อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 343 จุดเริ่มต้นของความเป็นปรปักษ์ของอ๋องฉู่
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 343 จุดเริ่มต้นของความเป็นปรปักษ์ของอ๋องฉู่
“นี่มันเป็นไปไม่ได้!”
ไม่รอให้โม่หุยเหยียนพูดจบ ฮองเฮาจ้าวก็ยืดหลังขึ้นนั่งตัวตรง แล้วจ้องเขม็งมาที่เขาแบบตาไม่กระพริบ “นี่มันเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!”
“เสด็จแม่ สิ่งที่ลูกพูดมาล้วนเป็นความจริงนะพ่ะย่ะค่ะ!”
เมื่อเห็นว่าฮองเฮาจ้าวไม่เชื่อ โม่หุยเหยียนก็พูดขึ้นอย่างร้อนใจ
“แต่เจ้าก็ไม่ได้เห็นหน้าตาของเด็กคนนั้น ไม่ใช่รึ?”
แววตาของฮองเฮาจ้าวพลันมืดทะมึน
นางลุกขึ้นยืนช้า ๆ แล้วเดินตรงไปยังหน้าต่างที่เปิดระบายอากาศอยู่
เมื่อมองไปที่สภาพอากาศที่มืดครึ้มข้างนอก สีหน้าของนางดูมืดมนยิ่งกว่าท้องฟ้าเสียอีก
“หยุนหว่านหนิงกับเจ้าเจ็ดแต่งงานกันมาห้าปีกว่าได้ ระหว่างนั้นนางถูกเจ้าเจ็ดกักบริเวณให้อยู่แต่ในจวนราวสี่ปีกว่า เจ้าเจ็ดเกลียดนางเข้ากระดูกดำ สองคนนั้นจะมีลูกด้วยกันได้อย่างไร?!”
เรื่องที่ว่าโม่เยว่เกลียดหยุนหว่านหนิงมากขนาดไหน ฮองเฮาจ้าวเองก็รู้ดี
“เสด็จแม่ เด็กคนนั้นไม่แน่หรอกว่าจะต้องเป็นลูกของหยุนหว่านหนิงกับเจ้าเจ็ด”
โม่หุยเหยียนแทบจะอดรนทนรอไม่ไหว อยากพูดสิ่งที่ตัวเองวิเคราะห์ไว้ออกมาจะแย่ “ลูกคิดว่า มีความเป็นไปได้มากที่เด็กคนนั้น จะเป็นลูกนอกสมรสของเจ้าเจ็ด!”
“ลูกนอกสมรส?”
ฮองเฮาจ้าวขมวดคิ้วนิ่วหน้า
นางเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจู่ ๆ ก็แค่นเสียงหัวเราะเย้ยหยันขึ้นมา “ลูกนอกสมรสแล้วอย่างไรล่ะ? ต่อให้เป็นลูกนอกสมรสของเจ้าเจ็ดจริง ถึงอย่างไรก็ไม่มีเกียรติ ไม่มีศักดิ์ศรีพอจะยกขึ้นมาเชิดหน้าชูตาได้อยู่ดี!”
ในราชวงศ์นั้น มีความแตกต่างในเรื่องของการนับยศถาบรรดาศักดิ์ ซึ่งต้องให้ความเคารพว่าใครสูงกว่าหรือด้อยกว่า ขอบเขตนี้มีความชัดเจนกว่าครอบครัวของคนธรรมดาทั่วไปมาก
ยกตัวอย่างเช่น ในหมู่พี่น้องของโม่หุยเหยียน คนแรกที่ได้รับพระราชทานชั้นยศคือโม่หุยเหยียนและโม่หุยเฟิง
ส่วนพวกพี่น้องของโม่เยว่ จะได้รับพระราชทานชั้นยศหลังจากผ่านพิธีสวมกวาน(ถึงวัยสวมมงกุฎ ในสมัยโบราณจีน ชายอายุครบ 20 ปี จะมีพิธีสวมมงกุฎ เป็นสัญลักษณ์เติบโตเป็นผู้ใหญ่)แล้ว
สีหน้าของฮองเฮาจ้าวแฝงแววเหยียดหยาม “ในแง่ของครอบครัวคนธรรมดา เจ้าเจ็ดก็เป็นแค่ลูกเมียน้อยคนหนึ่งเท่านั้นแหล่ะ”
“ตอนนี้เขามีลูกนอกสมรส…..”
นางหัวเราะหยามหยัน “ฝ่าบาทไม่มีทางเห็นเด็กนั่นในสายตาแน่”
แม้จะพูดอย่างนั้น แต่สีหน้าของโม่หุยเหยียนก็ยังดูกระสับกระส่ายไม่สบายใจนัก “แต่เสด็จแม่ ข้ากับน้องสามต่างก็มีแค่ลูกสาวกันทั้งนั้น ไม่ว่าเด็กคนนี้จะเป็นลูกนอกสมรส หรือว่าเป็นลูกบุญธรรมของหยุนหว่านหนิงจริง ๆ”
“เจ้าเจ็ดก็รักใคร่เอ็นดูเด็กคนนั้นมาก!”
เมื่อคิดถึงตอนที่โม่เยว่ออกหน้าปกป้องเด็กคนนั้นเมื่อวาน…..
โม่หุยเหยียนพลันรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาในภายหลังไม่หาย “เพราะท่านไม่ได้เห็นน่ะสิ ว่าเจ้าเจ็ดปกป้องเด็กคนนั้นมากแค่ไหน!”
แววตาของฮองเฮาจ้าวกะพริบน้อย ๆ “เรื่องนี้อย่าได้รีบร้อน อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น”
แต่นางไม่รู้ว่า เมื่อวานนี้โม่หุยเหยียนส่งคนไปสะกดรอยตามพวกหยวนเป่า แล้ววันนี้หนานกงเยว่ก็พาโม่จือหยุนไปที่จวนอ๋องหมิง เพื่อตั้งใจจะหยั่งเชิงหยุนหว่านหนิง…..
เรียกได้ว่าแหวกหญ้าจนงูตื่นไปถึงไหนต่อไหนแล้ว!
ในวันปกติ หยุนหว่านหนิงจะดูเป็นคนเรื่อย ๆ เฉื่อย ๆ
แต่ถ้ามีเรื่องอะไรที่เกี่ยวข้องกับหยวนเป่า นางจะระแวดระวังยิ่งเหนือสิ่งอื่นใด!
โม่หุยเหยียนเหงื่อแตกเต็มหน้า เขาไม่กล้าพูดออกมาหรอก ว่าเขาไปหยั่งเชิงหยุนหว่านหนิงมาแล้วเรียบร้อย จึงทำได้แค่พยักหน้ารับ “แต่เสด็จแม่ เรื่องนี้ไม่ว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นอย่างไร เราก็ต้องคิดหามาตรการรับมือเอาไว้ก่อน!”
ตอนนี้คนที่เสด็จพ่อโปรดปรานที่สุด ก็คือเจ้าเจ็ดกับหยุนหว่านหนิง
เขากับโม่หุยเฟิงต่างก็ไม่ได้เรื่อง ให้กำเนิดได้แค่ลูกสาว
ถ้าเกิดว่าเด็กคนนั้น เป็นลูกของโม่เยว่กับหยุนหว่านหนิงจริง ๆ ล่ะก็…..
โม่หุยเหยียนไม่กล้าแม้แต่จะคิดต่อด้วยซ้ำ
“ข้ารู้แล้ว”
ฮองเฮาจ้าวชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง “ข้าจะรีบไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท ระยะนี้ เจ้าก็คอยจับตาดูทางจวนอ๋องหมิงให้ดีด้วยล่ะ”
“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่”
โม่หุยเหยียนรีบพยักหน้ารับ
“นอกจากนี้……”
ฮองเฮาจ้าวหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินกลับไปนั่งลงบนเก้าอี้กุ้ยเฟย
หลังจากครุ่นคิดไปมา สุดท้ายก็ผ่อนคลายน้ำเสียงที่พูดให้อ่อนโยนลง “เหยียนเอ๋อร์ ไม่ใช่ว่าข้าเย็นชาต่อเจ้าหรอกนะ เจ้ามีฐานะเป็นถึงองค์ชายใหญ่ ข้าจึงต้องเข้มงวดกับเจ้าให้มากกว่าคนอื่น!”
“ตอนนี้สถานการณ์ของพวกเราแม่ลูก เจ้าเองก็คงเข้าใจดีแล้ว”
“เสด็จพ่อของเจ้าไม่เห็นความสำคัญในตัวเจ้า ทางตงจวิ้นก็ไม่มีการติดต่อไปมาหาสู่ ข้าเสียอำนาจในการปกครองหกตำหนักไปแล้ว เฟิงเอ๋อร์ไม่เพียงถูกลิดรอนฐานันดรศักดิ์เท่านั้น แต่ยังถูกสั่งกักบริเวณให้อยู่แต่ในจวนอีกด้วย ตอนนี้เขาสูญเสียทั้งค่ายห้ากองพล ทั้งความไว้วางใจจากเสด็จพ่อของเจ้าไปจนหมดสิ้นแล้ว”
พอพูดถึงเรื่องพวกนี้ขึ้นมา ฮองเฮาจ้าวก็ได้แต่รู้สึกทดท้อห่อเหี่ยวใจ
นางถอนหายใจแผ่ว ๆ “ตอนนี้พวกเราแม่ลูก ถ้าคิดจะหาทางพลิกตัวกลับมาผงาดอีกครั้ง ก็เหลือแค่ต้องพึ่งพาเจ้าเท่านั้นแล้วล่ะนะ!”
คำพูดเหล่านี้ โม่หุยเหยียนได้ยินจนหูของเขาด้านชาไปหมดแล้ว
เข้าฟังแบบเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา แต่ท่าทางกลับดูอ่อนน้อมเชื่อฟังดีมาก “ลูกเข้าใจแล้ว เสด็จแม่โปรดวางใจได้”
“เหยียนเอ๋อร์ เจ้าเป็นคนที่ขี้ใจอ่อนเกินไป ไม่เหมาะกับการขึ้นเป็นฮ่องเต้! ตอนนี้ค่ายห้ากองพลอยู่ในความดูแลของเจ้ากับเจ้ารอง เท่าที่ข้ารู้มา เจ้ารองก็ถูกสั่งกักบริเวณให้อยู่แต่ในจวนอ๋องฮั่นแล้วเช่นกัน เรื่องค่ายห้ากองพลนี้……เจ้าต้องคว้าเอาไว้ให้มั่นนะ!”
ประกายความโหดเหี้ยมอำมหิตฉายวาบขึ้นในดวงตาของฮองเฮาจ้าว “ในเวลาที่จำเป็น ควรต้องสร้างบารมีเช่นไร คงไม่ต้องให้ข้าสอนเจ้าอีกหรอกนะ!”
สีหน้าของโม่หุยเหยียนพลันตื่นตระหนก แต่สุดท้ายเขาก็ตอบรับ
เขาทำความเคารพก่อนจะถอยออกไป
เพิ่งจะออกจากตำหนักคุนหนิง ก็ได้เจอกับคนที่เขาไม่อยากเจอที่สุดเข้าจนได้ —— หยุนหว่านหนิง
เมื่อครู่โม่หุยเหยียนเพิ่งจะไปที่ตำหนักคุนหนิง เดิมก็เพื่อจะไปฟ้องฮองเฮาจ้าว รวมถึงหารือเรื่องของหยวนเป่าพอดี
ใครจะไปคิดล่ะว่าเพิ่งจะออกมา ก็จะได้เจอหยุนหว่านหนิงเข้า? !
นี่มันจริง ๆ เลย….
โลกมันช่างกลมเสียจริง ศัตรูคู่อาฆาตที่ไม่ปรารถนาจะพบ ก็มีอันต้องได้มาพบกันจนได้สิน่า!
เขาหันหลังแล้วเดินจากไป
ใครจะรู้ว่าเพิ่งจะหันหลัง เสียงของหยุนหว่านหนิงก็ดังแว่วมาจากด้านหลังแล้ว “โย่ว! นี่ไม่ใช่อ๋องฉู่หรอกรึ? ช่างบังเอิญเสียจริง เมื่อวานนี้ก็เพิ่งจะบังเอิญได้พบกัน พอวันนี้ก็ได้พบกันอีกแล้ว”
โม่หุยเหยียนถึงกับต้องชะงักฝีเท้า คิ้วขมวดแน่นขึ้นมาจนเป็นปม
จนใจแล้ว นางถึงกับเป็นฝ่ายเริ่มทักทายก่อนเลยด้วย…..
เขาจึงทำได้แค่ปรับสีหน้าอารมณ์ตัวเองให้ดูดี “ที่แท้ก็คือหว่านหนิงนี่เอง”
“นี่เจ้าไปไหนมาหรือ?”
“ข้ามาส่งพี่หญิงห้ากลับตำหนักฉางเล่อ”
หยุนหว่านหนิงเดินเข้าไปหาด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า “แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะบังเอิญได้เจออ๋องฉู่ที่นี่ นี่อ๋องฉู่ไม่ได้ไปพบเสด็จพ่อหรอกหรือ? ไปพบเสด็จแม่สินะ?”
นางหันไปมองตำหนักคุนหนิงซึ่งอยู่ไม่ไกล ในรอยยิ้มแฝงความลึกซึ้งขึ้นมาหลายส่วน
เคยได้ยินมานานแล้วว่า โม่หุยเหยียนเป็นคนขี้ขลาด
ซึ่งแตกต่างจากคนโหดเหี้ยมอย่างโม่หุยเฟิง โม่หุยเหยียนน่ะรึ…..
ก็แค่ลูกแหง่ติดแม่คนนึงเท่านั้นแหล่ะ!
ไม่ว่าฮองเฮาจ้าวพูดอะไร เขาก็จะเชื่อฟังและทำตามทุกอย่าง
“ใช่”
หน้าผากของโม่หุยเหยียนเริ่มมีเหงื่อไหลหยดลงมาแล้ว แต่ยังพยายามฝืนคงรอยยิ้มบนใบหน้า “พอดีมีเรื่องบางอย่างต้องปรึกษากับเสด็จแม่ ดังนั้นจึงไปตำหนักคุนหนิง”
“อ๋อ ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง!”
หยุนหว่านหนิงไม่มีอะไรจะพูดกับเขา
นางแค่เหลือบตามองไปทางตำหนักคุนหนิงแวบหนึ่ง พยักหน้าอย่างสุภาพ “ไม่รบกวนอ๋องฉู่แล้ว ขอตัวล่ะ”
เมื่อเห็นว่านางยอมจากไปง่าย ๆ แบบนี้ โม่หุยเหยียนก็ยังไม่อยากจะเชื่อ
ผู้หญิงคนนี้ ยอมจากไปง่าย ๆ อย่างนี้เลยรึ?!
ระหว่างที่กำลังคิด หยุนหว่านหนิงที่เพิ่งเดินจากไปเมื่อครู่ ก็ย้อนกลับมาอีก!
เขารู้อยู่แล้วล่ะ ว่าผู้หญิงคนนี้ไม่มีทางยอมจากไปง่าย ๆ แน่!
เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ ได้ยินนางพูดขึ้นอีกครั้งว่า “จริงสิอ๋องฉู่ ตอนนี้อ๋องฮั่นก็ถูกเสด็จพ่อสั่งกักบริเวณแล้วเช่นกัน ตอนนี้ทางค่ายห้ากองพล คงมีเพียงเจ้าคนเดียวที่ดูแลอยู่สินะ?”
“วังหลังไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง”
โม่หุยเหยียนพยายามหลับหูหลับตาสรุปตามความเข้าใจของตน เพื่อให้เรื่องมันผ่านพ้นไป
“ข้าก็ไม่ใช่คนในวังหลังเสียหน่อย”
หยุนหว่านหนิงมองเขาอย่างขบขัน “ข้าก็แค่อยากจะเตือนอ๋องฉู่ไว้สักเรื่องหนึ่ง”
“แม้ว่าอ๋องฮั่นจะถูกสั่งกักบริเวณก็จริง แต่เสด็จพ่อก็ไม่ได้ริบอำนาจในมือของเขาคืนไป หากอ๋องฉู่คิดจะฉวยโอกาสนี้เพื่อทำเรื่องอะไรสักอย่าง ข้าเกรงว่ามันอาจจะได้ไม่คุ้มเสียนะ!”
ผู้หญิงคนนี้รู้อวิชาหรืออย่างไรกัน?
ทำไมนางถึงเดาได้ว่าเขาคิดจะทำอะไร? !
“นอกจากนี้ ไม่ใช่ว่าข้าคิดจะหว่านความบาดหมางระหว่างพวกเจ้าพี่น้องหรอกนะ”
หยุนหว่านหนิงยกสองแขนขึ้นกอดอก “ค่ายห้ากองพลนี้ เดิมทีก็เป็นของอ๋องสาม!”
“หากว่าอ๋องฉู่ได้ค่ายห้ากองพลมาไว้ในมือ น่ากลัวว่าสุดท้ายคงจะเป็นได้แค่การทำชุดแต่งงานให้คนอื่นแล้วล่ะ*!” (เป็นคำอุปมาว่าตัวเองทุ่มเททำงานแทบตาย แต่ผลสำเร็จกลับเป็นของคนอื่น)
“ที่ข้าจะพูดก็มีแค่นี้แหล่ะ ขอตัวล่ะ”
ครั้งนี้ นางเดินจากไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมามองอีกเลย
แต่สิ่งที่นางพูดเมื่อครู่ กลับเป็นเหมือนรอยประทับรอยหนึ่ง ที่ประทับแน่นติดตรึงอยู่ภายในใจของโม่หุยเหยียน!
ทำชุดแต่งงานให้คนอื่น?
คนอื่นที่ว่านี้คือใคร ส่วนชุดแต่งงานที่ว่าคืออะไร….. ทำไมโม่หุยเหยียนจะคิดไม่ออก?!
เมื่อนึกถึงความรักใคร่เอ็นดูที่ฮองเฮาจ้าวมีต่อโม่หุยเฟิงมาตลอดหลายปี โม่หุยเหยียนก็กัดริมฝีปากตัวเอง สองมือกำแน่น จนเส้นเลือดที่หลังมือปูดโปนขึ้นมา!
เขาคือโม่หุยเหยียน องค์ชายใหญ่ที่เกิดจากฮองเฮาอย่างถูกต้อง!
ต่อให้เสด็จพ่อคิดจะสถาปนารัชทายาท ก็สมควรเป็นเขาคนนี้ โม่หุยเหยียน!
ทุกสิ่งที่อยู่ในมือของเขา ไม่ว่าใครก็อย่าได้คิดจะมาแย่งชิงไปเด็ดขาด!