อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 284 ข้าจะป้อนเจ้า
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 284 ข้าจะป้อนเจ้า
เสียงนี้คุ้นเคยน่าตาย!
แต่เปลือกตาทั้งสองของหยุนหว่านหนิงหนักหน่วง ราวกับต้านทานไม่ไหวแล้ว ไม่สามารถมองเห็นคนที่เรียกนางอยู่ข้างหูชัดว่าคือผู้ใด
และแยกแยะไม่ออกว่าเสียงนี้มาจากความฝันหรือมาจากข้างตัวนางกันแน่
นางพยายามลืมตาขึ้น
กลับเห็นเพียงเงาสีขาวรางๆ สายหนึ่ง กำลังนั่งมองนางอยู่ข้างเตียง
สายตานั้น ราวกับทะลุมิติมา หนึ่งสายตาหนึ่งหมื่นปี
ขณะกึ่งกลับกึ่งตื่น นางรู้สึกว่ามีคนยัดยาใส่ปากนางเม็ดหนึ่ง
ไม่รู้ว่ายาเม็ดนี้จะมีพิษหรือไม่
หยุนหว่านหนิงอยากคายออกมามาก แต่อีกฝ่ายบีบกรามนางเบาๆ บังคับให้นางกลืนยาลงไป
“เจ้า เจ้าเป็นใครกันแน่…”
นางถามอย่างไม่มีเรี่ยวแรง
คนผู้นี้จี้จุดนาง ทันใดนั้นเบื้องหน้าก็มืดสนิท หลับไปโดยสมบูรณ์
เมื่อตื่นขึ้นมาอีกทีก็เป็นเวลาหัวค่ำแล้ว
ในห้องจุดไฟแล้ว โม่เยว่นั่งเฝ้านางอยู่ที่ข้างเตียง
“หยวนเป่าล่ะ เสด็จพ่อเสด็จกลับวังแล้วหรือ”
หยุนหว่านหนิงเสียงแหบพร่า
“ยัง ทรงเสวยพระกระยาหารกับหยวนเป่าอยู่”
เมื่อเห็นว่านางตื่นแล้ว โม่เยว่จึงประคองนางลุกขึ้น ป้อนน้ำร้อนให้นางครึ่งถ้วย “หนิงเอ๋อร์ เจ้ารู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง เมื่อกี้หมอหลวงหยางมา บอกว่าเจ้า…”
ยังไม่ทันกล่าวจบ โม่เยว่ก็ขมวดคิ้ว
เขาสูดจมูกเบาๆ ราวกับได้กลิ่นอะไร
“มีอะไรหรือ”
หยุนหว่านหนิงกระปรี้กระเปร่ามากขึ้นแล้ว
“หนิงเอ๋อร์ หมอหลวงหยางไม่ได้ให้ยาเจ้า แล้ววันนี้เจ้าก็ไม่ดื่มยาด้วย แต่ทำไมในปากเจ้าถึงมีกลิ่นยาล่ะ”
หยุนหว่านหนิงอึ้ง
ทันใดนั้นก็นึกถึงในความฝัน มีคนเรียกนาง ‘หนิงหนิง’
คนผู้นั้นยังบังคับให้นางกินยาเม็ดหนึ่ง…
เขาเป็นใครกันแน่!
“อาจ อาจเป็นเพราะคนป่วยกระมัง! พอป่วย ในปากก็มักจะมีรสขม เจ้าก็เลยได้กลิ่น เหมือนว่าข้ากินยาอะไรอย่างนั้น”
หยุนหว่านหนิงขมวดคิ้ว กลบเกลื่อนเรื่องนี้ไป
ก่อนที่จะแน่ชัดว่าอีกฝ่ายเป็นใคร และก่อนจะแน่ชัดว่าเป็นยาอะไรกันแน่ จะบอกโม่เยว่ไม่ได้
แต่เมื่อกี้นางลองสำรวจร่างกายอย่างละเอียดดูแล้ว
อาจเป็นเพราะฤทธิ์ยานั้น ร่างกายที่อ่อนแอในตอนแรก กลับกลายเป็นดีขึ้นมาแล้ว ตัวร้อนอบอุ่นด้วย
คล้ายว่ายากำลังออกฤทธิ์ ซ่อมแซมพลังจิตที่สึกหรอของนาง…
แปลก!
แปลกจริงๆ!
ครั้นเห็นนางลดสายตาเงียบ โม่เยว่ก็นึกว่านางยังไม่สบาย จึงถามด้วยเสียงนุ่มนวล “พรุ่งนี้ข้าจะให้หมอหลวงหยางเตรียมยาบำรุงให้เจ้าจำนวนหนึ่ง”
“ร่างกายเจ้าเสียหายในครั้งนี้ อ่อนแอเกินไปแล้ว! หมอหลวงหยางบอกว่าต้องใช้ยาให้พอดี บำรุงเลือด บำรุงปราณ”
เหตุเพราะหยุนหว่านหนิงนั่นแหละ เป็นผู้ที่มีวิชาแพทย์สูงส่ง
ดังนั้นหมอหลวงหยางจึงไม่กล้าให้ยานางไปเรื่อยๆ ได้แต่รอให้นางตื่นแล้ว รู้สึกว่าตัวเองต้องใช้ยาอะไร หมอหลวงจึงจะกล้าจ่ายยาให้นาง
“ไม่ต้อง”
หยุนหว่านหนิงทำหน้าแหย “ขมจะตาย”
ปกตินางมักเยาะเย้ยโม่เหว่ยที่กลัวการฉีดยาและกลัวการดื่มยาขม
แต่พอถึงคราวตัวเอง หยุนหว่านหนิงกลับต่อต้านยาจีนที่ทั้งขมทั้งเหม็นอย่างรุนแรง!
“หนิงเอ๋อร์ จะทำเป็นเด็กไม่ได้นะ”
โม่เยว่ปลุกปลอบนางด้วยความอ่อนโยนอดทนอย่างยากจะได้เห็น “ไม่ดื่มยาจะหายได้อย่างไร ยาดีขมปาก!”
“ถ้าเจ้ารู้สึกขมจริงๆ ข้าจะเตรียมผลไม้เชื่อมไว้ให้เจ้าสักหน่อย”
“ไม่เอา”
หยุนหว่านหนิงหันไปมองทางหน้าต่าง “มีผลไม้เชื่อมข้าก็ไม่เอา”
“เด็กดี”
โม่เยว่ตบบ่านางเบาๆ “ถ้าเจ้าไม่ดื่มยา ข้าจะป้อนเจ้าดื่ม”
แน่นอนว่าเป็นการป้อนแบบที่ไม่ใช้ช้อน
ผู้หญิงคนนี้ดื้อดึงยิ่งนัก…
เขาก็ได้แต่ ‘ใช้กำลัง’ แล้ว
“ไม่”
หยุนหว่านหนิงทำหน้าบูด
โม่เยว่หัวเราะเบาๆ “ตอนนี้เจ้าเป็นคนป่วย ต้องเชื่อฟัง”
“ไม่”
หยุนหว่านหนิงราวกับเครื่องอ่านทวน
โม่เยว่จึงพูดดีตามใจนาง “ได้ๆๆ ไม่ก็ไม่ หิวหรือเปล่า ข้าจะสั่งให้นำสำรับมา จะป้อนเจ้าเอง ดีหรือไม่”
นางบอกว่าไม่ก็ไม่?
รอให้พรุ่งนี้หมอหลวงหยางจ่ายยาก่อนเถอะ พอต้มยาเสร็จ…
เขาก็จะใช้กำลัง!
ป้อนแบบปากต่อปาก ถึงตอนนั้นดูสิว่านางจะขัดขืนอย่างไรอีก!
ที่แท้คุณธรรมความประพฤติ ‘คำไหนคำนั้น’ ก็สืบทอดมาจากตระกูลโม่นี่เอง
มีโม่จงหรานที่ปล่อยให้เต๋อเฟยเป็นสายบัวรอเก้อกักบริเวณก่อน ตามด้วยโม่เยว่หลอกหยุนหว่านหนิงด้วยมธุรสวาจา…
“หิวแล้ว”
เมื่อนั้นหยุนหว่านหนิงจึงปรายตามองเขา พยักหน้าอย่างตรงไปตรงมา
โม่เยว่ลุกขึ้นยืนแล้วออกไป
แต่ยังไม่ทันได้เรียกสำรับ กลับเป็นลุงเว่ยพ่อบ้านจวนอ๋องมาเคาะประตูด้วยความร้อนรน “พระชายา! เมื่อกี้บ่าวอยู่ที่ประตูหลัง พบคนทำตัวลับๆ ล่อๆ คนหนึ่งขอรับ”
“เขาบอกว่าพระชายาสั่งให้เขารออยู่ที่ประตูหลัง บ่าวไม่กล้าตัดสินใจพลการ จึงมาถามพระชายา!”
คนทำตัวลับๆ ล่อๆ?
รออยู่ที่ประตูหลัง?
หยุนหว่านหนิงขมวดคิ้ว “ใครหรือ”
“บ่าวก็ไม่รู้จักขอรับ ไม่ใช่คนของจวนอ๋อง! ดูตัวสูงอย่างวัวใหญ่อย่างม้า ไม่เหมือนคนดีอะไร…”
ครู่หนึ่งแล้ว ลุงเว่ยก็เสริมอีก “อ้อ จริงสิ! คนผู้นั้นมีดวงตาข้างเดียวขอรับ! ดูดุดันป่าเถื่อนผิดมนุษย์!”
เหตุเพราะไม่เหมือนคนดี เขาจึงไม่กล้าให้คนเข้ามาพลการ
แต่ได้ยินว่าตาเดียวรู้จักกับพระชายาบ้านตน เขาจึงได้แต่รีบมารายงาน
“ดวงตาข้างเดียว?”
หยุนหว่านหนิงพลังนึกขึ้นได้ คือมังกรตาเดียว!
ใช่แล้ว!
เมื่อวานเป็นเพราะ ‘ผีเสื้อหลากสี’ ทำผิด นางจึงเจาะจงให้เขาบอกกับมังกรตาเดียว ให้เขามารออยู่ที่ประตูหลังจวนอ๋องยามซวี หากช้าเพียงเหมี่ยวเดียว ก็ถือหัวมาพบ
เดิมนางก็รออยู่ที่ประตูหลังนั่นแหละ
ใครจะรู้ ยังไม่ถึงยามซวี ก็ได้รับพิราบส่งจดหมายจากซ่งจื่ออวี๋เสียก่อน
ด้วยเหตุนี้หยุนหว่านหนิงจึงออกเดินทางไปเขาหยุนอู้ทันที แต่กลับลืมมังกรตาเดียวไปเสียสนิท!
“ไอ้หยา! รีบพาเขามาพบข้า”
หยุนหว่านหนิงสั่ง “จำไว้ เรื่องนี้อย่าให้คนอื่นเห็น!”
พอลุงเว่ยออกไป นางก็สั่งหรูเยียน “เจ้าไปยกอาหารมาจากห้องครัวก็พอ ให้ท่านอ๋องไปอยู่เป็นเพื่อนเสด็จพ่อกับหยวนเป่า ยังไม่ต้องมาที่นี่”
“แต่พระชายา ท่านอ๋องสั่งไว้ ว่าเขาต้องมาป้อนอาหารพระชายาเองเจ้าค่ะ!”
หรูเยียนปิดปากหัวเราะเบาๆ
ตอนนี้ท่านอ๋องและพระชายาบ้านตน เอาแต่โปรยอาหารสุนัข(*หมายถึงทำหวานให้คนอื่นเห็น)ร่ำไป
นางยังต้องกินมื้อเย็นอะไรอีก
กินอาหารสุนัขจนอิ่มแล้ว!
“ไม่จำเป็น! ข้ามือไม้ดีๆ กินเองได้!”
หยุนหว่านหนิงรีบเอ่ย “สรุปแล้ว ไม่ว่าจะด้วยวิธีอะไร ล่อท่านอ๋องออกไปเดี๋ยวนี้! ถ้าเจ้าจัดการไม่ได้ ก็ให้หรูอวี้คิดวิธี”
“เจ้าบอกหรูอวี้ ขอเพียงจัดการเรื่องนี้ได้ ข้าจะตกรางวัลอย่างงาม!”
ครั้นได้ยินว่า ‘มีรางวัล’…
หรูเยียนก็จินตนาการออกเลย ต่อให้หรูอวี้ต้องคุกเข่ากอดขาโม่เยว่อยู่กับพื้น ก็ต้องฉุดเท้าของท่านอ๋อง ยื้อเวลาให้พระชายาแน่นอน
“เจ้าค่ะ พระชายา”
หรูเยียนยิ้มออกไป
นางเพิ่งออกไป ลุงเว่ยก็พามังกรตาเดียวเข้ามา
มังกรตาเดียวที่ดุดันป่าเถื่อนผิดมนุษย์ในยามปกติ วันนี้หงอยแล้ว
พอเขาเข้าประตูมาก็คุกเข่าลงกับพื้นอย่างอกสั่นขวัญแขวน พูดเป็นพรวน “กูหน่ายนาย! ใช่ว่าข้ามาสาย ข้า เมื่อคืนยามซวีข้ามารออยู่ที่ประตูหลังแล้วจริงๆ!”
“แต่กูหน่ายนายก็ไม่ปรากฏตัวสักที”
“ข้ากลัวว่ากูหน่ายนายมาแล้วจะว่าข้ามาสาย ก็เลยไม่กล้าไปไหน”
มังกรตาเดียวน้อยใจเหลือเกิน “รอหนึ่งวันหนึ่งคืน ไม่กล้าไปไหนแม้แต่ก้าวเดียว! กูหน่ายนายโปรดพิจารณาด้วย!”
สวรรค์รู้ ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ เขาได้รับ ‘ความอยุติธรรม’ มากแค่ไหน!
ครั้นหยุนหว่านหนิงมองไป เขาซูบผิดปกติ
เหมือนตกระกำลำบากจริงๆ อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าไปโดนอะไรมา”