อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 338 โม่เยว่ปกป้องลูกชายแบบวางอำนาจสุดขั้ว
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 338 โม่เยว่ปกป้องลูกชายแบบวางอำนาจสุดขั้ว
หยวนเป่าก็เห็นแล้วเช่นกัน เขาชี้ไม้ชี้มือไปที่ชายชราที่ดื่มเหล้าจนหน้าแดงหูแดงอยู่ในโรงเตี๊ยม…..
“ท่านแม่ ๆ นั่นไม่ใช่ท่านตาทวดหรอกหรือ?!”
“แม่เห็นแล้วล่ะ”
หยุนหว่านหนิงขมวดคิ้วมุ่น ขณะที่มองไปที่กู้ป๋อจ้ง
คนที่อยู่ตรงข้ามเขา เป็นชายชราอีกคนหนึ่ง…แต่เพราะหันหลังให้หน้าต่าง ทำให้หยุนหว่านหนิงไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของเขาได้ชัดเจนนัก ทำได้แค่มองจากด้านหลัง ก็เห็นได้ว่าเหมือนจะเป็นชายชราตัวเล็ก ๆ
แต่ที่แน่ ๆ คือผมหงอกเป็นสีดอกเลา
ดู ๆ ไปแล้ว เขาน่าจะอายุพอ ๆ กันกับกู้ป๋อจ้ง
“ที่แท้ ท่านตาบอกว่ามีธุระด่วนต้องรีบไป ก็คือการออกมาดื่มเหล้านี่เอง!”
หยวนเป่าแสดงท่าทางเหมือน “ได้เปิดหูเปิดตาเห็นโลกใบใหม่”จนเกินจริง
เมื่อเห็นสีหน้าที่ดูตื่นตกใจของเขา หยุนหว่านหนิงก็ยิ้มอย่างจนใจ “บางทีพวกเขาอาจกำลังคุยธุระอะไรบางอย่างอยู่ก็ได้นะ!”
“แล้วถ้าดื่มจนเมาแล้วจะคุยกันอย่างไรต่อล่ะ?”
หยวนเป่าพูดอย่างจริงจังว่า “ถ้าเมาแล้วจะพูดภาษาคนไม่รู้เรื่องไม่ใช่รึ?”
“อ่า…..นี่ก็…”
หยุนหว่านหนิงถึงกับโดนลูกชายตัวเองดักจนพูดอะไรไม่ออกไปเลย!
นั่นสิ ถ้าเมาแล้วก็จะพูดภาษาคนไม่รู้เรื่องไม่ใช่เรอะ?
เมื่อเห็นท่าทางมีความสุขของกู้ป๋อจ้ง ก็คิดว่าอีกฝ่ายคงจะเป็นเพื่อนเก่าที่ได้มาพบหน้ากัน เขาจึงออกมาพบอย่างมีความสุขขนาดนี้ ว่ากันตามจริง หยุนหว่านหนิงก็พอจะเข้าใจได้ว่าอารมณ์ความรู้สึกของเขาเป็นอย่างไรในตอนนี้
พวกเขาต่างก็เป็นคนที่ขาข้างหนึ่งก้าวเข้าไปรอในโลงแล้ว
การที่อยู่มาจนอายุปูนนี้ ก็ยังมีเพื่อนที่รู้ใจอยู่ นับว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ เลยทีเดียว
นางคิดไปคิดมา ก็คุกเข่าลงแล้วอธิบายให้หยวนเป่าฟังอย่างจริงจังว่า “ลูกรัก มีเรื่องบางอย่าง เพราะเจ้ายังเล็กอยู่ก็เลยยังไม่เข้าใจ”
“ข้าเข้าใจดี”
หยวนเป่ากระพริบตาปริบ ๆ พูดอย่างไร้เดียงสาว่า “เพราะวันนี้ท่านลุงทวดกับท่านตาทวดเถียงกัน!”
“ท่านตาทวดโกรธมากเลยหนีออกจากบ้านไปเลย”
หยุนหว่านหนิงตกตะลึงจนผงะ “เถียงกัน? ทำไมท่านลุงทวดกับท่านตาทวดถึงทะเลาะกันล่ะ?”
“ข้าก็ไม่รู้”
หยวนเป่าเพิ่งมารู้ตัวภายหลังว่าเกิดพลั้งปากไป จึงรีบยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเอง แต่เพียงไม่นานก็โบกมือทั้งสองเป็นพัลวันอีก “ข้าก็แค่เดาเอา! ท่านแม่ อย่าถามข้าเลยนะ ข้าไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง”
พูดจบก็หมุนตัวเดินจากไป
หยุนหว่านหนิงยืนขึ้น สองแขนกอดอก สายตามองตามเจ้าเด็กน้อยตัวแสบนี่เดินฝ่าผ่านฝูงชนไปอย่างครุ่นคิด
“พ่อเก๊ไอ้หนู เจ้าว่าลูกชายของเราเป็นอะไรไปน่ะ?”
นางใช้ไหล่ชนใส่ผู้ชายที่อยู่ข้าง ๆ ไปหนึ่งที
ในตอนที่หยวนเป่าหันหลังเดินจากไป หรูอวี้ก็รีบตามหลังไปแล้ว ดังนั้นหยุนหว่านหนิงจึงไม่รู้สึกกังวลใจเลย
โม่เยว่ขมวดคิ้ว ก่อนจะผลักนางออกไปด้วยสีหน้ารังเกียจ ” หนิงเอ๋อร์ เจ้าก็จะต้องโรยเกลือบนบาดแผลของข้าด้วยให้ได้เลยใช่ไหม?”
หยวนเป่าเจ้าเด็กแสบคนนี้ วัน ๆ เอาแต่เรียกเขาว่า “พ่อเก๊” ก็นับว่าแล้วไปเถอะ เขาเป็นผู้ชายตัวสูงใหญ่ถึงเจ็ดฉื่อ ยังจะต้องลดอายุสมองลงไปทะเลาะกับลูกชายของตัวเองอีกรึ?
“ท่านพ่อของไอ้หนู?”
หยุนหว่านหนิงมีไหวพริบ จึงรีบเปลี่ยนคำพูดของตัวเองทันที
โม่เยว่ก็เปลี่ยนสีหน้าทันที ยิ้มแย้มจนเต็มใบหน้า “ข้าก็รู้สึกเหมือนกัน ว่าลูกชายกำลังโกหก”
เขาเอาแขนโอบไหล่หยุนหว่านหนิง ” ไปเถอะ กลับบ้านกัน ‘ไปเค้นคำสารภาพ’!”
การเปลี่ยนสีหน้ารวดเร็วระดับนี้ หยุนหว่านหนิงเทียบแล้วยังถึงกับสู้ไม่ได้ ต้องยอมซูฮกให้จริง ๆ
นางกลอกตามองบนใส่
แต่ในใจกลับคาดเดาไปต่าง ๆ นานาว่า เพราะอะไรกันแน่ที่ทำให้กู้ป๋อจ้งโต้เถียงกับกู้หมิง….. นางเชื่อคำพูดของลูกชาย ที่ผ่านมาเจ้าเด็กคนนี้ไม่เคยโกหก
โดยเฉพาะเรื่องอะไรแบบนี้!
นางหันหน้าไปมองแวบหนึ่ง ดูกู้ป๋อจ้งที่ยังคงชนแก้วอยู่กับชายชราตัวเล็ก ๆ ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม จากนั้นก็ขมวดคิ้วน้อย ๆ
นางสั่งให้หรูโม่คอยเฝ้าอยู่ที่นี่ เพื่อป้องกันไม่ให้กู้ป๋อจ้งเกิดเรื่อง
ยังไม่ทันได้ตามหยวนเป่าไป ก็เห็นเงาร่างที่ดูคุ้นเคยสองร่าง
ปรากฏว่าเป็นโม่หุยเหยียนกับหนานกงเยว่!
สองสามีภรรยาคู่นี้ ไม่รู้ว่าทำไมวันนี้ถึงได้มีเวลาว่างสบาย ๆ จนออกมาเดินเที่ยวตลาดได้ บังเอิญประเหมาะเคราะห์ร้าย ที่เมื่อครู่หยวนเป่าไม่ทันระวัง จนเดินไปชนเข้ากับบั้นเอวของโม่หุยเหยียนจนเต็มรัก!
ทหารองครักษ์ข้างกายของโม่หุยเหยียน ทำท่าว่าจะเข้ามากระชากตัวเขาออกไป
หรูอวี้รีบเข้ามาคุ้มครอง ด้วยการคว้าตัวหยวนเป่าเข้ามา แล้วส่งเขาไปไว้ด้านหลังของตัวเองเพื่อคอยปกป้องทันที
โม่หุยเหยียนจำหรูอวี้ได้
เมื่อเห็นว่าเป็นเขา จึงยื่นมือออกไปเพื่อหยุดทหารองครักษ์ที่อยู่ข้างหลัง
หนานกงเยว่ยังคงมีรอยยิ้มที่อ่อนโยนไม่เปลี่ยน ถามหรูอวี้ไปประโยคหนึ่งว่า “หรูอวี้ คุณชายน้อยที่อยู่ข้างหลังเจ้าเป็นลูกบ้านไหนกัน? หน้าตาน่ารักน่าชังเสียจริง!”
“อ๋องฉู่ พระชายาฉู่”
หรูอวี้ทำความเคารพอย่างสุภาพ
องครักษ์ที่อยู่ข้างหลังโม่หุยเหยียน พูดด้วยท่าทางไม่พอใจว่า “ชนท่านอ๋องของพวกเรา มีความผิดควรลงโทษสถานใด?”
“อายุยังน้อยแค่นี้ ก็ประมาทเลินเล่อขนาดนี้แล้ว สมควรถูกลงโทษ!”
หรูอวี้โกรธจัด ถลึงตาใส่เขาทันที “เจ้าพูดพล่ามอะไร? ลงโทษอะไร? เจ้าลองลงโทษดูสิ ?! เชื่อหรือไม่ข้าจะทุบหัวเจ้าให้แตกเป็นพลุเลย!”
กล้าพูดออกมาได้ยังไง ว่าจะลงโทษคุณชายน้อยของบ้านเขา?
รู้หรือไม่ว่าคุณชายน้อยของบ้านเขาคือใคร? !
เดิมทีหยุนหว่านหนิงก็รู้ดี ว่าหรูอวี้สามารถสลัดสองสามีภรรยาคู่นี้ได้ หรือต่อให้หรูอวี้ทำไม่ได้ หยวนเป่าก็มีความสามารถพอที่จะสลัดสองคนนั้นได้ด้วยตัวเอง
แต่โม่เยว่ดันเป็นพวกให้ท้ายลูกสุดโต่ง
ลูกชายของเขา เขาตำหนิได้ แต่คนอื่นไม่ได้เด็ดขาด!
หยุนหว่านหนิงยังไม่ทันมีปฎิกริยาตอบสนอง โม่เยว่ก็เหินตัวปลิวออกไปเหมือนสายลมแล้ว เงาร่างของเขาหายวูบไปจากตรงหน้าของนางในพริบตา
“ความเร็วระดับเทพเลยนะเนี่ย”
นางเดาะลิ้นตัวเองอย่างนึกทึ่ง
ในเมื่อโม่เยว่ยังออกตัวแล้ว นางที่เป็นแม่แท้ ๆ จะไม่ออกตัวบ้างได้ยังไงล่ะ? !
นางจึงวิ่งไล่ตามเขาไป
โม่เยว่เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว อุ้มหยวนเป่าที่อยู่ข้างหลังหรูอวี้ขึ้นมา โดยไม่ต้องรอให้ใครบอก สองมือของหยวนเป่าก็คว้าแขนเสื้อของเขาไว้ แล้วฝังหน้าลงไปในอ้อมแขนของเขาแล้วเรียบร้อย
ปฏิกิริยาของเขารวดเร็วมาก ทั้งโม่หุยเหยียนและหนานกงเยว่ต่างก็เห็นใบหน้าของเขาได้ไม่ชัด
“หรูอวี้ ตบปาก!”
โม่เยว่ออกคำสั่งด้วยสีหน้าเย็นชา
“ขอรับนายท่าน”
หรูอวี้ไม่พูดพร่ำทำเพลง เดินตรงไปหาองครักษ์คนนั้น แล้วตบหน้าอีกฝ่ายทั้งซ้ายขวาติด ๆ กันไปหลายฉาด
องครักษ์คนนั้นถูกตบจนหน้าแดงคอย่น มุมปากมีเลือดไหลอาบออกมาเลยทีเดียว
เขากุมหน้าด้วยท่าทางน้อยเนื้อต่ำใจ มองไปที่โม่หุยเหยียน คาดหวังว่าเจ้านายของตัวเองจะช่วยระบายความแค้นแทนให้…..
หากอีกฝ่ายคือโม่ฮั่นอี่ว์ แน่นอนว่าโม่หุยเหยียนจะต้องระบายความแค้นนี้แทนองครักษ์ของตัวเองแน่ เพราะจะว่าไป องครักษ์ของตัวเองถูกตบต่อหน้า ก็เท่ากับว่าเขาที่เป็นเจ้านายถูกตบหน้าไปด้วย
ใครมันจะทนกลืนไฟโทสะก้อนนี้ลงท้องไหว? !
แต่แค้นใจที่อีกฝ่าย ดันเป็นโม่เยว่เสียได้!
โม่หุยเหยียนรู้จักเสด็จน้องคนที่เจ็ดผู้นี้ดีอย่างยิ่งเลยเชียวล่ะ
ต่อให้ยืนอยู่ต่อหน้าโม่จงหราน โม่เยว่ก็ไม่เคยไว้หน้าเขา หรือเคารพเขาในฐานะพี่ใหญ่เลยสักครั้ง
ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ว่าตอนนี้พวกเขาอยู่บนท้องถนน!
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เฮือกหนึ่ง ฝืนกลืนความขุ่นเคืองใจลงไป พยายามฝืนเค้นรอยยิ้มออกมา “เจ้าเจ็ด เจ้าก็มาด้วยรึ!”
“ทำไม? ถนนฉางอานนี้เป็นบ้านของพี่ใหญ่สร้างไว้รึ? คนอื่นถึงจะเดินสัญจรผ่านไปมาไม่ได้?”
โม่เยว่ยังคงมีสีหน้าเย็นชาไม่เปลี่ยน
“ก็ไม่หรอก ข้าก็แค่พูดลอย ๆ”
โม่หุยเหยียนพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
โม่เยว่ยิ้มหยัน “พูดแบบลอย ๆ? ดูเหมือนว่าเจ้านายเป็นแบบไหน ก็มีข้ารับใช้ที่เป็นแบบนั้นจริง ๆ นะ! พี่ใหญ่ชอบพูดจาลอย ๆ องครักษ์ประจำตัวเจ้าก็เลยอ้าปากพูดออกมาแต่ละที เลยไม่มีอะไรแตกต่างกันสักเท่าไหร่”
“ข้าดูแล้ว รู้สึกว่าลิ้นแบบนี้เก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์! ไม่สู้ตัดมันออกมาโยนให้หมากินไปซะน่าจะดีกว่า!”
ที่เขาพูดมา แน่นอนว่าหมายถึงองครักษ์คนนั้น
องครักษ์ตกใจจนรีบยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองแน่น
สีหน้าของโม่หุยเหยียนก็ถึงกับแข็งทื่อไปด้วยเล็กน้อยเช่นกัน
แม้ว่าเขาจะคุ้นเคยกับความปากคอเราะร้ายของโม่เยว่มานานแล้ว ทั้งยังคุ้นเคยกับความโหดเหี้ยมไม่ไว้ไมตรีของเขาดี แต่บนถนนที่มีผู้คนพลุกพล่านแบบนี้ มันก็ยังทำให้เขาออกจะรู้สึกเสียหน้าอยู่บ้างเล็กน้อย
“เจ้าเจ็ด นี่มันก็แค่เรื่องเข้าใจผิดเท่านั้นเอง”
“เข้าใจผิด?”
โม่เยว่ไม่เห็นด้วย “เด็กเล็ก ๆ น่ะธรรมชาติของพวกเขาก็ชอบเล่นชอบสนุก จะเดินจะเหินทีก็ชอบกระโดดโลดเต้น ทำไมถึงกลายเป็นความประมาทเลินเล่อไปได้?”
“ในเมื่อถนนฉางอันนี้ไม่ได้เป็นของพี่ใหญ่ แล้วอาศัยอะไรถึงมาตัดสินว่าเด็กบ้านข้าเป็นฝ่ายประมาท? แต่ไม่ใช่พี่ใหญ่ที่เดินไม่มองทาง จนเป็นฝ่ายมาชนใส่เด็กบ้านข้า?!”
คำที่เขาพูดซ้ำ ๆ ว่า “เด็กบ้านข้า” ทำให้โม่หุยเหยียนกับหนานกงเยว่ถึงกับตะลึงค้างอยู่กับที่ไปเลย
ท่าทางแบบนี้ของโม่เยว่ ดูแตกต่างจากท่าทางในยามปกติของเขาอย่างสิ้นเชิง!
ผู้หญิงจะมีความละเอียดถี่ถ้วนกว่า
หนานกงเยว่อดจ้องมองไปที่หยวนเป่าที่อยู่ในอ้อมแขนของโม่เยว่ไม่ได้ ในแววตาปรากฎร่องรอยของความสงสัย…..