อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 365 ท่านรองกู้ปฏิเสธ
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 365 ท่านรองกู้ปฏิเสธ
“หืม”
โม่เยว่ไม่เข้าใจ
หยวนเป่าจึงเตือนเขาด้วยความ ‘หวังดี’ “ท่านลืมอะไรไปหรือไม่”
“อย่างเช่นท่านแม่ของข้าน่ะ”
โม่เยว่ “…”
เขาเข้าใจแล้ว มองเขาทีหนึ่งอย่างจนใจ “ตัวเล็กแผนร้าย”
แต่ด้วยสายตา ‘จ้องเขม็ง’ เขาจึงได้แต่กระแอมกระไอ “ข้าต้องปกป้องเจ้าและแม่ของเจ้าอย่างดีแน่นอน”
เมื่อนั้นหยวนเป่าจึงจะพอใจ
เขาพยักหน้า “นี่ยังค่อยยังชั่ว!”
หยุนหว่านหนิงถูกพวกเขาสองพ่อลูกทำจนหัวเราะ
รถม้าโคลงเคลง ไม่นานหยวนเป่าก็หลับ เขาจับแขนเสื้อของหยุนหว่านหนิงแน่น แม้จะอยู่ในความฝัน ร่างกายน้อยๆ ขดเป็นตัวกลม
หยุนหว่านหนิงทั้งปวดใจ ทั้งเสียใจ
“ข้าสาบาน ต่อไปแม้ข้าจะเหลือลมหายใจเพียงเฮือกเดียว ก็จะไม่ทิ้งลูกชายอีกเด็ดขาด!”
เมื่อก่อนเพราะรู้สึกว่าปกป้องบุตรชายไม่ได้ จึงต้องแยกจากเขาเพื่อความปลอดภัยของเขาเอง
แต่บัดนี้นางตระหนักแล้ว ครอบครัวต้องอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าจึงจะมีความสุข
อันตรายแล้วอย่างไร
นางจะขจัดอันตรายรอบตัวหยวนเป่าไปทีละน้อยจนสิ้น!
แผนร้ายแล้วอย่างไร
นางจะใช้กำลังทั้งหมด คุ้มครองบุตรชายด้วยชีวิต!
เมื่อก่อนนางใจอ่อน แต่ต่อไปเพื่อบุตรชาย…นางจะเปลี่ยนเป็นใจแข็งดั่งหินผา ไม่ว่าใครก็อย่าคิดทำร้ายบุตรชายของนาง อย่าคิดมีแผนชั่วกับบุตรชายของนางแม้แต่นิดเดียว!
โม่เยว่โอบสองแม่ลูกแน่น แสดงท่าทีของตัวเองอย่างไม่สุ้มเสียง
เขาสนับสนุนการตัดสินใจของหยุนหว่านหนิงอย่างเต็มกำลัง!
หยุนหว่านหนิงก้มหน้ามองดวงหน้ายามหลับใหลอันสงบของบุตรชาย แล้วนึกถึงการปรากฏตัวของโม่เฟยเฟยเมื่อครู่
หยุนหว่านหนิงขมวดคิ้วนิดๆ “ท่านอ๋อง ทำไมเฟยเฟยถึงไปตระกูลกู้กับเจ้าได้ล่ะ”
“นางบอกว่าอยากไปรับเจ้ากับหยวนเป่าพร้อมข้า”
“ไม่ถูก”
หยุนหว่านหนิงส่ายหน้า “ปีนี้เฟยเฟยก็อายุครบสิบแปดแล้วกระมัง ก่อนหน้านี้ตอนที่ซีจวิ้นต้องการสู่ของพี่ห้า ข้าเคยได้ยินเสด็จพ่อตรัสมาประโยคหนึ่ง บอกว่าเฟยเฟยก็ควรออกเรือนได้แล้ว”
โม่เยว่ “อืม”
“เสด็จพ่อทรงเคยคิดว่าจะให้เฟยเฟยแต่งกับใครหรือไม่”
“ไม่รู้”
โม่เยว่ส่ายหน้า “เสด็จพ่อไม่ทรงตรัสถึงเรื่องนี้กับข้า หนิงเอ๋อร์ อยู่ดีๆ ทำไมเจ้าจึงพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะ”
“ไม่มีอะไร”
หยุนหว่านหนิงยิ้ม ปกปิดเรื่องในใจ
หากบอกว่าเมื่อก่อนไม่รู้ความคิดของโม่เฟยเฟย
เช่นนั้นในคืนนี้ นางรู้ความคิดของโม่เฟยเฟยที่มีต่อกู้หมิงชัดเจนแล้ว!
นี่จะได้อย่างไร!
คนหนึ่งคือน้องสาวของสามี นาง อีกคนคือน้าแท้ๆ ของนาง!
ถ้าสองคนแต่งงานกันจริง จะไม่ข้ามรุ่นหรือ!
จากสถานการณ์ในวันนี้ เห็นชัดว่าโม่เฟยเฟยชอบกู้หมิงเพียงฝ่ายเดียว…ไม่รู้ว่าท่านลุงความรู้สึกช้า หรือว่าผู้ชายไม่ละเอียดเหมือนผู้หญิงกันแน่
ด้วยเหตุนี้ ทั้งโม่เยว่และกู้หมิงจึงไม่รู้ความคิดของโม่เฟยเฟย
มีเพียงหยุนหว่านหนิงที่รู้สึกถึงความแปลกในตอนที่โม่เฟยเฟยเข้าประตูมา
ไม่รู้ว่านางจะบอกรักกับท่านลุงหรือเปล่าสิน่า
ดูจากท่าทางในคืนนี้ อย่างกับจะมาสารภาพรักกับกู้หมิงอย่างนั้นแหละ
ไม่รู้ว่าท่านลุงจะยอมรับหรือไม่ หรือว่าจะปฏิเสธน้ำใจของนาง
หยุนหว่านหนิงถอนหายใจเงียบๆ
ท่านลุงอายุมากกว่าเฟยเฟยรอบหนึ่ง แถมยังข้ามรุ่น ที่ผ่านมาท่านลุงเป็นผู้ใหญ่สุขุม คงปฏิเสธน้ำใจของแม่นางน้อยอย่างเฟยเฟยกระมัง
แต่หยุนหว่านหนิงก็กลัวว่าโม่เฟยเฟยถูกปฏิเสธ แล้วจะรับความกระทบกระเทือนไม่ได้
จะคิดอย่างไรก็กังวล
เมื่อเห็นหยุนหว่านหนิงเอาแต่ทอดถอนใจ โม่เยว่จึงคิดว่านางกังวลเรื่องความปลอดภัยของหยวนเป่า
เขากระชับวงแขนมากกว่าเดิม “หนิงเอ๋อร์ เจ้าวางใจเถอะ เมื่อก่อนข้าไม่เป็นโล้เป็นพาย แต่ต่อไป เพื่อเจ้ากับลูก ข้าจะพยายามก้าวหน้า”
หากมีแต่การนั่งบัลลังก์มังกรถึงสามารถปกป้องหยวนเป่าได้แล้วไซร้…
เช่นนั้น ต่อให้ต้องห้ำหั่นแย่งชิงกับพี่น้องที่เหลือจนเลือดตกยางออก โม่เยว่ก็ยินดี
หยุนหว่านหนิงมองแสงเย็นกระหายเลือดในดวงตาเขาออก จึงหวั่นไหว
นางกังวลเรื่องนี้ที่ไหนกัน
ถึงเรื่องนี้จะสำคัญในใจนาง แต่ตอนนี้นางกำลังห่วงโม่เฟยเฟยกับกู้หมิง…
น่าเศร้า หัวใจดรุณีของโม่เฟยเฟย คืนนี้คงต้องกลับพร้อมกับความผิดหวังแล้ว
ให้นางจนมุมบ้างก็ดี จะได้ไม่ลุ่มหลงต่อไป
…
จวนตระกูลกู้
โม่เฟยเฟยเข็นกู้หมิงไปเดินเล่นที่ใต้ระเบียง สายลมคืนเหมันต์แม้เย็นยะเยียบ แต่ก็สอดแทรกด้วยกลิ่นบุปผาไม่ทราบนามเล็กน้อย ชื่นอุรา
“ฤดูกาลนี้ยังมีดอกไม้อีกหรือ”
นางสูดดมเบาๆ ถามด้วยความประหลาดใจ
“คงเป็นล่าเหมยด้านหลังกระมัง”
กู้หมิงอธิบายด้วยความอดทน “ล่าเหมยปีนี้บานเร็วอยู่บ้าง ทีแรกท่านพ่อยังนึกว่าเป็นลางอาเพศ บอกจะย้ายล่าเหมยสองสามต้นนั้น”
“อย่างนี้นี่เอง”
โม่เฟยเฟยเงียบงัน
นางควรพูดหรือไม่
ล่าเหมยยังสามารถเบ่งบานก่อนเวลา เช่นนั้นควรฮึดความกล้าเปิดเผยความในใจที่อัดอั้นอยู่เต็มอกของนางหรือไม่
หลังจากใคร่ครวญ นางจึงถามเสียงเบา “ท่านรอง ท่านคงใกล้สามสิบแล้วกระมัง”
“อื่ม ปีนี้เพิ่งยี่สิบแปดเต็ม”
กู้หมิงตอบ
โม่เฟยเฟยพิจารณาอยู่นาน จึงถามหยั่งเชิง “เช่นนั้นทำไมท่านยังไม่มีครอบครัวมีลูกอีกล่ะ ในวัยของท่าน หากเป็นชายอื่น คงมีลูกหลายคนแล้วกระมัง”
กู้หมิงหรือจะฟังการหยั่งเชิงของนางไม่ออกได้ยังไง
อยู่ในจวนนาน แม้เขาจะไม่ชำนาญการคบหาคน แต่กลับเชี่ยวชาญเรื่องการมองใจ
สีหน้าเขายังคงเดิม “สุขภาพข้าไม่ดี ไม่อยากทำให้แม่นางต้องเสียเวลา”
“แต่พี่สะใภ้เจ็ดรักษาท่านหายดีแล้วมิใช่หรือ”
น้ำเสียงโม่เฟยเฟยฟังดูรีบร้อนมากขึ้นบางส่วน
เมื่อรู้สึกได้ว่านางเสียกิริยา จึงกัดฟันเบา ไม่พูดอีก
“ร่างกายรักษาได้ แต่ไข้ใจนั้นยากจะรักษา”
แววตากู้หมิงกะพริบเล็กน้อย
โม่เฟยเฟยไม่เข้าใจ แต่กลับไม่ยอมลดละไปทั้งที่ยังคลุมเครือ จึงถามเขาโดยตรง “ท่านรองมีความในใจอะไรหรือ หรือว่าเคยมีนางในดวงใจ”
กู้หมิงไม่ตอบ
นิ่งงันอยู่นาน โม่เฟยเฟยก็เข้าใจเสียที
นางน่าจะเดาถูกแล้วกระมัง
แต่ไม่รู้ว่าแม่นางบ้านไหนโชคดีอย่างนี้ ถึงกับได้รับความจริงใจจากท่านรองกู้…
นางไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองมีความรู้สึกอย่างไร แต่รู้สึกว่าตัวเองทรมานยิ่งนัก
ราวกับมีคนใช้ช้อนควักดวงใจของนาง หัวใจว่างเปล่า สายลมเย็นสายหนึ่งทะลุผ่าน หนาวจนนางสั่นสะท้าน
กู้หมิงหันไปมองนางแวบหนึ่ง
เห็นนางหน้าซีดอย่างหนัก ริมฝีปากสั่นเครือ…
“องค์หญิงรู้สึกหนาวหรือ”
กู้หมิงถามเสียงนุ่ม “ดึกมากแล้ว ประตูวังก็คงจะลงกลอนแล้ว เชิญองค์หญิงกลับเถอะ”
“ท่านรอง…”
นางไม่ยอม
“ในเมื่อองค์หญิงคือน้องสาวของสามีหนิงเอ๋อร์ ผู้แซ่กู้ก็เรียกตัวเองเป็นผู้ใหญ่ขององค์หญิง ท่านรองอะไรนั่น ล้วนเป็นการให้เกียรติของคนอื่นทั้งนั้น”
เขาหัวเราะ “หากองค์หญิงไม่รังเกียจ ต่อไปก็เรียกผู้แซ่กู้ว่าท่านลุงเหมือนหนิงเอ๋อร์ก็ได้”
เขาปฏิเสธอย่างชัดเจนแล้ว
น้ำตาของโม่เฟยเฟยกลิ้งกลอกอยู่ในกรอบดวงตา
กู้หมิงสีหน้าเป็นปกติ “คืนนี้ท่านอ๋องกล่าวได้ถูกต้อง”
“องค์หญิงรอการออกเรือน ผู้แซ่กู้ก็ยังไม่มีครอบครัว ชายโสดหญิงไร้คู่ จะเสียชื่อเสียงขององค์หญิงได้”
เขาเข็นรถเข็นเอง ออกห่างโม่เฟยเฟยสองฉื่อ แล้วจึงพยักหน้าอย่างอ่อนโยน “ต่อไปหวังว่าองค์หญิงจะคำนึงถึงชื่อเสียงของตัวเอง”
เขาไม่ได้บอกว่ารู้จักครองตน และไม่ได้ห้ามให้โม่เฟยเฟยไม่ต้องมาตระกูลกู้อีก
ปฏิเสธนางพลางใช้น้ำเสียงที่อ่อนโยนที่สุด พูดถ้อยคำที่รักษาหน้านางที่สุด แต่ก็ปฏิเสธอย่างเด็ดขาดที่สุดด้วย
นี่คือท่าทีของกู้หมิง
โม่เฟยเฟยกลั้นไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ปิดหน้าร่ำไห้เสียงเบาแล้วหมุนตัวหนีไป…
กู้หมิงมองเงาร่างอรชรผสานรวมกับสีราตรี อยู่นานก็ไม่ละสายตา
“เฮ้อ”
ไม่รู้ว่าเป็นเสียงถอนหายใจของเขาเบาเกินไป หรือว่าสายลมยามวิกาลพัดผ่าน หอบเสียงถอนหายใจนี้ไปกับม่านราตรี
ค่ำคืนนี้กำหนดไว้แล้วว่าต้องนอนไม่หลับ