อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 300 เต๋อเฟยปกป้องลูกสะใภ้
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 300 เต๋อเฟยปกป้องลูกสะใภ้
ทันทีที่ประตูตำหนักเปิดออก ดวงตาสี่ข้างก็สบประสานกัน
โม่จงหรานถึงตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นสีหน้าก็เปี่ยมไปด้วยความปีติยินดี รีบลากตัวหยุนหว่านหนิงเข้ามา “มา ๆ ๆ หว่านหนิง รีบเข้ามาเร็วเข้า!”
หยุนหว่านหนิงถูกลากเข้าไปในห้องทรงพระอักษร
“เสด็จพ่อ มีอะไรหรือเพคะ?”
น้ำเสียงของโม่จงหรานผ่อนคลายลงไปไม่น้อย “เสด็จแม่เต๋อเฟยของเจ้ากำลังโกรธ รีบเข้ามาให้นางด่าเพื่อระบายความโกรธสักยกเถอะ! ไม่อย่างนั้น วันนี้นางคงได้ทำให้ข้าโกรธจนลมจุกอกตายแน่!”
หยุนหว่านหนิง: “… ดังนั้นท่านจึงตั้งใจจะให้หม่อมฉันมาเป็นคนโดนด่าแทน?”
“ใช่แล้ว!”
โม่จงหรานตอบรับอย่างเด็ดขาดไม่มีอ้อมค้อม
ได้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยแวววาดหวังตั้งใจนั่น หยุนหว่านหนิงถึงกับอดนึกอาฆาตแค้นเขาไม่ได้!
นางถูกโม่จงหรานลากไปหยุดอยู่ตรงหน้าเต๋อเฟย
สีหน้าของเต๋อเฟยแลดูบูดบึ้งไม่เป็นมิตรอย่างยิ่ง
โม่จงหรานยิ้มแย้มพลางปะเหลาะนางว่า “เต๋อเฟย ไม่ใช่ว่าเจ้าอยากด่าหว่านหนิงมากหรอกรึ? เจ้าตัวมาถึงที่นี่แล้ว เดี๋ยวข้าจะหาพื้นที่ว่าง ๆ ให้เจ้า ปิดประตูแล้วปล่อยให้เจ้าด่านางให้สะใจไปเลย”
“เจ้าอย่าโกรธอีกเลยนะ!”
พูดพลาง เขาก็วางแผนว่าจะเผ่นหนีอย่างไว ให้ลื่นไหลประดุจทาน้ำมันที่ฝ่าเท้าเลยทีเดียว
“หยุดเดี๋ยวนี้!”
เต๋อเฟยแผดเสียงคำรามดังลั่น โม่จงหรานจึงมีอันต้องหยุดชะงักค้างอยู่กับที่ไปทันที
“นี่ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
เต๋อเฟยปกป้องหยุนหว่านหนิงด้วยการดันนางไปไว้ข้างหลัง พลางจ้องโม่จงหรานเขม็งราวกับเสือที่จ้องจะขย้ำเหยื่อ “ลูกสะใภ้ของหม่อมฉัน ในสายตาของท่านเป็นเพียงกระสอบทราย ไม่ก็แพะรับบาปอย่างนั้นรึ?”
หยุนหว่านหนิงเลิกคิ้วขึ้นสูง
นี่เต๋อเฟยกำลังปกป้องนางอยู่เหรอ?!
โม่จงหรานก็สับสนงงงันเช่นกัน “เต๋อเฟย…. ”
“เป็นความผิดของพระองค์เองแท้ ๆ อาศัยอะไรมาให้คนอื่นแบกรับแทน?”
เต๋อเฟยเค้นถาม
หยุนหว่านหนิงอดพยักหน้าเห็นด้วยไม่ได้ “ใช่เลย ๆ”
“เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้”
โม่จงหรานจ้องนางเขม็ง
หยุนหว่านหนิงมองไปที่เต๋อเฟยด้วยสายตา…. “น้อยอกน้อยใจ”
“ฝ่าบาท ท่านจะดุอะไรของท่านน่ะ? ทำไมรึ? ท่านรู้สึกว่าหม่อมฉันทำให้ท่านโกรธแทบตายแล้ว? ในใจไม่เป็นสุข เลยอยากระบายความโกรธใส่หนิงเอ๋อร์แทน? ในฐานะพ่อสามี ท่านทำหน้าที่ได้ไร้ความสามารถเกินไปแล้วกระมัง?”
เต๋อเฟยปกป้องหยุนหว่านหนิงราวกับลูกในไส้เลยทีเดียว
ชั่วขณะนั้น โม่จงหรานเริ่มจะไม่เข้าใจแล้ว
เมื่อหลายวันก่อน ใครกันล่ะที่คิดจะบุกไปจวนอ๋องหมิง เพื่อก่อกวนหยุนหว่านหนิงให้โกรธเจียนตาย จนทะเลาะกับเขาซะใหญ่โตไปยกหนึ่งน่ะ?
วันนี้หยุนหว่านหนิงมาอยู่ตรงหน้านางแล้ว แต่นางกลับปกป้องอีกฝ่าย แล้วด่าเขาจนหน้าม้านหน้าหดเหลือไม่ถึงสองนิ้วแทน?
“เจ้าไม่ได้เป็นคนบอกว่าจะไปจวนอ๋องหมิงรึ…..”
โม่จงหรานน้อยใจขึ้นมาอีกครั้ง
“นั่นมันเรื่องของเมื่อหลายวันก่อน! เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ยังจะพูดถึงอีกรึ?”
เต๋อเฟยแค่นเสียงเย็นชา แล้วพูดอย่างเผด็จการทรงอำนาจว่า “วันนี้หม่อมฉันจะขอป่าวประกาศไว้เลยว่า นับจากนี้ไปใครก็ตามที่มันกล้ารังแกลูกสะใภ้ของข้า ข้าจะไม่ยอมจบกับมันผู้นั้นง่าย ๆ!”
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าประโยคนี้มุ่งเป้าไปที่โม่จงหราน หรือพูดเพื่อให้คนอื่นฟังกันแน่
แต่พูดสั้น ๆ คือ หยุนหว่านหนิงรู้สึกซาบซึ้งใจมาก
อันที่จริง ก่อนที่ซูเฟยจะออกไป นางก็รออยู่นอกห้องทรงพระอักษรนานแล้ว
ได้ยิน “เด็กเฒ่า” สองคนทะเลาะกัน นางยังแอบหัวเราะจนหุบปากไม่ลงอยู่นอกประตูอยู่เลย
สองคนนี้ช่างเป็นคู่รักคู่แค้นกันโดยแท้!
ตอนที่เต๋อเฟยทะเลาะกับโม่จงหราน นางช่างเหมือนกับเด็กสาวที่กำลังตกอยู่ในห้วงรักอย่างยิ่ง…..ก่อความวุ่นวายกระเง้ากระงอด โวยวายทุบตี ไม่ฟังเหตุฟังผล
จนเห็นว่าโม่จงหรานดูจะหมดหนทางรับมือแล้วจริง ๆ นางถึงตัดสินใจเข้ามา “ช่วย” เขาซักหน่อย
ใครจะรู้ล่ะว่าพอเข้าประตูมา กลับเป็นฝ่ายถูกเขาลากตัวมาให้เต๋อเฟยด่าจนกว่าจะพอใจแทน? !
นี่มันพ่อแบบไหนกันล่ะเนี่ย!
“ได้”
โม่จงหรานก้มหน้าลง พูดอย่างเออออไปด้วยว่า “เจ้าพูดอะไรล้วนถูกต้องทั้งหมด!”
“หม่อมฉันไม่ต้องการให้ซูเฟยดูแลวังหลังต่อ”
เต๋อเฟยมองไปที่โม่จงหรานด้วยสายตาเย็นชา ดันหยุนหว่านหนิงให้นั่งลงดื่มชา “ซูเฟยหัวสมองเรียบง่ายเกินไป แค่บัญชีไม่กี่เล่มก็ยังคำนวณให้ลงตัวไม่ได้ ได้ยินมาว่าวันนี้ นางยังถึงกับต้องเชิญเมียเจ้ารองเข้าวังมาเพื่อช่วยนางคำนวณบัญชีเลยด้วย”
“แบบนั้นต้องโง่ขนาดไหนน่ะ? กระทั่งเมียเจ้ารองก็ยังสู้ไม่ได้…..”
หยุนหว่านหนิงแอบหัวเราะอู้อี้ในลำคอ เกือบจะพ่นชาในปากออกมาอยู่แล้ว
เต๋อเฟยยังมีหน้าไปหัวเราะเยาะซูเฟยอีกเรอะ!
สองคนนี้ ไม่ใช่พวกวิ่งห้าสิบก้าวหัวเราะเยาะคนวิ่งร้อยก้าวจริง ๆ น่ะเรอะ?! (*อธิบายเพิ่มเติม ประโยคนี้เป็นสุภาษิตซึ่งมีที่มาจากสงครามจั้นกั๋ว กล่าวถึงในสนามรบย่อมมีทหารที่รักตัวกลัวตาย เมื่อทหารเหล่านั้นวิ่งหนีทหารข้าศึก โดยบางคนวิ่งเร็ว วิ่งไปได้ร้อยก้าว แต่บางคนวิ่งช้า วิ่งได้แค่ห้าสิบก้าว แต่คนที่วิ่งได้ห้าสิบก้าว กลับหัวเราะเยาะคนวิ่งได้ร้อยก้าวว่าเป็นคนรักตัวกลัวตายกว่า ทั้ง ๆ ที่จุดประสงค์ของการวิ่งก็คือหลบหนีเช่นกัน แถมตนเองยังวิ่งช้ากว่าด้วยซ้ำ แต่ปัจจุบันหมายถึงผู้ที่มีความผิดหรือข้อบกพร่องเช่นเดียวกับผู้อื่นแม้ว่าจะเบากว่า เล็กน้อย แต่ก็ไม่ควรหัวเราะเยาะหรือประนามผู้อื่น เพราะถึงอย่างไรตัวเองก็ผิดหรือมีข้อบกพร่องแบบเดียวกัน)
เต๋อเฟยชำเลืองมองนางแวบหนึ่ง “อย่างไรลูกสะใภ้ของหม่อมฉันก็ยังมีความสามารถน่ายกย่อง”
“ดังนั้นฝ่าบาท การที่ท่านสั่งให้ซูเฟยมาเป็นลูกมือให้หม่อมฉัน ไม่ใช่เพราะต้องการจะทำให้หม่อมฉันกลุ้มใจตายจริง ๆ น่ะหรือเพคะ?”
“นี่……”
โม่จงหรานปวดหัวขึ้นมาแล้ว “เต๋อเฟย ตอนนี้ฮองเฮายังอยู่นะ”
ไม่ว่าเต๋อเฟยจะได้รับความโปรดปรานแค่ไหน แต่สุดท้ายนางก็เป็นเพียงสนมชั้นเฟยเท่านั้น
บ้านเดิมของนางไม่นับว่าเป็นตระกูลสูงศักดิ์มีหน้ามีตาอะไรมากมาย ทั้งยังอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวง ต่อให้โม่จงหรานรักใคร่เอ็นดูนาง แต่ว่ากันตามจริงชั่วชีวิตนี้ของนาง อย่างมากสุดก็เป็นได้แค่สนมชั้นเฟยเท่านั้น…..
ยิ่งไม่ต้องพูดถึง การแต่งตั้งขึ้นสู่ตำแหน่งฮองเฮาด้วยซ้ำ
“เจ้ามีสถานะเทียบเท่าซูเฟย แต่ถ้าข้ามอบอำนาจในการดูแลหกตำหนักให้เจ้าคนเดียวทั้งหมด จวนเว่ยกั๋วกง รวมถึงขุนนางในราชสำนัก จะต้องเอาไปซุบซิบนินทากันไม่จบไม่สิ้นแน่นอน”
โม่จงหรานขมวดคิ้วมุ่น พลางถอนหายใจด้วยท่าทางจนใจ
ในที่สุด หลังจากส่งเต๋อเฟยออกไปได้อย่างยากลำบาก หยุนหว่านหนิงก็หรี่ตามองโม่จงหรานด้วยสายตาที่แฝงความดูถูกเหยียดหยามเต็มใบหน้า
“นี่เจ้าทำสายตาอะไรกัน? ไม่กลัวว่าข้าจะควักลูกตาเจ้าออกมารึ?”
โม่จงหรานขมวดคิ้วจนเป็นปมแน่น
เต๋อเฟยทำให้เขาโกรธแทบตาย แต่นางเด็กตัวแสบนี่กลับไม่ให้ความสำคัญกับเขาเลยสักนิด? !
“ไม่ใช่เพคะ เสด็จพ่อ”
หยุนหว่านหนิงไม่กลัวเขา “เมื่อครู่นี้ท่านแม่พูดว่าอย่างไรนะเพคะ? ท่านต้องการให้หม่อมฉันท่องให้ฟังอีกสักครั้งหรือไม่? ท่านแม่เหมือนจะพูดไว้ว่า ลูกสะใภ้ของนาง…. ”
ยังพูดไม่ทันจบ โม่จงหรานก็ตัดบทคำพูดของนางทันที “ข้าไม่กล้ารังแกเจ้าหรอก”
“แต่เมื่อครู่นี้ท่านบอกว่าจะควักลูกตาหม่อมฉัน”
“เจ้าฟังผิดแล้วล่ะ”
โม่จงหรานปฏิเสธแบบหน้าด้าน ๆ
หยุนหว่านหนิง: “….เสด็จพ่อ ที่ผิวหนาของโม่เยว่มันหนาแบบนั้น เพราะได้รับการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์มาใช่หรือไม่?”
โม่จงหรานถูกนางจิกกัดจนพูดอะไรไม่ออก “วันนี้เจ้าเข้าวังมา สรุปว่าจะมาทำอะไรกันแน่?”
“ไม่ใช่ว่าไม่สบายหรอกหรือ? นี่เพิ่งจะผ่านไปได้กี่วันเอง? ทำไมเจ้าไม่นอนพักฟื้นอยู่บนเตียงดี ๆ ล่ะ? เข้าวังมาก่อเรื่องวุ่นวายอะไรอีก? เจ้าคิดว่าข้ามีชีวิตอยู่นานเกินไปแล้วอย่างนั้นรึ?”
เขาโกรธจนไฟโทสะแล่นไปทั่วทุกอณูรูขุมขนแล้ว
“เสด็จพ่อ ท่านโปรดอย่าเข้าใจข้าผิด! เมื่อครู่นี้ข้าได้ยินที่ท่านพูดมา เหมือนว่าน่าจะยังมีความหมายอะไรแอบแฝงอยู่สินะ?”
หยุนหว่านหนิงขยิบตาให้เขา “ท่านปิดบังท่านแม่ แต่ลอบใช้ซูเฟยอีกครั้ง”
“เสด็จพ่อ ท่านมีแผนการอะไรอื่นอีกสินะเพคะ?”
โดนนางตัวแสบนี่มองได้ทะลุอีกแล้ว…..
“นี่เจ้าเป็นพยาธิในท้องของข้าอย่างนั้นรึ?”
“อี๋! น่าขยะแขยง”
หยุนหว่านหนิงทำท่าทางกระวีกระวาด “เสด็จพ่อ ที่จริงแล้ววันนี้ข้าเข้าวังมา ก็เพราะมีเรื่องบางอย่างจะขอร้องเสด็จพ่อ”
นางมีเรื่องอะไรที่อยากจะขอร้องเขาด้วยรึ? !
นี่ฟังดูแล้วกลับเป็นอะไรที่แปลกใหม่มาก!
โม่จงหรานเริ่มจะสนใจ วางถ้วยชาลงแล้วมองนางด้วยสายตาตื่นเต้น “เรื่องอะไรไหนเจ้าลองพูดมาให้ข้าฟังก่อนซิ! แต่ถ้าจะยืมเงินก็ลืมไปได้เลย ข้าไม่มีเงิน!”
สีหน้าของหยุนหว่านหนิงยิ่งดูเหยียดหยามมากขึ้น “หม่อมฉันไม่ยืมเงินหรอก หม่อมฉันมีเงิน!”
“ถ้าเสด็จพ่อมีเรื่องต้องใช้เงินด่วน หม่อมฉันยังสามารถให้ท่านยืมได้ด้วยนะเพคะ”
นางดูเป็นคนยากไร้ไม่มีเงินเรอะ? !
เสด็จพ่อนี่ช่างเป็นพวกไร้จริยธรรมซะจริง!
“แล้วเจ้าคิดจะทำอะไรล่ะ?”
โม่จงหรานไม่เข้าใจแล้วตอนนี้
“หม่อมฉันคิดว่า นับตั้งแต่ที่จวนอ๋องหยิงกลายเป็นจวนอ๋องสาม มันก็ไม่ค่อยจะคึกคักเท่าไหร่แล้ว ถ้าให้จวนอ๋องสามมีคนเยอะ ๆ หน่อย ก็คงจะคึกคักมีชีวิตชีวาขึ้นมากถูกหรือไม่เพคะ?”
หยุนหว่านหนิงพูดช้า ๆ อย่างไม่รีบร้อน
“จวนอ๋องสาม?”
โม่จงหรานสูดลมหายใจเฮือก
เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างช้า ๆ พลางหรี่ตามองนาง “หยุนหว่านหนิง นี่เจ้าคิดจะทำเรื่องบ้าบออะไรอีกแล้ว?”
“เจ้าสามถูกโค่นจนพังล้มไม่เป็นท่าไปแล้ว หรือเจ้ายังไม่คิดจะปล่อยเขาไปอีก?”
“เสด็จพ่อ สวรรค์มีตา เวรกรรมมีจริง! การล่มสลายของอ๋องสาม ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับหม่อมฉันสักนิด! ถ้าจะโทษก็ต้องโทษที่เขาก่อกรรมทำเข็ญไว้มาก จนต้องรับผลกรรมที่ตามมา! แน่นอนว่า ท่านสามารถโทษอ๋องฮั่นได้….”
ใครใช้ให้โม่ฮั่นอี่ว์เป็นฝ่ายหว่านความขัดแย้งนี้ขึ้นมาล่ะ?
แต่ตัวเขาก็ได้รับผลกรรมที่นับว่าสมน้ำสมเนื้อด้วยเช่นกัน
หยุนหว่านหนิงกระแอมเบา ๆ แล้วพูดว่า “แท้จริงแล้ว ที่หม่อมฉันเข้าวังมาวันนี้ ก็มีเจตนาที่เห็นแก่ตัวอยู่ด้วยเหมือนกัน”
โม่จงหรานจิบชาเข้าไปอึกหนึ่ง “ไหนลองพูดมาซิ!”
เขากลับอยากจะรู้เหมือนกันว่า นังเด็กตัวแสบนี่คิดจะทำอะไรอีกแล้ว!
จวนอ๋องสามเงียบเหงาตั้งนานขนาดนี้ มาคราวนี้น่ากลัวว่าจะถูกนางก่อกวนจนโกลาหลอลหม่านชนิดพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินขึ้นมาอีกแล้วแน่ ๆ!
หยุนหว่านหนิงยกยิ้มมุมปาก รอยยิ้มของนางดูแฝงเจตนามุ่งร้ายอยู่หลายส่วน “สิ่งที่หม่อมฉันทำวันนี้ ก็เพื่อคนเพียงคนเดียวเท่านั้น…..”