อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 348 หนานกงเยว่มีข่าวน่ายินดี
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 348 หนานกงเยว่มีข่าวน่ายินดี
เมื่อเห็นว่าฮองเฮาจ้าวเป็นลมไปแล้ว โม่จงหรานก็หันหลังเดินจากไป “หว่านหนิง อีกครู่เจ้ามาที่ห้องทรงพระอักษรด้วย! ข้ามีเรื่องจะถามเจ้าเกี่ยวกับอาการป่วยของฮองเฮา”
“เพคะ เสด็จพ่อ”
หยุนหว่านหนิงรับคำอย่างเชื่อฟัง
หลังจากที่ทุกคนน้อมส่งโม่จงหรานจากไปแล้ว หยุนหว่านหนิงก็ลุกขึ้นยืน
เมื่อสัมผัสได้ว่ามีสายตาที่แข็งกร้าวจ้องมองตัวเองมาจากด้านหลัง….. หยุนหว่านหนิงก็หันหน้ากลับไปมองทันที จึงได้ประสานสายตาเข้ากับหนานกงเยว่อย่างพอดิบพอดี
คิดไม่ถึงว่าจู่ ๆ นางจะหันหน้ากลับมาอย่างกะทันหัน ดวงตาของหนานกงเยว่พลันหดเกร็ง
นางรีบเบนสายตาออกไปที่อื่นอย่างลุกลี้ลุกลน
หยุนหว่านหนิงแค่นยิ้มเย้ยหยันในใจ
หนานกงเยว่คนนี้ เมื่อก่อนดูแล้วทั้งอ่อนโยนใจกว้าง ทั้งมีความรู้มีเหตุผล เดิมทีคิดว่านางเป็นคนที่ดีมาก ๆ คนหนึ่ง ใครจะรู้ว่าแท้จริงแล้วที่นางเข้ามาสนิทชิดใกล้ตน ก็เพราะมีจุดประสงค์แอบแฝงตั้งแต่แรกแล้ว!
แต่คิด ๆ แล้วมันก็จริงอยู่
หนานกงเยว่เป็นองค์หญิงตงจวิ้น
นางต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง แต่งงานมาอยู่หนานจวิ้น ถ้านางไม่มีกลเม็ดเด็ดพรายอะไรบ้าง จะมีหนทางหยั่งรากสร้างฐานให้ตัวเองในหนานจวิ้นอย่างมั่นคงได้ยังไงล่ะ?
หนานกงเยว่คนนี้นี่แหล่ะ ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นพวกที่ไม่อาจตัดสินได้จากรูปร่างหน้าตาของจริง!
ริมฝีปากของหยุนหว่านหนิงวาดโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม “พี่สะใภ้ใหญ่ เมื่อไม่กี่วันก่อน ข้าเพิ่งได้งานผ้าปักสองด้านดี ๆ มาหลายชิ้น ไม่สู้วันพรุ่งนี้พี่สะใภ้ใหญ่ลองแวะมาดูสักหน่อย พวกเราจะได้ช่วยกันร่วมศึกษาวิจัย ดีหรือไม่?”
หนานกงเยว่ร้อนตัว พยายามฝืนยิ้ม “เกรงว่าช่วงนี้ข้าจะไม่ว่างน่ะสิ…..”
รอยยิ้มของนางดูซีดเซียวเล็กน้อย
“อย่างนั้นรึ? หรือไม่วันพรุ่งนี้ข้าเอางานผ้าปักสองด้านไปที่จวนอ๋องฉู่ ให้พี่สะใภ้ใหญ่ได้ดูเองเลยดีกว่าหรือไม่?”
หยุนหว่านหนิงถามอีกครั้ง
“ข้า… ข้า……”
ภายใต้ความวิตกเคร่งเครียด หนานกงเยว่ถึงกับตาเหลือก แล้วสลบไปอีกคน!
ยังดีที่โจวหยิงหยิงตาดีมือไว รีบยื่นมือออกไปประคองนางไว้ได้ทันท่วงที จึงช่วยป้องกันไม่ให้หนานกงเยว่ล้มลงไปฟาดกับพื้นตรง ๆ ได้
เมื่อรู้สึกได้ถึงบรรยากาศอันแปลกประหลาดระหว่างพวกนางทั้งสอง โจวหยิงหยิงก็เหลือบมองนางอย่างสงสัย “หนิงเอ๋อร์ พี่สะใภ้ใหญ่อยู่ดี ๆ ทำไมถึงเป็นลมไปได้ล่ะ?”
ไม่ว่าปฏิกิริยาของนางจะช้าแค่ไหน เมื่อครู่นี้นางก็สังเกตเห็นแล้วว่า ท่าทีของหยุนว่านหนิงที่มีต่อหนานกงเยว่ดูก้าวร้าวกดดันมากขนาดไหน
ในความทรงจำของนาง หยุนหว่านหนิงไม่ใช่คนแบบนั้นนี่!
พวกนางสามศรีพี่น้องสะใภ้ ถือได้ว่ามีความสัมพันธ์ต่อกันไม่เลวเลยไม่ใช่รึ?
ทำไมจู่ ๆ นางถึงแสดงท่าทีแบบนี้กับหนานกงเยว่ล่ะ…..
ฉินซื่อเสวียรีบแค่นยิ้มเย้ยหยันทันที “พระชายาหมิงช่างน่าทึ่งเสียจริงนะ! อึดใจก่อนหน้าทำให้เสด็จแม่โกรธจนเป็นลม อึดใจต่อมาก็ทำให้พี่สะใภ้ใหญ่โกรธจนเป็นลมไปอีกคน”
“ช่างเป็นยอดฝีมือเสียจริง!”
“แล้วมันทำไมรึ?”
หยุนหว่านหนิงมองนางอย่างขบขัน
โม่จงหรานไม่อยู่ ฮองเฮาจ้าวหมดสติไปยังไม่ฟื้น
ตอนนี้ มีแค่พวกนางพี่น้องสะใภ้สามสี่คนที่ยังยืนอยู่ในตำหนัก
“เพราะฉะนั้นเจ้าถึงได้ทำตัวยโสโอหัง! เที่ยววางอำนาจบาตรใหญ่ในวัง ไม่เห็นใครอยู่ในสายตาแม้แต่คนเดียว”
ใบหน้าของฉินซื่อเสวียหดเกร็ง “คนที่เจ้าคิดจะจัดการเป็นรายต่อไปคือใครล่ะ? ข้ารึ?!”
“พระชายาอ๋องสามช่างรู้ตัวเองดีจริง ๆ นะ! รู้เสียด้วยว่าคนต่อไปที่ข้าคิดจะจัดการก็คือเจ้า เพราะฉะนั้นข้าจะเตือนเจ้าไว้สักประโยคก็แล้วกัน ว่าให้ระวังตัวไว้ให้ดี ๆ ล่ะ! ข้าคนนี้น่ะ เป็นพวกจดจำความแค้นแบบขั้นสุดยอดเลยล่ะ ดังนั้นถ้าข้าลงมือเมื่อไหร่ ย่อมไม่ไว้ไมตรีแน่ ”
หยุนหว่านหนิงโน้มตัวเข้ามาใกล้ ยกยิ้มเล็กน้อย
ฉินซื่อเสวียถูกทำให้ตกใจจนถึงกับก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว รีบถอนสายตากลับ “หยุนหว่านหนิง เจ้าอย่าบังอาจให้มากเกินไปนัก!”
“ข้าบังอาจแล้วจะทำไมล่ะ? เจ้าจะกัดข้ารึ?”
เมื่อเห็นว่าหยุนหว่านหนิงดื้อด้าน ไม่ว่าจะใช้ไม้อ่อนหรือไม้แข็งก็ไม่ได้ผล ฉินซื่อเสวียก็นึกโกรธเกลียดเคียดแค้นแทบตาย
นางยื่นมือไปคว้าตัวหยุนธิงหลานมายืนตรงหน้า “ชายารองหยุน เจ้ากับข้าถือว่าอยู่บ้านเดียวกัน! ข้าถูกทำให้อับอายขายหน้าถึงขนาดนี้ ทำไมเจ้ายังไม่รีบออกหน้ามาช่วยอีก?!”
“ทำไมรึ? เจ้าอยากให้ชายารองหยุนได้รับความอับอายขายหน้าไปพร้อม ๆ กับเจ้าอย่างนั้นสินะ?”
หยุนหว่านหนิงเลิกคิ้วขึ้น “ทำไมเจ้าไม่ส่งคนไปเชิญท่านอ๋องของเจ้าเข้าวังมา พวกเจ้าสามคนผัวเมียจะได้รับความอับอายขายหน้าไปพร้อม ๆ กันเสียเลยล่ะ?”
ฉินซื่อเสวียถูกทำให้โกรธจนแผดร้องเสียงแหลมขึ้นมา “หยุนหว่านหนิง เจ้าจะรังแกกันมากเกินไปแล้วนะ!”
หยุนธิงหลานแอบย่นคอเงียบ ๆ ถอยหลังไปหนึ่งก้าวไม่กล้าเดินขึ้นไปข้างหน้า “พระชายา ถ้าท่านอยากปะทะก็ขึ้นไปปะทะเองเถอะ ข้าไม่กล้าหรอก”
นางรู้มานานแล้วว่าหยุนหว่านหนิงร้ายกาจขนาดไหน แล้วจะหาเรื่องใส่ตัวไปทำไมล่ะ!
ไม่เหมือนกับฉินซื่อเสวีย นางก็แค่แมลงสาบที่ตีเท่าไหร่ก็ไม่ตายเท่านั้นแหล่ะ
รู้ ๆ อยู่ว่าทำอะไรหยุนหว่านหนิงไม่ได้ ก็ยังเฝ้ายั่วยุนางทุกที่ที่เจอตลอด
หยุนหว่านหนิงยักไหล่ เหลือบมองพวกนางสองคนด้วยสายตาดูถูก
สายตานั้น เกือบจะส่งวิญญาณฉินซื่อเสวียออกจากร่างไปแล้ว….
โจวหยิงหยิงก้าวขึ้นมาพยายามจะผ่อนคลายบรรยากาศ “หนิงเอ๋อร์ ช่างเถอะ! ที่นี่คือตำหนักคุนหนิง ถ้าพวกเราทำอะไรเอะอะเกินไป แล้วสุดท้ายเรื่องถูกเล่าลือออกไปข้างนอก มันจะฟังดูไม่ดีนะ”
“เจ้าลองตรวจสอบดูก่อนเถอะ ว่าพี่สะใภ้ใหญ่เป็นอะไรไป? ทำไมจู่ ๆ ถึงได้เป็นลมไปแบบนี้ล่ะ?”
เดิมทีหยุนหว่านหนิงคิดว่า หนานกงเยว่คงแค่แกล้งทำเป็นหมดสติไปเท่านั้น
แต่ก็คิดไปถึงเมื่อครู่นี้ ที่สีหน้าของนางดูแล้วไม่ค่อยจะดีนัก…..
นางกับโจวหยิงหยิงช่วยกันหามหนานกงเยว่ไปที่เก้าอี้กุ้ยเฟย แล้วค่อยเริ่มตรวจชีพจรให้
ทันใดนั้น สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
โจวหยิงหยิงรีบถามอย่างรวดเร็วว่า “หนิงเอ๋อร์ พี่สะใภ้ใหญ่เป็นอะไรไปรึ?”
ฉินซื่อเสวียกวาดตามองพวกนางด้วยสีหน้าเหลืออดอย่างเห็นได้ชัด
หยุนหว่านหนิงยืนขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ผ่านไปครู่ใหญ่ค่อยพูดขึ้นว่า “เกรงว่าพวกเราทั้งหลาย จะต้องกล่าวแสดงความยินดีกับพี่สะใภ้ใหญ่แล้วล่ะ”
“ทำไมถึงต้องทำแบบนั้นล่ะ?”
โจวหยิงหยิงคิดเหตุผลไม่ออก
ฉินซื่อเสวียเป็นคนแรกที่มีปฏิกริยาตอบสนอง “พี่สะใภ้ใหญ่มีข่าวดีแล้ว?!”
หยุนหว่านหนิงพยักหน้า “ชีพจรมงคล สองเดือนกว่าแล้ว”
ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกมา หลายคนตรงนั้นก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป!
โจวหยิงหยิงเกาหัวยิก ๆ “ทำไมถึงเป็นอย่างนี้นะ? พี่สะใภ้ใหญ่ก็คลอดลูกเก่งเหลือเกินแล้วกระมัง? คลอดหยุนเอ๋อร์ออกมาคนนึง ตอนนี้ก็ท้องอีกคนนึงแล้ว? ข้าคงเป็นแค่แม่ไก่ที่ไม่ออกไข่สินะเนี่ย? จนป่านนี้ก็ยังไม่เห็นว่าจะคลอดลูกออกมาได้ซักคนเลย”
หยุนหว่านหนิง: “…..มีใครที่จะบรรยายตัวเองแบบเจ้าบ้างเนี่ย?”
“หยุนเอ๋อร์อายุตั้งกี่ขวบแล้ว? พี่สะใภ้ใหญ่จะตั้งครรภ์ตอนนี้ ก็ถือเป็นเรื่องปกติแล้วไม่ใช่รึ?”
พูดถึงคลอดลูกเก่ง…..
ใครจะมีความสามารถในการคลอดมากไปกว่าฉินซื่อเสวียอีกล่ะ?
สี่ปีตั้งท้องสามครั้ง คลอดลูกสาวสองคน แท้งไปหนึ่งคน
ฉินซื่อเสวียมองเห็นสายตาที่แฝงเจตนาล้อเลียนของหยุนหว่านหนิงได้ชัด ชั่วขณะนั้นจึงอายจนทั้งหน้าทั้งหูแดงเถือกขึ้นมาทันที
เหตุผลที่นางเพียรพยายามคลอดลูกให้ได้เยอะ ๆ แบบนี้ ก็ไม่ใช่เพราะนางคิดจะยื้อหัวใจของโม่หุยเฟิงไว้กับนางหรอกหรือ?
ใครจะรู้ล่ะว่าสุดท้ายแล้ว นางก็ยังพ่ายแพ้แบบเละเทะไม่เป็นท่าอยู่ดี!
“พี่สะใภ้ใหญ่กับพระชายาอ๋องสามช่างวาสนาดีกันจริง ๆ เลย!”
หยุนหว่านหนิงถอนหายใจ
มีลูกสาวตั้งหลายคน!
นางรู้สึกอิจฉามากจริง ๆ!
แต่คำพูดนี้พอไปเข้าหูของฉินซื่อเสวียแล้ว กลับไม่ได้ให้ความรู้สึกที่น่ายินดีเลย
นังผู้หญิงต่ำช้าคนนี้ เยาะเย้ยว่านางคลอดได้แค่ลูกสาวอย่างเดียวอีกแล้วสินะ?!
น่าเสียดาย ที่หลังจากแท้งไปร่างกายของนางก็ได้รับบาดเจ็บหนัก จึงไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีกต่อไป เพื่อจะจัดการกับหยุนธิงหลาน นางจึงไม่ลังเลที่จะใช้ยาไปพร้อม ๆ กับนาง ให้พวกนางทั้งคู่ต่างก็ไม่มีโอกาสคลอดลูกได้อีก…..
เมื่อเห็นสีหน้าที่ยากจะคาดเดาของฉินซื่อเสวีย มีหรือที่หยุนหว่านหนิงจะเดาไม่ออก ว่าในใจอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่?
“ก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่า ลูกของพี่สะใภ้ใหญ่ท้องนี้จะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง”
นางยิ้มน้อย ๆ แล้วพูดเหมือนไม่ได้ตั้งใจว่า “ถ้าเป็นเด็กผู้ชายล่ะก็ นั่นจะถือได้ว่าเป็นหลานชายคนแรกของราชวงศ์เชียวนะ!”
“อ๋องฉู่เป็นลูกชายคนโตที่เกิดจากฮองเฮาอย่างถูกต้อง ส่วนพี่สะใภ้ใหญ่ก็เป็นถึงองค์หญิงตงจวิ้น ถ้าสองคนให้กำเนิดหลานชายคนโตของราชวงศ์จริง วันข้างหน้าเรื่องของราชบัลลังก์นี้ …. ใครก็คงไม่กล้าคิดหมายปองทั้งนั้นแล้วล่ะ”
นางรีบยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง ยกยิ้มน้อย ๆ
โจวหยิงหยิงกลับไม่เก็บมาใส่ใจ
แม้ว่านางกับโม่ฮั่นอี่ว์จะอยากจะมีลูกด้วยกัน แต่หลังจากที่พวกเขาพยายามมาหลายปี ก็ยังไม่มีผลลัพธ์ใด ๆ
เรื่องนี้ พวกเขาถึงขั้นยึดถือตามความเชื่อเรื่องบุญธรรมกรรมแต่งในทางพุทธศาสนาไปแล้วเรียบร้อย
โม่ฮั่นอี่ว์เองก็รู้ตัวดี ว่าเขาไม่เคยถูกคาดหวังให้เป็นฮ่องเต้
บัลลังก์ฮ่องเต้นี้ สุดท้ายแล้วจะตกไปอยู่ในมือใครก็ได้ทั้งนั้น ขอแค่โม่หุยเฟิงไม่ได้ในสิ่งที่ปรารถนา….. ตลอดชีวิตที่เหลืออยู่จากนี้ของเขา ทั้งหมดจะถูกใช้เพื่อวางแผนต่อกรกับโม่หุยเฟิงคนเดียวเท่านั้น
หยุนหว่านหนิงเป็น “คนพูดที่ไม่มีเจตนา”ส่วนฉินซื่อเสวียเป็น “คนฟังที่เกิดความตั้งใจแฝงเร้น”
แม้ว่าโม่หุยเหยียนกับโม่หุยเฟิงจะเป็นลูกชายของฮองเฮาจ้าว แต่จุดที่ไม่เหมือนกันคือ คนหนึ่งเป็นลูกชายคนโต ส่วนอีกคนเป็นลูกชายคนที่สอง!
ตอนนี้โม่หุยเฟิงตกต่ำลงอย่างน่าสมเพชเวทนาเป็นที่สุด หากจวนอ๋องฉู่ให้กำเนิดหลานชายคนโตของราชวงศ์ล่ะก็…..
บัลลังก์นี้ จะต้องตกเป็นของโม่หุยเหยียนอย่างแน่นอน!
เช่นนั้นแล้วความฝันที่นางจะได้เป็นฮองเฮา ก็จะต้องมีอันแหลกสลายไปอย่างแน่นอน!
ยิ่งฉินซื่อเสวียคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกใจคอกระสับกระส่ายมากขึ้นเท่านั้น สายตาที่หันไปมองหนานกงเยว่ ก็เริ่มแฝงความมืดมนอึมครึมขึ้นมาหลายส่วน….
ลูกคนนี้ของหนานกงเยว่ จะปล่อยให้คลอดออกมาไม่ได้เด็ดขาด!