อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 393 ฉินซื่อเสวียเป็นบ้าไปแล้ว
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 393 ฉินซื่อเสวียเป็นบ้าไปแล้ว
เมื่อเห็นว่าหงเหลียนยอมรับแล้ว หนานกงเยว่ก็แข้งขาอ่อนยวบ ล้มลงสลบไปอีกครั้ง
ไม่เหลือข้อสงสัยเกี่ยวกับความจริงแล้ว ทั้งหมดเป็นฝีมือของหนานกงเยว่ที่หมายจะใส่ร้ายหยุนหว่านหนิง จึงกระโดดเข้ามากำกับและแสดงละครฉากนี้เองทั้งหมด…..
เต๋อเฟยสีหน้าเขียวคล้ำ คิดจะลุกขึ้นออกหน้าแทนลูกสะใภ้ แต่กลับถูกโม่จงหรานหยุดไว้ “วันนี้เป็นวันเกิดของเจ้า ควรมีความสุขสนุกสนานถึงจะถูก”
“เรื่องแบบนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าจัดการเองก็พอ!”
เขาหันกลับไปสั่งซูปิ่งซ่านสองสามประโยค
ซูปิ่งซ่านเดินเข้าไปหยุดข้าง ๆ โม่หุยเหยียน แล้วพูดบางอย่างกับเขา
เห็นแค่สีหน้าของโม่หุยเหยียนที่ค่อย ๆ ดูน่าเกลียดขึ้นมาทุกขณะ
สุดท้าย เขาก็อุ้มหนานกงเยว่เดินตามหลังซูปิ่งซ่านออกไป
ส่วนหงเหลียน คนที่มีจิตใจชั่วร้ายเช่นนี้ แน่นอนว่าในวังหลวงย่อมไม่อาจเก็บเอาไว้ได้ หลังจากผ่านทัณฑ์โบยไปหนึ่งคำรบ นางก็ถูกโยนออกจากวังไปเลยโดยตรง พ่อแม่ของนางไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ๆ ทำได้แค่พาหงเหลียนที่มีสภาพครึ่งเป็นครึ่งตายกลับไปเงียบ ๆ
หลังจบเรื่อง โม่เยว่ค่อยพาหยุนหว่านหนิงกลับไปนั่งลง
เมื่อเห็นว่านางยังมีท่าทีโกรธอยู่ โม่เยว่จึงพูดปลอบใจนางเบา ๆ ว่า “อย่าโกรธเลยนะ!”
“เสด็จพ่อไม่ได้ช่วยระบายความแค้นแทนเจ้าแล้วหรอกรึ?”
“ข้าไม่ได้โกรธเพราะเรื่องของตัวเอง แต่โกรธที่พวกเขามองว่า หยวนเป่าเป็นเหมือนหนามยอกอกพวกเขาเร็วถึงขนาดนี้เลย! พวกเขาแตะต้องข้า ข้าไม่ว่า ข้ายินดีประมือกับพวกเขาทุกเมื่อ!”
หยุนหว่านหนิงโกรธจนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง “แต่นี่มันเพิ่งผ่านไปแค่เท่าไหร่เอง?”
“หยวนเป่าเพิ่งจะปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนในคืนนี้เอง พวกเขาก็แทบจะอดรนทนรอไม่ไหว อยากจะกำจัดพวกเราสองคนแม่ลูกแล้ว”
“แล้วในอนาคตเรื่องแบบนี้ ยังจะเกิดขึ้นอีกสักเท่าไหร่!”
แตะต้องนางน่ะได้ แต่คิดจะแตะต้องลูกชายของนาง ก้าวข้ามศพนางไปก่อนเถอะ!
โม่เยว่เองก็รู้ดีว่าเรื่องนี้มันร้ายแรงขนาดไหน
เขาจับมือนางเบา ๆ “วางใจเถอะ ขอแค่ข้ายังอยู่ ขอสัญญาว่าจะไม่ปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก!”
เรื่องที่เกิดในคืนนี้ เป็นอะไรที่กะทันหันมากจริง ๆ
แต่เชื่อได้ว่าการที่โม่จงหรานลงมือ “เชือดไก่ให้ลิงดู” คืนนี้ ก็พอจะเดาได้ว่าต่อให้ในอนาคตมีคนที่คิดจะแตะต้องหยวนเป่าอีก ก็คงไม่กล้าทำอะไรแบบโจ่งแจ้งขนาดนี้แล้ว!
อย่างน้อยก็คงจะชั่งน้ำหนักหาผลได้ผลเสียดูก่อน ว่าตัวเองมีโอกาสมากน้อยเท่าไหร่!
……………………….
คืนนั้นหยวนเป่าอยู่ค้างที่ตำหนักหย่งโซ่ว แม้แต่โม่จงหรานก็ยังหน้าระรื่นเดินตามต้อย ๆ ไปด้วย
วันถัดมา
หยุนหว่านหนิงกินอาหารเช้าเสร็จ ก็ตัดสินใจว่าจะไปจวนอ๋องสามสักหน่อย
เมื่อคืนนางฝังเข็มให้ฉินซื่อเสวีย วันนี้เลยคิดว่าจะไปตรวจดูผลสักหน่อย
เพิ่งจะก้าวขาพ้นประตูก็เห็นหรูอวี้กลับมาแล้ว เขาพูดกับนางด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “เมื่อเช้าเหนียงเหนียงส่งคนให้นำเหล่าสาวงามจำนวนหนึ่งไปที่จวนอ๋องฉู่”
“ไม่รู้เหมือนกันว่าเหนียงเหนียงไปหาคนมาจากไหน แต่เหล่าสาวงามนั่นล้วนดูแล้วรู้สึกคล้ายๆ กับหนานกงเยว่อยู่ไม่มากก็น้อย”
“อ๋องฉู่มองจนตาค้าง ส่วนพระชายาฉู่โกรธมากจนเป็นลมไปอีกครั้งเลย”
หยุนหว่านหนิงพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว”
เรื่องนี้นางยังไม่ได้ไปคิดบัญชีกับหนานกงเยว่ แต่เต๋อเฟยกลับเป็นฝ่ายชิงลงมือ ออกหน้าสนับสนุนนางก่อนแล้ว
ในเมื่อเป็นแบบนี้ คงต้องดูไปก่อนว่าหนานกงเยว่จะมีจุดจบอย่างไร พอถึงเวลานั้นแล้วค่อยตัดสินใจอีกที
หรูอวี้ถอยออกไป นางพาหรูเยียนไปที่จวนอ๋องสามพร้อมกัน
ฉินซื่อเสวียตื่นแล้ว ตอนนี้กำลังนอนอยู่บนเตียง สองตาเหม่อลอย
สาวใช้ยืนอยู่นอกประตู ไม่กล้าเข้าไปปรนนิบัติ
“เกิดอะไรขึ้น?”
หยุนหว่านหนิงเห็นสีหน้าตื่นตระหนกของสาวใช้ ภายในห้องยังมีกลิ่นคาวเลือดจาง ๆ สายหนึ่งลอยอบอวลอยู่ นางเดาออกแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้
“พระชายาหมิง”
สาวใช้รีบน้อมทักทาย “พระชายาของข้า พระชายาของข้าดูเหมือนสติรับรู้จะไม่ค่อยถูกต้องนักเจ้าค่ะ….. ”
“บอกมาให้ละเอียดซิ”
“เมื่อคืนนี้พระชายาหมดสติไปไม่ยอมฟื้น แต่เช้านี้กลับตื่นขึ้นมาแต่เช้า แต่ว่า…แต่ว่า กลับเอาแต่คิดสั้นหมายจะฆ่าตัวตาย พวกข้าน้อยตั้งหลายคนพยายามจะหยุดก็หยุดนางไม่ได้เลยเจ้าค่ะ”
สาวใช้อธิบายเสียงสั่น
พยายามคิดจะฆ่าตัวตาย?
หยุนหว่านหนิงแค่นยิ้มเย้ยหยันในใจ “เมื่อคืนนี้ตอนที่อยู่ในอุทยานหลวง นางก็พยายามรนหาที่ตายไปทีหนึ่งแล้วไม่ใช่รึ? ตอนนี้ทำอะไรอีกล่ะ? ทำไมถึงได้พยายามคิดจะฆ่าตัวตายอีก?”
“ข้าน้อยก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ”
สาวใช้ก้มหน้าลงอย่างกระวนกระวาย
หยุนหว่านหนิงไม่พูดอะไรมาก ยกขาขึ้นเดินเข้าไปในห้องทันที
กลิ่นคาวเลือดนี้ ไม่เหมือนว่าเป็นกลิ่นเลือดซึ่งเกิดจากบาดแผลที่หัวของฉินซื่อเสวียเมื่อคืน แต่เป็นเหมือนกลิ่นเลือดสด ๆ มากกว่า
นางเดินเข้าไปใกล้ ๆ จึงเห็นว่าที่ข้างเตียงยังมีรอยเลือดจาง ๆ
ดูเหมือนว่าจะถูกทำความสะอาดไปแล้ว แต่กลิ่นเลือดกลับยังคงอยู่ไม่กระจายหายไป ที่ข้อมือของฉินซื่อเสวียก็มีผ้าพันแผลที่พันอย่างสะเปะสะปะเต็มไปหมด ใบหน้าซีดเซียวจนแทบไม่มีสีเลือด
เมื่อเห็นหยุนหว่านหนิงเดินใกล้เข้ามา นางก็ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใด ๆ
หยุนหว่านหนิงไม่ชอบกลิ่นอะไรแบบนี้เลย
หรูเยียนรีบก้าวขึ้นไปข้างหน้าเพื่อเปิดหน้าต่าง ลมเย็น ๆ พัดโชยเข้ามา
“ฉินซื่อเสวีย เจ้าโง่ไปแล้วรึ?”
หยุนหว่านหนิงยื่นมือออกไป โบก ๆ ตรงหน้าฉินซื่อเสวีย
ตอนนี้เอง ฉินซื่อเสวียถึงค่อย ๆ รู้สึกตัวขึ้นมาเล็กน้อย
ท่าทางขณะที่นางหันหน้ามาดูเชื่องช้าและแข็งทื่อ ดวงตาที่ว่างเปล่าและหมองคล้ำคู่นั้นมองไม่เห็นความมีสติเลยแม้แต่น้อย หลังจากเห็นชัดแล้วว่าหยุนหว่านหนิงเป็นใคร จู่ ๆ นางก็กรีดร้องเสียงแหลม “อ๊า!…..”
ฉินซื่อเสวียถอยหลังไปอย่างรวดเร็วด้วยท่าทางหวาดกลัว แล้วใช้ผ้าห่มคลุมหัวตัวเอง
ทั้งตัวของนางขดอยู่ในผ้าห่ม ตัวสั่นงันงกไม่หยุด
หรูเยียนรู้สึกงงงวยไปหมด “พระชายา นี่พระชายาอ๋องสามเป็นอะไรไปรึ? ไปเห็นผีเข้าแล้วหรืออย่างไร?”
“เจ้าจะบอกว่าข้าเป็นผีงั้นรึ?”
หยุนหว่านหนิงเหลือบตามองนางแวบหนึ่ง ” นางมีแผนการร้ายอยู่ในใจมากกว่า!”
นางหยิบไม้ขนไก่ที่ใช้ปัดฝุ่นจากบนหลังตู้ออกมา สะกิดเบา ๆ ที่ร่างซึ่งยังคงสั่นเทาไม่หยุดของฉินซื่อเสวีย “ฉินซื่อเสวีย อย่ามาแกล้งทำเป็นบ้าตบตาข้าไปหน่อยเลย”
ฉินซื่อเสวียยังคงกรีดร้องไม่หยุด เสียงของนางดังบาดแก้วหูจนหูอื้อไปหมด
หยุนหว่านหนิงถึงกับต้องลูบ ๆ หูตัวเอง แล้วส่งสัญญาณให้หรูเยียนลากตัวนางออกมา
หรูเยียนถลกผ้าห่มเปิดออก ลากตัวฉินซื่อเสวียที่ยังสั่นเทาไม่หยุดออกมา โยนโครมลงไปบนพื้น
“เจ้าเป็นใคร! เจ้าเป็นใคร!”
ฉินซื่อเสวียมองหยุนหว่านหนิงด้วยสีหน้าตื่นตระหนก โบกมือเป็นพัลวัน “อย่าเข้ามาใกล้ข้า ! ข้า ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น ข้าไม่เคยทำอะไรเลย!”
หยุนหว่านหนิงยกมือขึ้นท้าวคาง พลางมองนางอย่างครุ่นคิด
“เจ้าจำข้าไม่ได้แล้วจริง ๆ น่ะรึ?”
ฉินซื่อเสวียเหมือนจะไม่ได้ยินสิ่งที่นางพูด เอาแต่ปิดหูพลางร้องไห้เสียงดังลั่น “ข้ารู้ความผิดแล้ว!”
“ข้าไม่กล้าอีกแล้ว! ข้า ข้ามันเป็นผู้หญิงชั่วช้าหน้าไม่อาย!”
“เพื่อที่จะได้เป็นฮองเฮา จึงทำร้ายคนไปมากมาย! จากนี้ไปข้าไม่กล้าอีกแล้ว! ท่านพญายม ได้โปรดให้โอกาสข้าได้กลับเนื้อกลับตัวสักครั้งเถอะ!”
นางร้องไห้เสียงดังลั่น ทั้งน้ำมูกน้ำตาต่างก็ไหลพรั่งพรูออกมาจนด้วยกันหมด ดูแล้วน่าสมเพชเวทนาเป็นที่สุด
“ดูแล้วเหมือนว่านางจะร้องไห้ออกมาจากใจจริงนะเนี่ย”
หรูเยียนถามด้วยเสียงแผ่วต่ำ “พระชายา สรุปแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับพระชายาอ๋องสามกันแน่?”
“ใครจะไปรู้ล่ะ? อาจจะเป็นเพราะเมื่อคืนอาจกระแทกจนสมองได้รับความกระทบกระเทือนหรือเปล่า?”
หยุนหว่านหนิงเลิกคิ้ว
นางคุกเข่าลง ทำการตรวจสอบอีกครั้ง “ฉินซื่อเสวีย เจ้าจำข้าไม่ได้แล้วจริง ๆ น่ะรึ? ถ้าอย่างนั้นยังจำโม่หุยเฟิงสามีของเจ้าได้ไหม? ยังมีลูกสาวสองคนของเจ้า โม่จือฉิงกับโม่จืออวี่อีกล่ะ?”
เมื่อได้ยินชื่อเหล่านี้ ฉินซื่อเสวียกลับดูเหมือนยิ่งถูกกระตุ้นหนักขึ้น
“ข้าไม่กล้าแล้ว! ข้าไม่กล้าแล้วจริง ๆ!”
ดวงตาของนางหาจุดรวมสายตาไม่ได้เลย ในแววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ดู ๆ ไปแล้วเหมือนจะมาจากความหวาดกลัวในใจของนางเอง
นางเอามือกุมหัวพลางหมอบลงไปกับพื้นอีกครั้ง โขกหัวให้หยุนหว่านหนิงไม่หยุด “ท่านพญายม ข้าไม่กล้าแล้วเจ้าค่ะ!”
ตอนนี้เองหยุนหว่านหนิงค่อยยืนขึ้น “อื้ม น่าสนใจ! เป็นบ้าไปแล้วหนึ่ง”
“เป็นบ้าไปแล้ว?”
หรูเยียนดูจะตกใจเล็กน้อย หันไปมองฉินซื่อเสวียที่มีสภาพไม่ต่างจากคนบ้า “ทำไมอยู่ดี ๆ พระชายาอ๋องสามถึงเป็นบ้าไปได้ล่ะ? หรือเป็นเพราะเมื่อคืนนี้นางหัวกระแทกจนสมองมีปัญหา?”
“ก็อาจจะเป็นไปได้อยู่”
หยุนหว่านหนิงให้คำตอบที่ฟังดูออกจะกำกวมมาประโยคหนึ่ง
นางเดินออกไปบอกสาวใช้ว่า “ในเมื่อพระชายาของเจ้าเป็นบ้าไปแล้ว อย่างไรก็คงต้องไปหาหมอหลวงให้รีบมาดูอาการสักหน่อย”
“แต่ต้องดูแลนางให้ดีล่ะ! อย่าให้นางหนีออกไปนอกจวน ป้องกันไม่ให้คนอื่นพากันตกใจกลัว”
สาวใช้รีบตอบรับ
หลังเดินออกจากจวนอ๋องสาม หยุนหว่านหนิงก็หันหน้ากลับไปมองแผ่นป้ายเหนือประตู ที่อยู่สูงเหนือหัวของนางขึ้นไปแวบหนึ่ง จากนั้นก็เม้มริมฝีปากเงียบ ๆ ไม่พูดอะไร
ฉินซื่อเสวียหมดสภาพไปแล้ว จากนี้ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องของนางอีก
ตอนนี้ยังมีอันตรายอื่นที่ซ่อนอยู่อีกหนึ่ง: หนานกงเยว่!
แต่ยังไม่รอให้หยุนหว่านหนิงเป็นฝ่ายเริ่มเคลื่อนไหว คืนนั้นที่จวนอ๋องฉู่ก็มีข่าวร้ายส่งมาถึงหูนางแล้วเรียบร้อย……