อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 340 สะกดรอยตาม แต่คนกลับไม่อยู่แล้ว
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 340 สะกดรอยตาม แต่คนกลับไม่อยู่แล้ว
ถนนฉางอัน คึกคักมีชีวิตชีวามาก
หยุนหว่านหนิงกับโจวหยิงหยิง หาตัวหยวนเป่ากับโจวเถียนเถียนพบแล้ว เด็กน้อยทั้งสองคนยังกินถังหูลู่อยู่ตามคาด
เห็นแค่โจวเถียนเถียนมือซ้ายกำหนึ่งไม้ มือขวาก็กำอีกหนึ่งไม้ อ้าปากกัดซ้ายคำขวาคำ แก้มยุ้ย ๆ ของนางเต็มไปด้วยคราบน้ำตาลสีแดง ๆ ที่เคลือบอยู่บนผลไม้เชื่อมจนเหนียวเหนอะไปหมด
พอกลับมาดูหยวนเป่าบ้าง
เขาถือไม้เสียบถังหูลู่ไว้ในมือขวา ส่วนมือซ้ายก็ถือผ้าเช็ดปากไว้ผืนหนึ่ง
หลังจากกินไปคำหนึ่ง ก็ค่อยๆ เช็ดคราบน้ำตาลออกจากมุมปาก
ใบหน้าเล็ก ๆ นั้นขาวสะอาด กินได้ดูสง่างามหาใดเปรียบ
ซึ่งเมื่อลองเทียบกันแล้ว ช่างดูแตกต่างกับลักษณะการกินที่สุดแสนจะตะกละตะกลามของโจวเถียนเถียนอย่างสิ้นเชิง
โจวหยิงหยิงยกมือขึ้นปิดหน้าทันที “ไม่มีหน้าจะเจอใครแล้ว ! หลานสาวตระกูลโจวของข้า มารยาทยังเทียบกับลูกบุญธรรมของเจ้าไม่ได้ด้วยซ้ำ! ดูท่าทางตอนที่หยวนเป่ากินนั่นสิ ช่างเรียบร้อยสง่างามขนาดไหน คนที่ไม่รู้คงจะคิดว่าเป็นท่านชายท่านไหนจากในราชวงศ์แน่ ๆ”
“ส่วนเถียนเถียนของข้า ดูอย่างไรก็เหมือนผีน้อยผู้หิวโหย ที่ถูกปล่อยออกมาจากคุกแห่งความอดอยากก็ไม่ปาน!”
นางลดมือลง มองไปที่โจวเถียนเถียนในสภาพเหมือนพูดอะไรไม่ออก “จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า ปกติแล้วพี่ชายกับพี่สะใภ้ของข้า จะไม่ยอมให้นางกินข้าวหรืออะไรทำนองนั้น?”
หยุนหว่านหนิงหัวเราะเบา ๆ “มีน้าคนไหนที่เป็นเหมือนเจ้าบ้างเนี่ย? พูดถึงหลานสาวตัวเองแบบนี้ก็ได้รึ?”
ทั้งสองคนเดินเข้าไปรับเด็กมา
เมื่อเห็นว่าพวกเขามาแล้ว หรูอวี้ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เงินในกระเป๋าของเขา แทบจะถูกเจ้าประคุณทูนหัวตัวน้อย ๆ สองคนนี้ใช้จนหมดเกลี้ยงอยู่แล้ว!
โดยเฉพาะแม่สาวน้อยร่างอ้วนจากตระกูลโจวคนนั้น!
ชั่วขณะนี้เอง สีหน้าของหรูอวี้ก็เปลี่ยนไป สายตาคมปลาบมองตรงไปที่ด้านหลังของโม่เยว่…..
มือขวาของเขาจับด้ามกระบี่ที่เอวไว้อย่างเงียบ ๆ กล้ามเนื้อทุกมัดในตัวพร้อมจะเคลื่อนไหวทะยานออกไปดั่งนกอินทรีที่พร้อมเหินบิน ซึ่งตรงกันข้ามกับท่าทางเฉื่อยชาเมื่อครู่นี้อย่างสิ้นเชิง
“นายท่าน”
เขากระซิบเรียก
“ข้ารู้แล้ว”
สีหน้าของโม่เยว่ไม่เปลี่ยนแปลง แต่น้ำเสียงกลับเคร่งเครียดจริงจัง “เจ้ารู้ดีว่าควรต้องทำเช่นไร”
“ขอรับ นายท่าน”
หรูอวี้ทำตัวกลมกลืนเข้ากับฝูงชนไปอย่างเงียบ ๆ
หยุนหว่านหนิงเหมือนว่าจะเริ่มสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง แต่เพิ่งจะหันหน้ามา ก็ถูกโม่เยว่บดบังสายตาเข้าพอดี “ดูอะไรรึ?”
สีหน้าของเขาดูเป็นปกติมาก มองไม่ออกว่ามีสิ่งผิดปกติอะไรเลย
“ไม่มีอะไร ข้าเอาแต่รู้สึกว่ามีคนอยู่ข้างหลังตลอดเลย”
หยุนหว่านหนิงขมวดคิ้ว
โม่เยว่หัวเราะเบา ๆ “ข้านี่แหล่ะที่ตามอยู่ข้างหลังเจ้าตลอด”
ว่ากันโดยนัยยะ คนที่ตามอยู่ข้างหลังนาง ก็คือเขาจริง ๆ
“ข้ารู้สึกว่าไม่เหมือนเป็นเจ้า แต่เหมือนเป็นคนอื่นมากกว่า”
แต่เมื่อเห็นว่าสีหน้าของโม่เยว่ยังคงเป็นปกติ หยุนหว่านหนิงก็ทำได้เพียงส่ายหน้า สลัดความรู้สึกแปลก ๆ ออกจากสมองตัวเอง “บางทีข้าอาจจะคิดมากไปเองก็ได้”
มีโม่เยว่อยู่ข้างหลัง ต่อให้มีคนตามสะกดรอยจริง ๆ มีหรือที่คนระดับเขาจะไม่รู้?
ขอแค่มีโม่เยว่อยู่ นางก็สามารถวางใจได้
นางรู้ว่า เขาจะต้องปกป้องพวกเขาสองคนได้อย่างแน่นอน
อีกทั้งสร้อยข้อมือก็ไม่ร้อนขึ้นเพื่อเป็นสัญญาณเตือนภัยนาง จึงเป็นไปได้ว่านางอาจจะคิดมากเกินไปจริง ๆ
หยุนหว่านหนิงยิ้ม จูงมือหยวนเป่ากับโจวเถียนเถียน “พวกเจ้ายังอยากกินอะไรอีกไหม? ข้าจะพาพวกเจ้าไปกินเอง!”
นางแค่คิดไปว่าไม่มีอันตราย สร้อยข้อมือจึงไม่ปรากฏสัญญาณเตือน
โดยไม่รู้เลยว่า เป็นเพราะก่อนที่อันตรายจะได้ย่างกรายเข้ามาใกล้พวกเขา ก็ถูกคนกำจัดจนสลายหายไปก่อนแล้วเรียบร้อย …..
โจวหยิงหยิงมองไปที่ใบหน้าของหยวนเป่าอย่างครุ่นคิด “หนิงเอ๋อร์ ทำไมข้าถึงเอาแต่รู้สึกว่าหยวนเป่าดูแล้วเหมือนเจ้า ไม่ก็เหมือนเจ้าเจ็ดมากเลยล่ะ? นี่ดวงตาของข้ามีปัญหาอะไรหรือเปล่านะ?”
หยุนหว่านหนิง: “……ดวงตาของเจ้าไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอก”
“เจ้าไม่เคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า ถ้าคนเราใช้ชีวิตอยู่กับใครไปนาน ๆ เข้า ก็จะมีหน้าตาเหมือนกับคน ๆ นั้นหรอกหรือ?”
ตอนนี้ นางสามารถพูดโกหกได้อย่างคล่องแคล่วลื่นไหล หน้าไม่แดงลมหายใจไม่สะดุดแล้ว “หยวนเป่าอยู่กับพวกเรามานานขนาดนี้ จะดูเหมือนพวกเราก็ถือเป็นเรื่องปกติ”
“ก็เหมือนกับเถียนเถียน ไม่ใช่ว่าดู ๆ แล้วเหมือนเจ้ามากเลยหรอกรึ?”
โจวหยิงหยิงครุ่นคิดอย่างรอบคอบ “นั่นสิ! ฟังดูแล้วก็สมเหตุสมผลดีทีเดียว!”
นางคิดไม่ถึงเลยสักนิดว่า นางเป็นน้าของโจวเถียนเถียน
ต่อให้โจวเถียนเถียนจะมีหน้าตาเหมือนนาง ก็เป็นเพราะความสัมพันธ์ทางสายเลือด นี่ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องสมควรแล้วหรอกรึ?
เมื่อเห็นท่าทางที่ดูไม่มีความระแวงสงสัยแม้แต่น้อยของโจวหยิงหยิง หยุนหว่านหนิงก็ลอบยิ้มในใจ แต่ใบหน้ากลับยังคงสงบนิ่งไม่เปลี่ยน “พี่สะใภ้รอง เจ้าอยากกินอะไร? ข้าเลี้ยงเอง!”
โจวหยิงหยิงเกิดอาการสนใจขึ้นมาทันที เริ่มร่ายรายการอาหารออกมาอย่างไหลลื่น
หลังจากมองส่งพวกเขาทั้งหมดจากไป โม่เยว่ก็หันหน้ากลับมามองแวบหนึ่ง
หรูอวี้รีบเดินตามขึ้นมา
จากนั้นก็ทำแค่ขมวดคิ้วนิ่วหน้า แววตาแฝงความรู้สึกสงสัย
“ทำไม?”
“นายท่าน ข้าน้อยยังไม่ทันได้เข้าใกล้ คนผู้นั้นก็ไม่อยู่แล้ว”
หรูอวี้ตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วต่ำ
“ไม่อยู่แล้ว?”
โม่เยว่หรี่ตาลงเล็กน้อย “อะไรคือคำว่าไม่อยู่แล้ว?”
หนีไปแล้วจนหาไม่เจอแม้แต่เงา หรือว่า…..
“ไม่มีลมหายใจเหลืออยู่แล้ว”
หรูอวี้มองไปรอบ ๆ อย่างระแวดระวัง “มีคนชิงตัดหน้าลงมือ ปลิดชีวิตเขาได้ก่อน ข้าน้อยเกรงว่าอาจจะยังมีการซุ่มโจมตีอยู่รอบ ๆ อีก จนเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น ดังนั้นจึงไม่ได้นำศพออกมา”
โม่เยว่ขมวดคิ้ว สีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง “ใครเป็นคนทำ?”
“ไม่ทราบขอรับ ข้าน้อยทราบแค่ว่าวรยุทธ์ของคนผู้นั้นสูงมาก! สามารถลงมือฆ่าคนได้อย่างเงียบเชียบ ทั้งยังเป็นการฆ่าในกระบวนท่าเดียวอีกด้วย”
หรูอวี้เพิ่มความระมัดระวังขึ้นทันที
ท่ามกลางฝูงชนมากมาย มีคนแบบนี้ปะปนอยู่ ไม่รู้ว่าควรดีใจหรือควรเป็นกังวล
ท้ายที่สุดก็ไม่รู้ด้วยว่าคนผู้นั้น เป็นศัตรูหรือว่ามิตรกันแน่
เมื่อครู่นี้ยังคร่าชีวิตคนที่สะกดรอยตามพวกเขา แต่ก็ไม่อาจยืนยันได้ว่าอีกฝ่ายจะมีความสัมพันธ์ฉันท์มิตรกับโม่เยว่
สรุปแล้ว เรื่องนี้น่าสงสัยอย่างยิ่ง
“ส่งคนไปตามสืบมา”
โม่เยว่สั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา
หลังจากชะงักไปครู่หนึ่ง เขาก็พูดเสียงต่ำเสริมขึ้นอีกว่า “อีกอย่าง เรื่องนี้ต้องอย่าให้หนิงเอ๋อร์รู้เป็นอันขาด ช่วงนี้ให้เพิ่มกำลังคนเข้าไป เพื่อตามคุ้มครองความปลอดภัยของหนิงเอ๋อร์กับหยวนเป่า ”
“ขอรับ นายท่าน ”
หรูอวี้หันหลังจากไป โม่เยว่ก็รีบเดินตามพวกหยุนหว่านหนิงไปทันที
……….
ท้องฟ้า ค่อย ๆ มืดลงอย่างเงียบงัน
ณ.จวนอ๋องฉู่
โม่หุยเหยียนเดินไปมาอย่างกระวนกระวาย “ทำไมถึงเป็นอย่างนี้นะ? ผ่านไปตั้งสองชั่วยามแล้ว ทำไมอาซุ่นถึงยังไม่กลับมาสักที?”
หนานกงเยว่นั่งปักผ้าอยู่อีกด้าน
เห็นเพียงเขามีสีหน้าเคร่งเครียดกังวล ซึ่งแตกต่างจากรูปลักษณ์ของท่านชายผู้อ่อนโยนงามพิสุทธิ์ดุจดั่งหยกในยามปกติของเขาอย่างสิ้นเชิง
มือของนางสั่น ปลายเข็มแหลมทิ่มเข้าที่นิ้วของนาง
สิบนิ้วคนเราเชื่อมต่อกับหัวใจ นางเจ็บจนต้องรีบวางเข็มกับด้ายลง ดูดซับเลือดที่ไหลจากปลายนิ้ว “ท่านอ๋องอย่าได้ร้อนใจไป อาซุ่นเชี่ยวชาญในการสะกดรอยตามและซ่อนตัวเป็นที่สุด”
“คิดว่าคงจะไม่มีเรื่องร้ายอะไรเกิดขึ้นหรอก”
“ข้าก็แค่กังวลใจ”
โม่หุยเหยียนหันขวับกลับมามองนาง “คนคนนี้ คือเจ้าเจ็ดเชียวนะ!”
“เจ้าเองก็รู้ดี ว่าใครที่เป็นศัตรูกับเจ้าเจ็ด ไม่เคยมีจุดจบที่ดีเลยสักราย”
เขากัดฟันกรอด ในแววตาตื่นตระหนกจนไม่รู้ว่าควรมองไปทางไหน “ตอนนี้คนที่เอาชนะใจเสด็จพ่อได้มากที่สุด ก็คือเจ้าเจ็ด”
แน่นอนว่าหนานกงเยว่ย่อมรู้ดี ว่าโม่เยว่สองสามีภรรยาล้วนมีใจเดียวกัน
ลูกสะใภ้ที่โม่จงหรานรักใคร่เอ็นดูที่สุด ก็คือหยุนหว่านหนิง แล้วผู้หญิงคนนี้ก็ไม่ธรรมดาเลย….. ถ้าใครที่คิดตั้งตัวเป็นศัตรูกับพวกเขา แน่นอนว่าสุดท้ายต้องไม่มีผลดีตามมาแน่
“แต่ท่านอ๋อง หม่อมฉันก็เคยโน้มน้าวท่านไปแล้วนะ”
หนานกงเยว่ยืนขึ้นด้วยท่าทางจนใจ “ว่าเรื่องของจวนอ๋องหมิงนั่น พวกเราไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว ท่านก็เอาแต่ดื้อรั้นไม่ยอมฟัง”
คราวนี้ไปยั่วโมโหโม่เยว่เข้าจนได้ สมใจแล้วล่ะสิ??
รู้จักร้อนอกร้อนใจแล้วล่ะสิ?
“เจ้าพูดเบา ๆ หน่อยสิ! แต่วันนี้เจ้าก็เองเห็นแล้วนี่ ว่าเจ้าเจ็ดปกป้องเด็กคนนั้นมากแค่ไหน!”
โม่หุยเหยียนลองครุ่นคิดอย่างละเอียดรอบคอบอีกครั้ง “แม้ว่าข้าจะไม่เห็นหน้าตาของเด็กคนนั้น แต่อาศัยเรื่องที่เจ้าเจ็ดปกป้องเขาขนาดนั้น มันก็….”
ก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นแล้วว่า เรื่องนี้จะต้องไม่ง่ายดายอย่างที่คิดแน่ ๆ!
“ตัวตนของเด็กคนนี้ จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน!”
“แต่หยิงหยิงไม่ได้บอกแล้วหรอกรึ? ว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกบุญธรรมของหนิงเอ๋อร์น่ะ?”
หนานกงเยว่พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ลูกบุญธรรม?”
โม่หุยเหยียนแค่นยิ้มเย็นชา “เกรงว่าคงจะมีแค่สองผัวเมียจวนอ๋องฮั่นเท่านั้นแหล่ะที่เชื่อ พวกนั้นถูกหลอกง่ายจะตาย!”
“หยุนหว่านหนิงถูกสั่งกักบริเวณอยู่ในจวนอ๋องหมิงสี่ปี จะไปรับลูกบุญธรรมจากที่ไหนได้ล่ะ?!”
สีหน้าของหนานกงเยว่ค่อย ๆ เปลี่ยนไปทีละน้อย “ท่านอ๋อง ความหมายของท่านคือ?”