภรรยาของท่าน ข้าเป็นห่วงท่าน! ทำไมท่านต้องทำกับข้าเช่นนี้?”
เห็นโม่หุยเฟิงจะออกไป นางรีบคว้าแขนเสื้อของเขาเอาไว้
ฉินซื่อเสวียน้ำตานองหน้า “ท่านอ๋อง ดีร้ายอย่างไรข้าก็ให้กำเนิดลูกสาวให้ท่านสองคน”
“เราเป็นสามีภรรยากันมาหลายปี หรือท่านไม่มีความรักและหวงแหนในตัวข้าเลยสักนิด?”
น่าเสียดาย โม่หุยเฟิงดึงแขนเสื้อกลับไปอย่างแรง
กวาดตามองนางด้วยสายตาเย็นยะเยือกครู่หนึ่ง แล้วผลักนางออกไปอย่างแรง จากนั้นก็ก้าวเท้าออกไปอย่างรวดเร็ว
ฉินซื่อเสวียถูกเขาผลักเช่นนี้ ก็เสียหลักล้มเข้าไปในเศษซากชิ้นส่วนเมื่อครู่นี้
บนขา บนข้อศอก ถูกเศษเครื่องเครือบบาดจนเป็นแผลทันที
นางกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด กลิ่นคาวเลือดจางๆแผ่ซ่านออกไปในห้อง
แต่โม่หุยเฟิงกลับออกไปอย่างไม่หันกลับมามองเลย
คำพูดเมื่อครู่นี้ของเขา เหมือนกับแส้ที่ฟาดลงบนหัวใจของนาง บาดแผลบนร่างกายไหนเลยจะเจ็บปวดเท่าหัวใจ……ฉินซื่อเสวียหมอบอยู่บนพื้นด้วยความหมดอาลัยตายอยาก ร้องไห้เสียงเบาขึ้นมา
ทุกคนต่างก็คิดเพียงแค่ว่า นางที่เป็นพระชายาหยิงมีหน้ามีตาไร้ขอบเขต
ความเศร้าเสียใจที่อยู่เบื้องหลัง มีแต่ตัวนางเองเท่านั้นที่รู้ดี
หลังจากที่โม่หุยเฟิงออกไปแล้ว จื่อซูสาวใช้ประจำตัวของฉินซื่อเสวีย ถึงได้รีบร้อนเข้ามา
“พระชายา พระชายาท่านไม่เป็นไรใช่ไหม!”
นางรีบร้อนประคองนางขึ้นมา เห็นเลือดอยู่เต็มพื้น จื่อซูตกใจจนหน้าซีด “พระชายา นี่……ท่านอ๋องลงมือโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว! บ่าวจะสั่งให้คนไปเชิญหมอมา!”
“ไม่”
ฉินซื่อเสวียยิ้มเจื่อนแล้วก็ส่ายหน้า “ยังขายหน้าไม่พออีกหรือ? ยังต้องป่าวประกาศไม่ทั่วหรือ?”
“แต่พระชายา นี่ท่าน……”
จื่อซูร้องไห้ตามไปด้วย
นางเป็นสาวใช้ที่ติดตามฉินซื่อเสวียมาจากตระกูลฉินตอนที่แต่งงานมา
ตอนนี้ฉินซื่อเสวียตกอยู่สถานการณ์ที่ยากลำบาก ข้างกายก็มีเพียงจื่อซูเท่านั้นที่ปฏิบัติต่อนางด้วยความจริงใจ “ท่านอ๋องลงมือได้ลงคอได้อย่างไร! พระชายา เช่นนั้นบาดแผลของท่านจะทำอย่างไร?”
ขณะที่พูดไป ข้ารับใช้คนหนึ่งก็ชะโงกหน้าออกมาที่หน้าประตู
“พระชายา……”
เขาเรียกเสียงเบาคำหนึ่ง ฉินซื่อเสวียเงยหน้ามองไป สายตาเคร่งขรึม “เข้ามาตอบข้างใน”
จื่อซูประคองนางไปนั่งด้านหนึ่ง ข้ารับใช้รีบร้อนเข้ามา เข้าไปใกล้ข้างหูของนางแล้วกระซิบสองสามคำ
“อะไรนะ? !”
สีหน้าของฉินซื่อเสวียเปลี่ยนไปทันที ลุกขึ้นมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เจ้ามองอย่างละเอียดแล้วหรือ? !”