อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 304 หยวนเป่าเจ้าปีศาจน้อยจอมเจ้าเล่ห์
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 304 หยวนเป่าเจ้าปีศาจน้อยจอมเจ้าเล่ห์
เห็นเพียงว่าชุดกระโปรงของหยุนหว่านหนิง เต็มไปด้วยเลือด!
เมื่อครู่นี้เขาเดินอย่างเร่งรีบเกินไป จึงไม่ได้กลิ่นเลือดบนร่างกายของนาง
หลังจากหยุดลงชั่วขณะ กลิ่นเลือดเข้มข้นสายหนึ่งก็โชยมาเข้าจมูก ใบหน้าดวงเล็ก ๆ ของหยุนหว่านหนิงย่นยู่มากองรวมกันเป็นก้อน!
นี่คือเลือดของซ่งจื่ออวี๋!
เมื่อเผชิญกับสายตาที่เป็นกังวลและตกตะลึงของโม่เยว่….. หยุนหว่านหนิงก็แสร้งทำเป็นยิ้มกลบเกลื่อนว่าไม่ได้เป็นอะไร ก้มหน้าลงมองเลือดที่เปื้อนบนชุดกระโปรง “แม่จ้าวโว้ย! ข้าก็ยังสงสัยอยู่ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
“ตลอดทางที่มาที่นี่ คนที่เดินไปเดินมาบนถนนเอาแต่จ้องมองข้ากันหมด ที่แท้ก็เป็นเพราะเจ้านี่เองน่ะเรอะ”
ท่าทางที่ดูไม่ยี่หระของนาง ทำให้โม่เยว่ขมวดคิ้วแน่นยิ่งขึ้น
“หนิงเอ๋อร์ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
โม่เฟยเฟยก็ผลักกู้หมิงเข้าไปใกล้ ๆ ด้วย
เมื่อนางเห็นเลือดที่อาบย้อมบนชุดกระโปรงของหยุนหว่านหนิง ก็ตกใจมากจนต้องยกมือขึ้นมาปิดตา “พี่สะใภ้เจ็ด นี่….. นี่พี่ไปฆ่าหมูที่ไหนมารึ?”
หยุนหว่านหนิง: “….”
กู้หมิงถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ” หนิงเอ๋อร์ นี่มันเกิดอะไรขึ้นล่ะ?”
“ท่านลุง”
หยุนหว่านหนิงนั่งคุกเข่าลงข้าง ๆ เขา แล้วพูดจากึ่งออดอ้อนว่า “เดิมทีข้ารีบมาที่นี่แต่เช้าเพื่อจะรับหยวนเป่า”
“ใครจะรู้ล่ะว่าระหว่างทางจะได้เจอท่านปู่คนหนึ่ง…ที่ขาหักขณะขึ้นไปผ่าฟืนบนภูเขา!”
เวลานี้หูของ “ท่านปู่ซ่ง” ที่ว่า เริ่มจะร้อนลวกขึ้นมานิดหน่อยแล้ว…..
“ท่านปู่คนนั้นน่าสงสารมาก! ไม่มีใครช่วยเขาเลย! แล้วข้าก็ไม่ใช่ว่าเก่งกาจด้านการแพทย์หรอกรึ? ก็เลยเข้าไปช่วยรักษาขาให้เขา จากนั้นก็รีบมารับหยวนเป่านี่แหล่ะ”
นางถอนหายใจอย่างแผ่วเบา “ท่านปู่คนนั้น ได้รับบาดเจ็บหนักมาก”
“แถมข้าก็เดินมาอย่างเร่งรีบด้วย ดังนั้นเลยไม่ได้สังเกตว่าบนกระโปรงเต็มไปด้วยเลือด”
“มิน่าล่ะว่าทำไมระหว่างทาง คนที่เดินผ่านไปผ่านมาถึงได้มองข้าแปลก ๆ ที่แท้ก็เป็นเพราะแบบนี้นี่เอง!”
กู้หมิงพยักหน้า “ช่วยชีวิตคน ดีกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น”
ในใจของหยุนหว่านหนิงถอนหายใจดังเฮือก: นี่มันเรียกว่าช่วยชีวิตคนที่ไหนล่ะ? เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าอีกฝ่ายต่างหากที่ช่วยนางเอาไว้ตั้งหลายครั้งหลายหนแล้ว…. ครั้งนี้ที่ซ่งจื่ออวี๋ได้รับบาดเจ็บ ก็เป็นเพราะนางอีกนั่นแหล่ะ!
ในใจของนางรู้สึกผิดที่ทำให้อีกฝ่ายลำบากแล้วจริง ๆ
โม่เยว่ดึงนางให้ลุกขึ้นมา “ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะ”
“ถ้าเกิดหยวนเป่ามาเห็นเข้า เขาจะนึกเป็นห่วงอีกนะ!”
ลูกชายของเขานี่ ช่างเหมือนแม่แก่ ๆ ที่ชอบจู้จี้ขี้บ่นเข้าไปทุกทีแล้ว
ดูว่าเขาอายุยังน้อย แต่กลับฉลาดรู้ความกว่าเด็กทั่ว ๆ ไปมาก
หยุนหว่านหนิงพยักหน้าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินตรงดิ่งไปที่เรือนหลัง
ก่อนหน้านี้ นางพาหยวนเป่าหนีออกจากบ้านมาอาศัยอยู่ที่จวนตระกูลกู้ ดังนั้นจึงทิ้งพวกของใช้ต่าง ๆ รวมถึงเสื้อผ้าเอาไว้ที่จวนกู้ไม่น้อย ที่เรือนหลัง ยังมีเรือนพักของนางกับหยวนเป่าที่ถูกสงวนไว้เป็นพิเศษอีกหลังหนึ่งด้วย
โม่เยว่ไปรับหยวนเป่ามาแล้วเรียบร้อย
ในตอนที่หยุนหว่านหนิงออกมา เขาก็กำลังถามโม่เฟยเฟยอยู่ว่า: “เจ้าจะกลับวังเอง หรือว่าจะให้ข้าไปส่งเจ้ากลับ?”
“ข้า ข้ากลับเองก็ได้!”
โม่เฟยเฟยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ฟ้าใกล้มืดแล้ว! พวกพี่กลับไปก่อนเถอะ!”
โม่เยว่มองนางด้วยสายตาลึกล้ำ “กลับวังเร็วหน่อย ประตูวังใกล้จะลงดานแล้ว”
“ข้ารู้แล้วน่า!”
โม่เฟยเฟยโบกมือ มองส่งสามคนพ่อแม่ลูกจากไป
หลังออกจากประตูจวนตระกูลกู้ ได้เห็นโม่เยว่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เหมือนมีเรื่องกังวลในใจ หยุนหว่านหนิงก็อดถามไม่ได้ว่า “นี่เจ้าเป็นอะไรไปรึ?”
“ไม่ได้เป็นอะไร”
โม่เยว่ไม่เต็มใจที่จะพูด
หยุนหว่านหนิงขมวดคิ้ว “ไม่เป็นอะไรแล้วทำไมถึงดูกลุ้มใจนักล่ะ?”
“ข้าไม่เป็นไรหรอก”
หลังจากเข้าไปในรถม้าแล้ว โม่เยว่ก็เอามือท้าวคาง แสร้งทำเป็นงีบหลับไป
หยุนหว่านหนิงก็ไม่สะดวกที่จะถามต่อ จึงหันไปถามหยวนเป่าว่าวันนี้เขาได้เรียนรู้อะไรมาบ้าง
“ท่านแม่ วันนี้ท่านตาทวดสอนข้าให้ได้รู้ ว่าอะไรคือความหมายของคำว่า ‘โกหกตาใส ๆ’ !”
หยุนหว่านหนิงหัวเราะชอบใจ “ทำไมท่านตาทวดถึงสอนคำนี้ให้เจ้าล่ะ?”
“เพราะท่านตาทวดมีญาณหยั่งรู้ ท่านทำนายอนาคตได้ รู้ว่าคืนนี้พ่อเก๊จะ ‘โกหกตาใส ๆ’ ดังนั้นจึงตั้งใจสอนคำนี้ให้ข้าเป็นพิเศษ”
หยวนเป่าตอบอย่างฉะฉาน
“พรืด!”
หยุนหว่านหนิงถูกเย้าจนหลุดขำ
ไม่ต้องพูดถึงอะไรอื่น กู้ป๋อจ้งอุทิศตนในการสอนหยวนเป่าแบบทุ่มเทสุดความสามารถจริง ๆ
เด็กน้อยที่อายุยังไม่ถึงสี่ขวบ พูดสำนวนเหล่านี้ออกมาทีละประโยคอย่างชัดถ้อยชัดคำ
หนังหน้าของโม่เยว่เวลานี้ ไม่สามารถทนทำเป็นด้านชาได้อีกต่อไป จึงลืมตาขึ้นแล้วมองไปที่หยวนเป่าอย่างจนใจ “ลูกชาย ความปากเสียแบบนี้ของเจ้า เจ้าไปเรียนรู้มาจากใครกันน่ะ?”
“กรรมพันธุ์!”
หยวนเป่าตอบโดยไม่ต้องคิด
โม่เยว่: “…..พ่อจำไม่เห็นได้เลย ว่าตัวเองเป็นคนปากเสียแบบนี้”
“ข้าไม่ได้รับกรรมพันธุ์มาจากท่านหรอก”
หยวนเป่ากระพริบตาปริบ ๆ “พ่อเก๊ ท่านปากคองุ่มง่าม ไม่มีคารมคมคาย จนบัดนี้ก็ยังคว้าใจท่านแม่ของข้ามาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”
“แน่นอนว่า ข้าต้องสืบทอดกรรมพันธุ์มาจากท่านแม่อยู่แล้วสิ!”
เขาแค่นเสียงในลำคอเบา ๆ แล้วกระโจนเข้าไปในอ้อมแขนของหยุนหว่านหนิงอีกครั้ง “ท่านแม่ ข้าพูดถูกหรือไม่?”
พรืด
เจ้าปีศาจน้อยจอมเจ้าเล่ห์เอ๊ย!
“ถูกแล้ว ๆ หยวนเป่าของแม่พูดได้ถูกต้องอย่างยิ่ง!”
หยุนหว่านหนิงหัวเราะดัง “คิก ๆ ๆ”
สองคนแม่ลูกกอดกันกลมดิก ใกล้ชิดสนิทสนม ส่งเสียงหัวเราะหยอกเย้ากันไม่ขาด
โม่เยว่กระชับเสื้อผ้าของเขาแน่น นั่งอย่างโดดเดี่ยวอยู่อีกด้าน ราวกับว่าเป็นพวกหัวเดียวกระเทียมลีบ…. ใคร ๆ ก็บอกว่าลูกชายเหมือนแม่ สองคนนี้รวมหัวกันรังแกเขาอย่างสุดจิตสุดใจจริง ๆ!
………
เพียงไม่นาน ก็ถึงวันก่อนหน้าที่หยุนธิงหลานจะแต่งเข้าไปในจวนอ๋องสามแล้ว
ต่อให้พวกหยุนเจิ้นซงจะไม่ยินยอมพร้อมใจแค่ไหน แต่ในเมื่อมีพระราชโองการออกมาแล้ว พวกเขาก็ทำได้แค่จัดงานแต่งขึ้นอย่างเชื่อฟังเท่านั้น
เวลานี้ โม่หุยเฟิงไม่ใช่อ๋องหยิงผู้สูงส่งอีกต่อไป แต่เป็นแค่อ๋องสามที่ไม่ได้มียศตำแหน่งอะไร
แต่ถึงอย่างไร สุดท้ายแล้วเขาก็ยังเป็นราชนิกูล
ดังนั้นเรื่องที่หยุนธิงหลานจะแต่งเข้าจวนอ๋องสามไปเป็นพระชายารอง ก็จำเป็นต้องจัดให้ใหญ่โตเอิกเกริกเช่นกัน
แม้ว่าหยุนหว่านหนิงจะเป็นลูกสาวที่แต่งออกไปแล้ว แต่ก่อนวันแต่งหนึ่งวัน นางก็ยังต้องกลับจวนยิ่งกั๋วกงเพื่อไป “ช่วยงาน” อยู่ เพราะถึงอย่างไรคนที่แต่งออกก็เป็น “น้องสาวแท้ ๆ” ของนาง!
หยุนธิงธิงยังคงเอาแต่ปิดประตูสนิท ไม่ออกมาเจอหน้าใคร
จนกระทั่งหยุนหว่านหนิงเข้าไปในจวนยิ่งกั๋วกง นางจึงยอมออกมาพบนางอย่างมีความสุข
“พี่ใหญ่……”
มีแค่เวลาที่นางได้เห็นหน้าหยุนหว่านหนิงเท่านั้น นางถึงจะเผยรอยยิ้มออกมาได้”ข้ารู้นะ ที่พี่ใหญ่ทำแบบนี้ก็เพื่อประโยชน์ของข้า!”
“แล้วเจ้าคิดจะขอบคุณข้าอย่างไรรึ?”
หยุนหว่านหนิงยื่นมือไปจิ้ม ๆ ปลายจมูกของนาง
นับตั้งแต่หยุนธิงธิงเกิดเรื่อง นางก็เอาแต่ซ่อนตัวอยู่ในเรือนตัวเอง ไม่คิดที่จะก้าวออกมาแม้เพียงครึ่งก้าว เมื่อคิดถึงวัยที่เปรียบเสมือนดอกไม้แรกแย้ม แต่กลับต้องเก็บตัวสันโดษ จนเหมือนดอกไม้ที่เหี่ยวเฉาโรยราช่อหนึ่ง ช่างไร้ชีวิตชีวาสิ้นดี
นี่จึงเป็นเหตุผลที่หยุนหว่านหนิงอยาก “ช่วยขจัดปัญหา” นี้ให้หยุนธิงธิง
ประการแรก เพื่อเป็นการก่อกวนจวนอ๋องสามให้วุ่นวายโกลาหล จนหมาไก่ก็ยังอยู่กันไม่เป็นสุข
ประการที่สอง เพื่อจะช่วยหยุนธิงธิง
นางกลัวหยุนธิงหลาน
การขับหยุนธิงหลานออกไปจากจวนยิ่งกั๋วกงทางอ้อม จะทำให้หยุนธิงธิงไม่ต้องเอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้องทั้งวี่ทั้งวันอีก
ไม่จำเป็นต้องให้นางพูดออกมา หยุนธิงธิงก็รู้ดีว่านางทำเพื่อตน
“ข้าไม่มีเงินใช้เป็นสิ่งตอบแทนให้พี่ใหญ่หรอก ดังนั้นก็ให้ข้าเป็นวัวเป็นม้ารับใช้พี่ใหญ่ไปตลอดชีวิตแล้วกัน! หรือไม่ ก็เป็นถึงชาติหน้า แล้วก็ชาติต่อ ๆ ไป ข้าพร้อมจะเป็นวัวเป็นม้ารับใช้พี่ใหญ่ไปทุก ๆ ชาติเลย!”
หยุนธิงธิงควงแขนของนางพลางยิ้มยิบหยีจนตาปิด “หยวนเป่าล่ะ?”
“อยู่บ้านตระกูลกู้น่ะ”
หยุนหว่านหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าไม่ขาดแคลนคนรับใช้หรอก จะอยากได้เจ้ามาเป็นวัวเป็นม้ารับใช้ทำไมกัน?”
“ข้าแค่หวังว่า เจ้าจะมีชีวิตที่มีความสุขก็พอแล้ว”
เมื่อคิดย้อนกลับไปเมื่อสมัยก่อน ท่าทีที่หยุนธิงธิงมีต่อนางนั้นดูห่างเหินแปลกแยก ไม่แยแส จนถึงขั้นดูถูกเหยียดหยามด้วยซ้ำ เรียกง่าย ๆ ว่าไม่เข้าใจวิธีการทำสิ่งต่าง ๆ ของนาง
แต่บัดนี้ความเหินห่างนั้นได้ถูกขจัดออกไปแล้ว นางยอมพึ่งพาตนอย่างใกล้ชิดสนิทใจมากขึ้น
จริงดังคาด ว่าเวลามันสามารถเยียวยาสิ่งเลวร้ายทั้งหลายทั้งปวงได้
เอาเป็นว่าขั้นแรก เราต้องเป็นที่คนดีพร้อมให้ได้เสียก่อน
หยุนหว่านหนิงเกาะไหล่ของนาง สองศรีพี่น้องเดินตรงไปที่เรือนของหยุนธิงหลาน ยังไม่ทันได้ก้าวขาเข้าประตู ก็ได้ยินเสียงคำรามลั่นดังมาจากที่ไกล ๆ ว่า “ไสหัวออกไป! ไสหัวออกไปให้พ้นหน้าข้าให้หมด!”
ต่อจากนั้น ก็มีเสียงข้าวของบางอย่างถูกทุบตีขว้างปา
หยุนหว่านหนิงกับหยุนธิงธิง หันมามองหน้าประสานสายตากันแวบหนึ่ง “โย่ว! นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันล่ะเนี่ย?”