อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 297 ความสามารถที่แท้จริงของโม่เยว่
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 297 ความสามารถที่แท้จริงของโม่เยว่
จวนอ๋องฮั่น
คืนนี้โม่ฮั่นอี่ว์พักผ่อนอยู่ในห้องข้าง
ไม่ใช่ว่าตัวเขาเองอยากอยู่ห้องข้าง แต่เป็นเพราะตอนที่เขากลับมาถึง ประตูเรือนหลักมันปิดสนิท
เขาตะโกนจนเสียงแหบแห้งแล้ว โจวหยิงหยิงก็เอาแต่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
ด้วยความจนใจ เขาจึงต้องไปนอนที่ห้องข้างแทน
ในตอนเช้าตรู่ โจวหยิงหยิงฉวยโอกาสช่วงก่อนที่โม่ฮั่นอี่ว์จะตื่นขึ้นมา รีบเก็บข้าวของของแล้ววางแผนว่าจะกลับไปอยู่บ้านเดิมสักหลาย ๆ วัน….. รอให้โม่ฮั่นอี่ว์หายดีจากอาการบาดเจ็บก่อน นางค่อยกลับมา
ใครจะล่ะรู้ว่านางเพิ่งจะก้าวขาออกจากจวน ก็ถูกคนของซูเฟยเข้ามาขวางอยู่ตรงหน้า
“ท่านแม่ซูเฟยเชิญข้าเข้าวังไปทำไมรึ?”
โจวหยิงหยิงขมวดคิ้วมุ่น
นับตั้งแต่ที่นางแต่งเข้าจวนอ๋องฮั่นมา ด้วยความที่แม่ผู้ให้กำเนิดของโม่ฮั่นอี่ว์จากไปเร็ว ในวันปกตินางก็มักจะไปนั่งเล่นที่ตำหนักคงหนิง บ้างก็ไปนั่งเล่นที่ตำหนักหย่งโซ่วของเต๋อเฟย
หาได้ยากมาก ที่จะติดต่อไปมาหาสู่กับซูเฟย
วันนี้ซูเฟยจะเชิญนางเข้าวังไปทำไมกัน?
สัญชาตญาณของนางบอกว่า: เมื่อไหร่ที่มีเรื่องผิดปกติ เมื่อนั้นต้องมีผี ต้องมีแผนการร้ายแน่นอน!
คนที่มาคือแม่นมข้างกายซูเฟย ล่ายหมัวมัว
“พระชายาฮั่นก็คงทราบดี ว่าเต๋อเฟยเหนียงเหนียงถูกฝ่าบาทสั่งกักบริเวณแล้ว! ตอนนี้ภาระการดูแลวังหลังทั้งหมด จึงตกมาอยู่ที่ซูเฟยเหนียงเหนียงของข้าแต่เพียงผู้เดียว”
ล่ายหมัวมัวยิ้มพลางพูดว่า “เหนียงเหนียงยุ่งมากจนทำไม่ไหว จึงอยากจะเชิญพระชายาฮั่นเข้าวังเพื่อไปหารือเรื่องสำคัญบางอย่าง”
เชิญนางเข้าวังเพื่อไปหารือเรื่องสำคัญ?
โจวหยิงหยิงคิดในใจทันที เหนือนางขึ้นไปมีหนานกงเยว่ ใต้นางลงไปมีฉินซื่อเสวียกับหยุนหว่านหนิง
ต่อให้อยากหารือเรื่องสำคัญในวัง จะอย่างไรก็ไม่มีทางตกมาถึงทีของนางแน่
ว่ากันตามจริงแล้วใคร ๆ ต่างก็รู้ดี ว่านางกับโม่ฮั่นอี่ว์สองสามีภรรยาเป็นพวกโง่ ๆ เซ่อ ๆ แถมยังเป็นพวกโง่ ๆ เซ่อ ๆ ที่ไร้ความสามารถที่สุดอีกด้วย…..
ซูเฟยตั้งใจส่งคนมาเชิญนางเข้าวังเป็นพิเศษ จุดประสงค์มันก็ชัดเจนอยู่แล้ว
โจวหยิงหยิงปรายตามองล่ายหมัวมัวแวบหนึ่งโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า ยิ้มแย้มพลางพูดว่า “ในเมื่อท่านแม่ซูเฟยมีคำเชิญ ข้าย่อมไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ”
“เดิมทีวันนี้ข้าวางแผนว่าจะกลับไปอยู่บ้านเดิมสักระยะ”
“เอาอย่างนี้แล้วกัน แม่นมล่ายโปรดรออยู่ที่นี่สักครู่ก่อน”
นางมองดูเสื้อผ้าชุดเก่งของตัวเอง “เข้าวังไปพบท่านแม่ซูเฟยในสภาพนี้ ดูจะเป็นการไม่เคารพท่านแม่สักเท่าไหร่”
“รอข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ก่อน แล้วค่อยเข้าวังเถอะ”
ล่ายหมัวมัวจึงยืนรออยู่ด้านนอก
โจวหยิงหยิงเดินกลับเข้ามาในจวน ขมวดคิ้วนิ่วหน้า
ตังเอ๋อร์สาวใช้ส่วนตัวของนาง เข้ามากระซิบพูดเบา ๆ ว่า “พระชายา ซูเฟยต้องแอบซ่อนเจตนาไม่ดีแน่! หรือไม่ พวกเราแกล้งบอกไปว่าป่วย ไม่เข้าวังแล้วดีหรือไม่เจ้าคะ?”
นางกลัวว่าพระชายาของนาง จะรับมือซูเฟยไม่ได้
“เมื่อครู่นี้ล่ายหมัวมัวได้เห็นหน้าข้าแล้วนะ จะแกล้งบอกว่าป่วยได้อย่างไรล่ะ?”
โจวหยิงหยิงเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า “เจ้ารีบไปที่จวนอ๋องหมิงเดี๋ยวนี้เลย”
“ต้องบอกเรื่องนี้ให้หนิงเอ๋อร์รู้! ข้ารู้สึกอยู่ตลอดเวลาเลยว่าซูเฟยต้องมีจุดประสงค์บางอย่าง …. ”
หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเดินออกมา ล่ายหมัวมัวยังคงยืนรออยู่ที่เดิม
โจวหยิงหยิงตามนางไปที่รถม้า แต่ตังเอ๋อร์สาวใช้ของนางกลับเดินแยกไปอีกทางหนึ่ง
ล่ายหมัวมัวมีท่าทีระแวดระวังขึ้นมาทันที “พระชายาฮั่น นี่คือ?”
“อ๋อ คือว่าอย่างนี้! ข้าส่งคนไปที่จวนแม่ทัพตั้งแต่เช้าแล้ว ไปแจ้งให้พ่อแม่ของข้ารู้ว่าวันนี้ข้าจะกลับบ้านแม่ คิดว่าพ่อแม่ของข้าคงจะเตรียมการเอาไว้พร้อมแล้ว ถ้าข้าไม่กลับไป อย่างไรก็ต้องส่งคนไปบอกกล่าวพวกท่านสักหน่อยไม่ใช่หรือ?”
โจวหยิงหยิงยกยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติ “ตังเอ๋อร์ อย่าลืมบอกพ่อกับแม่ว่า ให้รอกินมื้อเที่ยงพร้อมกับข้าด้วยล่ะ!”
ขณะที่พูด นางก็หันไปมองล่ายหมัวมัวแวบหนึ่ง “ล่ายหมัวมัว ท่านแม่ซูเฟยคงจะไม่ได้มีเรื่องใหญ่อะไรกระมัง? คงทันเวลาให้ข้ากลับไปกินมื้อเที่ยงที่จวนแม่ทัพได้สินะ?”
“นี่ก็..……”
ล่ายหมัวมัวรู้สึกลำบากใจขึ้นมาเล็กน้อย
แต่ก็ยังพยักหน้า “คงจะไม่รบกวนเวลาของพระชายาฮั่นมากนักเจ้าค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว!”
โจวหยิงหยิงพอใจมาก “ตังเอ๋อร์ อย่าลืมบอกให้พ่อมารับข้าที่วังตอนยามอู่ด้วยล่ะ”
รถม้าที่นางนั่งเป็นรถม้าของตำหนักซูเฟย ดังนั้นตอนออกจากวังจึงไม่เหมาะที่จะให้คนในนั้นมาส่งนางออกไป
ตังเอ๋อร์ตอบรับ หันหลังแล้วเดินออกไปทันที
ทิศทางนี้ ก็เป็นทางที่ตรงไปจวนแม่ทัพจริง ๆ
ในใจของล่ายหมัวมัวแอบนึกสงสัยว่า โจวหยิงหยิงจงใจใช้แม่ทัพโจวมาข่มขู่ซูเฟยหรือไม่? แต่นางก็หาข้อสงสัยที่ชัดเจนไม่พบ
………………
วันนี้อากาศไม่เลวเลย
โม่เยว่ไม่ได้เข้าวังมาประชุมราชการเช้า เขาตั้งใจอยู่เป็นเพื่อนหยุนหว่านหนิงเดินเล่นในสวน
วันนี้หยวนเป่าก็ไม่ได้ไปบ้านตระกูลกู้เช่นกัน
เขาคุกเข่าคุดคู้อยู่ใต้พุ่มกุหลาบ ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่
ใบหน้าขาวผ่องหมดจดของเขา เต็มไปด้วยคราบดินโคลน
เมื่อนึกถึงลูกชายตัวน้อยคนนี้ ที่สามารถปรุง “ยานอนหลับ” ขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง หยุนหว่านหนิงก็อดถอนหายใจด้วยความปลงตกไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นยุคปัจจุบันหรือยุคโบราณ เลือดที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของหยวนเป่า ก็เป็นเลือดของคนตระกูลหยุน
ตระกูลหยุนเป็นตระกูลที่ช่ำชองเรื่องยาและการแพทย์
แม้ว่านางจะไม่เคยสอนทักษะทางการแพทย์ให้กับหยวนเป่า แต่เด็กคนนี้ถึงกับมีความสามารถในการอ่านหนังสือทางการแพทย์ได้เข้าใจ จนถึงขั้นศึกษาวิจัย ขบคิดปัญหาเองได้อย่างรอบด้าน
หยวนเป่าหันหลังให้พวกเขา
มองจากด้านหลัง ช่างดูเหมือนหนูตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่งที่กำลังขุดหลุมอยู่จริง ๆ
โม่เยว่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะแล้วถามว่า “ลูกชาย นั่นเจ้ากำลังขุดหลุมอยู่หรือ?”
“ท่านอย่ายุ่ง”
หยวนเป่าตอบชนิดไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมามอง
น้ำเสียงนั้น ยังคงเย่อหยิ่งจองหองเช่นเคย “รอให้ข้าทำเสร็จ พวกท่านก็จะได้รู้แล้วล่ะ ว่าข้ากำลังทำอะไร!”
“เจ้าเด็กคนนี้นี่….”
โม่เยว่ส่ายหน้าอย่างจนใจ เขานิสัยเหมือนกับข้าเมื่อตอนยังเด็กไม่มีผิด”
หยุนหว่านหนิงชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง “มีแววโดดเด่นกว่าเจ้าเยอะ!”
“หยวนเป่าแต่งบทกลอนได้ เจ้าทำได้ไหม?”
“หยวนเป่าปรุงยาได้ เจ้าทำได้ไหม?”
“หยวนเป่าร้องเพลงได้ เจ้าทำได้ไหม?”
“หยวนเป่ารู้วิธีเอาอกเอาใจข้าให้มีความสุข เจ้าทำได้ไหม?”
คำว่า “ทำได้ไหม?” จำนวนนับไม่ถ้วน พุ่งเข้าโจมตีโดนส่วนลึกของจิตวิญญาณของโม่เยว่แบบจัง ๆ
ช่างแทงใจเหลือเกิน!
เขาอดขมวดคิ้วไม่ได้ “ใครบอกว่าข้าทำไม่ได้ล่ะ? หนิงเอ๋อร์ ในสายตาเจ้าคงไม่ได้เห็นว่าข้าเป็นตัวไร้ประโยชน์ที่ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง จะทำเรื่องอะไรก็ไม่สำเร็จหรอกนะ?”
หยุนหว่านหนิงชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไรออกมา
แต่สีหน้าท่าทางที่แสดงออกนั้นกลับชัดเจนมาก: นี่ยังต้องให้พูดอีกรึ?
โม่เยว่: “…..ดู ๆ ไปแล้ว เหมือนว่าจะถึงเวลาที่ข้าควรจะต้องแสดง ‘ความสามารถที่แท้จริง’ ของข้าให้เจ้าได้เห็นสักหน่อยแล้วล่ะ”
“ใครก็ได้มานี่หน่อยซิ!”
จากนั้นก็สั่งว่า “ไปเตรียมพู่กัน หมึก กระดาษ กับหินฝนหมึกมา”
“เจ้าจะทำอะไรน่ะ?”
หยุนหว่านหนิงเลิกคิ้วสงสัย
“จะทำให้เจ้างงเป็นไก่ตาแตกไปเลยน่ะสิ!”
โม่เยว่แค่นเสียงตอบอย่างเย่อหยิ่ง
หยุนหว่านหนิงเองก็อยากรู้อยู่เหมือนกัน
แม้ว่านางกับโม่เยว่จะเป็นสามีภรรยากัน
แต่นางกลับไม่เคยรู้จักผู้ชายคนนี้เลย ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ ก็ใช้ชีวิตในแบบที่เหมือนจะรักกันดีแต่ก็พร้อมจะตีกันตายมาโดยตลอด จึงทำให้พอจะรู้จักนิสัยใจคอของเขาอยู่บ้าง
ส่วนเรื่องที่ว่าเขาทำอะไรได้บ้าง…..
หยุนหว่านหนิงคิดเอาเองว่า เขาคงจะทำได้แค่เรื่องรบราฆ่าฟันเท่านั้นแหล่ะ
คนรับใช้เตรียมพู่กัน หมึก กระดาษ กับหินฝนหมึกมาแล้ว โม่เยว่จึงบอกให้หยุนหว่านหนิงไปนั่งในศาลา จากนั้นก็เริ่มวาดรูป
“ที่แท้ เจ้าก็วาดรูปเป็นด้วย?”
หยุนหว่านหนิงถือพัดทรงกลมไว้ในมือ นั่งอย่างเกียจคร้านอยู่บนราวบันได สายตาจับจ้องไปยังชายคาของเรือนที่อยู่ฝั่งตรงกันข้าม “โม่เยว่ นี่ดูไม่เหมือนเจ้าเลยสักนิด”
“นอกจากวาดรูปแล้ว ข้ายังทำอะไรได้อีกมากมายเลยเชียวล่ะ”
พู่กันในมือของโม่เยว่หยุดชะงักไปชั่วครู่
เขาแทบจะไม่เคยเห็น ช่วงเวลาที่หยุนหว่านหนิงดูเกียจคร้านแบบนี้มาก่อนเลย
บ่อยครั้งที่ได้เห็น นางจะเป็นเหมือนแมวป่าที่ถูกเหยียบหางตัวหนึ่งมากกว่า
“วันคืนยังอีกยาวไกล ยังมีเวลาอีกมาก ค่อย ๆ ให้เจ้าได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของโม่เยว่ไปเถอะนะ”
โม่เยว่ยกยิ้มมุมปาก สลายไอความเป็นปรปักษ์ที่เคยมีทั่วร่างออกไป รอยยิ้มสดใสของเขาดูเหมือนพวกเด็กหนุ่มมากพรสวรรค์ที่พบเห็นได้ทั่วไปในเมืองหลวง ไม่ใช่อ๋องหมิงผู้สูงศักดิ์ที่ชอบทำตัวสูงส่งเหนือใครคนนั้น
เมื่อไม่มีสถานะของ “อ๋องหมิง” ค้ำคอ เขาก็เป็นเพียงแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง
เป็นแค่ผู้ชายธรรมดา ๆ ที่วาดรูปภรรยาที่ตัวเองรักก็เท่านั้น
หยุนหว่านหนิงท้าวคางตัวเอง ยิ้มแย้มพลางถามว่า “แล้วเจ้ายังทำอะไรเป็นอีกล่ะ?”
“ข้าทำเป็นมากมายหลายอย่างเลยล่ะ แต่…..”
ยังพูดไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียงหยวนเป่าร้องอุทานขึ้นมาว่า “อั้ยหยา คุณพระคุณเจ้าเอ๊ย!”
สีหน้าของหยุนหว่านหนิงเปลี่ยนไปทันที ผุดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว
นางไม่สนแล้วว่าโม่เยว่กำลังวาดรูปให้นางอยู่ พุ่งถลาตรงเข้าไปหาหยวนเป่าทันที “ลูกแม่ เจ้าเป็นอะไรไป?!”