อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 398 โมเยว่โศกเศร้า
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 398 โมเยว่โศกเศร้า
“ในใจของหนิงเอ๋อร์ แท้จริงแล้วมีแต่ความเกลียดชังข้ามาโดยตลอด”
ภายใต้แสงเทียนที่ริบหรี่ ใบหน้าของโม่เยว่ดูสงบนิ่งมาก “แม้ว่านางจะไม่พูดอะไร แต่ข้ารู้ดี หลังจากที่เพียรพยายามมาตลอดหนึ่งปีนี้ ข้าก็ยังไม่ได้เข้าไปอยู่ในหัวใจของนางเลย”
ถ้าดูเพียงฉากหน้า หยุนหว่านหนิงเหมือนจะหัวเราะคิกคักสนุกสนาน
แต่ความบอบช้ำที่เขาก่อขึ้นในใจนางเมื่อหลายปีก่อน มันร้ายแรงหนักหนาเกินไป มากจนถึงขั้นที่ว่ากระทั่งบัดนี้นางก็ยังไม่ยินดีที่จะเปิดใจยอมรับเขา
“คงไม่หรอกกระมัง?”
หรูโม่แสดงความประหลาดใจ “ข้าเห็นว่าพระชายาปฏิบัติต่อท่านดีมากเลยนะขอรับ!”
เขาเกาหัวแกรก ๆ แล้วนั่งลงบนพื้นข้าง ๆ โม่เยว่ “ตามปกติแล้ว พระชายาจะไม่พูดถึงเรื่องนี้ ข้าน้อยก็ยังคิดอยู่เลยว่า เรื่องนี้คงจะจบลงไปทั้งแบบนี้แน่แล้ว!”
ก่อนหน้านี้ที่หยุนหว่านหนิงจะกลั่นยาพิษ ก็ไม่ได้ทดสอบพิษกับโม่เยว่หรอกรึ?
หลังจากจับพลัดจับผลูผ่านเหตุการณ์นั้นมาแล้ว กลับส่งผลให้ร่างกายของโม่เยว่มีภูมิต้านทาน จนยาพิษใด ๆ ก็ไม่อาจกล้ำกรายได้ไปในที่สุด…..
พวกเขาทุ่มเทหยาดเหงื่อจนเลือดตาแทบกระเด็นเพื่อเขา แต่ผู้ชายคนนี้กลับไม่เห็นอยู่ในสายตาเลยสักนิด
แถมยังไปอวดโอ้ต่อหน้าอ๋องฮั่นอย่างภาคภูมิใจเสียอีก!
เมื่อเห็นว่าในยามปกติ โม่เยว่กับหยุนหว่านหนิงดูจะเข้ากันได้ดี แล้วตอนนี้โม่เยว่ก็มักจะติดตามหยุนหว่านหนิงไปไหนมาไหนด้วยกันทุกที่ เขาจึงคิดไปว่าเรื่องเมื่อหลายปีก่อนนั้นคงจะนับได้ว่าจบลงแล้ว!
“โง่!”
โม่เยว่ปรายตามองเขาแวบหนึ่ง
จากนั้นก็ถอนหายใจเบา ๆ “เรื่องในตอนนั้นมันก็เป็นความผิดของข้าจริง ๆ นั่นแหล่ะ”
“แม้ว่าตอนนั้นหนิงเอ๋อร์จะน่ารังเกียจ แต่ข้าก็เข้าใจนางผิดจริง ๆ! ตอนนี้ความเข้าใจผิดนั้นล้วนได้รับการแก้ไขแล้ว ไม่รู้ว่าข้ายังต้องพยายามอีกสักแค่ไหน ถึงจะสามารถขจัดความแค้นในใจของนางออกไปได้”
นอกเหนือจากความเข้าใจผิดในตอนนั้น ยังมีเรื่องที่เขาสั่งกักบริเวณหยุนหว่านหนิงเป็นเวลาถึงสี่ปีนั่นอีก เขาละเลยพวกนางสองคนแม่ลูกมาเป็นเวลาสี่ปีเชียวนะ
หนี้มหาศาลก้อนนี้ ถ้าหยุนหว่านหนิงคิดจะสะสางกับเขาจริง ๆ เมื่อถึงเวลานั้น เขาจะกู้คืนความเชื่อใจกลับมาอย่างไรได้?
“หนิงเอ๋อร์เคยบอกว่า เหตุผลที่นางอยู่ร่วมกับข้าได้อย่างสงบสุขในเวลานี้ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะหยวนเป่า”
เมื่อแสงเทียนหรี่ลง เงาบนใบหน้าของโม่เยว่ก็หนาหนักขึ้นไม่น้อย
เขาขมวดคิ้วด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง ถอนหายใจอย่างโศกเศร้า “ข้าพยายามมาหลายครั้งแล้ว แต่กลับพบว่านางก็ยังไม่ยอมเปิดประตูที่ปิดตายไว้ในหัวใจบานนั้นออกมาอยู่ดี”
ตัวอย่างเช่นคืนนี้ ก็เป็นอีกครั้งที่เขาลองพยายามดู
แต่ท่าทีของหยุนหว่านหนิง มันเหมือนกับการยกอ่างน้ำเย็นจัด ๆ อ่างหนึ่งมาราดลงบนหัวของเขาตรง ๆ ทำให้เขารู้สึกเหน็บหนาวไปทั่วร่าง
ในช่วงเวลานี้เอง ก็มีเสียงคนร่ายกลอนเพลงดังแว่วมาจากหน้าประตู “เกล็ดหิมะโปรยปราย สายลมเหนือพัดหวีดหวิว…..”
สีหน้าของโม่เยว่กับหรูโม่ถึงกับแข็งทื่อ
จากนั้นก็เห็นหรูอวี้เดินเข้ามาพร้อมสายลมหอบหนึ่งที่พัดกรรโชก “นายท่าน กลอนเพลงบทนี้ ข้าน้อยได้เรียนมาจากพระชายาเมื่อสองสามวันก่อน! ไพเราะหรือไม่ขอรับ?”
ร้องเพราะหรือไม่เพราะนั่นถือเป็นเรื่องรอง แต่การร้องของเขามันถึงกับเปลี่ยนเพลงจนเพี้ยนเป็น “สิบแปดโค้งผ่านขุนเขา”ไปแล้วเรียบร้อย
ประเด็นหลักคือเนื้อเพลงนี้ มันช่างเหมาะกับบรรยากาศในตอนนี้อย่างยิ่ง!
เจ้าหมอนี่มันจงใจสินะ?
โม่เยว่ยื่นนิ้วมือออกมานิ้วหนึ่ง สั่งว่า “หรูโม่ ซ้อมเขาให้ยับ!”
“ขอรับนายท่าน!”
หรูโม่กำมือเป็นหมัด แล้วเริ่มลงมือทันที
หรูอวี้ถูกต่อยตีจนต้องแหกปากร้องลั่น “นายท่าน นี่เป็นเพราะอะไรอีกแล้ว?! เมื่อครู่ข้าน้อยเพิ่งจะถูกพระชายาซ้อมมายกหนึ่ง ตอนนี้ก็มาถูกหรูโม่ต่อยตีอีกยกหนึ่งแล้ว!”
“ข้าน้อยไม่ใช่กระสอบทรายนะ พวกท่านมีมนุษยธรรมหน่อยเถอะ!”
“อ๊าก!……”
หรูอวี้แหกปากร้องอย่างน่าเวทนา จากนั้นก็ถูกหรูโม่เตะกระเด็นออกไป
โม่เยว่ถอนหายใจอย่างแผ่วเบา
…………..
หยุนหว่านหนิงกลับไปที่เรือนชิงหยิ่ง ในสภาพที่เหมือนไปเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่าสะพรึงกลัวมา
นางสั่งให้หรูเยียนปิดประตู แล้วสั่งแม่นมจางให้คอยเฝ้าประตูไว้โดยเฉพาะ “คืนนี้ไม่ว่าใครก็ตามที่จะเข้ามา จงไล่ตะเพิดออกไปให้ข้าให้หมด! ไม่ใช่สิ….. อย่าให้ใครเข้ามาได้ทั้งนั้น!”
หยุนหว่านหนิงคว้าไม้กระบองใต้กำแพงขึ้นมา แล้วส่งให้แม่นมจาง
แม่นมจางตกใจจนผงะ
นางรับไม้มาด้วยความงุนงง ก่อนจะถามบางอย่างที่วอนโดนอัดสักยกว่า “พระชายา นี่ท่านไปหาเรื่องใครเข้าอย่างนั้นรึ?”
“ท่านไปหาเรื่องเขาจนได้เรื่องมาใช่หรือไม่?”
ดังนั้นเลยต้องมาขังตัวเองอยู่ที่เรือนชิงหยิ่ง ไม่กล้าออกไปไหน รวมถึงไม่ยอมให้ใครเข้ามา?
หยุนหว่านหนิง: “…..ใช่ คืนนี้ข้าถูกหมาบ้ากัดมา!”
แม่นมจางไม่เข้าใจ ได้ยินแค่เสียงหรูเยียนหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ นางยังถึงกับพยักหน้าอย่างซื่อ ๆ ด้วยว่า “โอ้! หมาบ้าตัวนี้สมควรถูกตีจริง ๆ นั่นแหล่ะ ถึงขั้นกล้ากัดพระชายาของพวกเรา!”
“พรุ่งนี้ ข้าน้อยจะไปถลกหนังมันมาตุ๋นเป็นน้ำแกงดื่ม!”
หยุนหว่านหนิงหลุดหัวเราะดัง “พรืด”ออกมา “ข้าว่าความคิดนี้เข้าท่าดีใช้ได้!”
“พระชายา แล้วถ้าท่านอ๋องมาที่นี่….”
“หยุดไว้ที่หน้าประตูให้หมด!”
หยุนหว่านหนิงกำชับครั้งแล้วครั้งเล่าว่า “โดยเฉพาะท่านอ๋อง ห้ามปล่อยให้เข้ามาได้โดยเด็ดขาด!”
“ข้าน้อยรับบัญชา”
ในใจของแม่นมจางรู้สึกสงสัยแต่ก็ไม่กล้าถาม ทำได้แค่พยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว
หรูเยียนชำเลืองมองนางด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจ
ถ้านางรู้ว่าแท้จริงแล้วใครคือ “หมาบ้า” ที่พระชายาพูดถึงล่ะก็ ไม่แน่ว่านางอาจจะอยากกัดลิ้นฆ่าตัวตายไปเลยก็ได้? !
แถมยังคิดจะไปถลกหนัง “หมาบ้า” มาตุ๋นเป็นน้ำแกงดื่มซะด้วย ไม่แน่ว่าวันพรุ่งนี้แม่นมจางเองนั่นแหล่ะ ที่จะเป็นฝ่ายถูกตุ๋นเป็นน้ำแกง!
เมื่อเห็นแม่นมจางถือไม้กระบองยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้าจริงจัง หยุนหว่านหนิงก็กลับไปพักผ่อนที่ห้องอย่างวางใจ
ในตอนแรกนางรู้สึกว่าประสาทตึงเครียดไปหมด แต่เพราะเหนื่อยมากจึงหลับไปอย่างรวดเร็ว แต่เพียงไม่นานหยุนหว่านหนิงก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้ง นางรู้สึกได้ว่ามีคนอยู่ข้างเตียง!
อีกทั้งยังเอาแต่จ้องมองนางอย่างเงียบ ๆ!
ภาพฉากในหนังผีที่เคยดูมานับไม่ถ้วน ผุดวาบขึ้นมาในหัวไม่หยุด…..
หยุนหว่านหนิงไม่แม้แต่จะลืมตา พอคว้ากริชที่อยู่ใต้หมอนได้ ก็แทงออกไปที่ข้างเตียงทันที!
“หนิงเอ๋อร์!”
ภายใต้แสงจันทร์เย็นเยียบที่ส่องสลัว โม่เยว่คว้ามือของนางพลางพูดอย่างจนใจว่า “นี่ข้าเอง!”
ผู้หญิงคนนี้ ถึงกับซ่อนกริชไว้ใต้หมอนเลยหรือ? !
“เป็นเจ้าแล้วจะทำไม?”
ขณะที่หยุนหว่านหนิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่อีกใจนึงก็นึกกังวลไปด้วย
นางใช่คู่ต่อสู้ของโม่เยว่ซะที่ไหนล่ะ?
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ โม่เยว่แค่กลัวว่าจะทำให้นางบาดเจ็บ ถึงได้ไม่ยอมสู้กลับ แต่ตอนนี้สิ่งที่นางถือคือกริชเล่มหนึ่ง ถ้าประเหมาะเคราะห์ร้าย เกิดทำให้ตัวเองบาดเจ็บขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ?
ดังนั้นเขาจึงบีบข้อมือของนางไว้ ออกแรงเพียงเล็กน้อย หยุนหว่านหนิงก็รู้สึกชาแปลบจนต้องปล่อยมือ
โม่เยว่หยิบกริชเล่มนั้นออกไป รู้สึกกลัวในใจภายหลังไปชั่วขณะ “นี่เจ้าวางของมีคมแบบนี้ไว้บนเตียงได้อย่างไรกัน?”
“ถ้าทำตัวเองบาดเจ็บขึ้นมากลางดึกจะทำยังไง?”
ไม่ต้องพูดถึงหยุนหว่านหนิงก็ได้ หยวนเป่าก็นอนกับนางนะ!
“ก่อนหน้านี้มีหยวนเป่าอยู่ด้วย ข้าเลยไม่รู้สึกกังวล แต่สองคืนนี้ลูกชายไม่อยู่ ถ้าข้าไม่เตรียมอุปกรณ์ป้องกันหมาป่าไว้บ้าง เกิดถูกใครรังแกขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ?”
หยุนหว่านหนิงกอดผ้าห่มให้คลุมร่างของตัวเองไว้ จ้องมองเขาด้วยสายตาโกรธเคือง “ยกตัวอย่างเช่น คนหน้าด้านไร้ยางอายอย่างเจ้า!”
“กลางค่ำกลางคืนไม่ยอมหลับไม่ยอมนอน มานั่งข้างเตียงข่มขู่ชาวบ้านให้กลัวหน้าตาเฉย!”
โม่เยว่ถูกนางด่าก็ยังไม่อารมณ์เสีย
เขายิ้มอย่างอารมณ์ดี “ล้วนเป็นความผิดของข้าเอง!”
“ข้าคิดไม่ถึงเลยจริง ๆ นะ ว่าอ๋องหมิงผู้สูงศักดิ์จะแอบย่องเข้าห้องนอนของคนอื่นตอนดึก ๆ แบบนี้ เจ้าคิดจะทำตัวเป็นยอดบุรุษแห่งเขาเหลียงซาง หรือตัดสินใจจะเป็นจอมโจรเด็ดบุปผากันล่ะ?”
หยุนหว่านหนิงยังคงจ้องเขาตาเขม็ง
โม่เยว่กุมหน้าผาก “ข้าแค่จะมาบอกเจ้าเรื่องหนึ่ง”
“พูดมา!”
คำพูดเพิ่งจะหลุดจากปาก หยุนหว่านหนิงก็ยื่นมือออกไปหยุดเขาไว้อีกครั้ง “รออีกเดี๋ยวค่อยบอก!”
นี่เป็นเรื่องเร่งด่วน นางยังต้องยืนยันเรื่องหนึ่งให้ชัดเจน
นางหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาสวม นั่งลงกับพื้นด้วยท่าทางโกรธเคือง
เมื่อเปิดประตูออกไปดู ก็เห็นหรูอวี้กำลังปิดปากหรูเยียนไว้แน่น ส่วนหรูโม่ก็จับมือหรูเยียนไว้อีกที พี่น้องสองหน่อช่วยกันจับตัวนางไว้อย่างแน่นหนา จนนางไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้!
มิน่าล่ะ หรูเยียนถึงไม่ส่งเสียงเตือนนาง!
“พวกเจ้าสองพี่น้องนิสัยหมาสารเลว! เสนอหน้ากันดีนักนะ!
หยุนหว่านหนิงจ้องมองหรูอวี้กับหรูโม่แวบหนึ่ง ก่อนจะเดินต่อไปที่ประตูลานหน้าบ้าน
เมื่อเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ ก็เห็นว่าแม่นมจางกอดไม้กระบองไว้ในอ้อมแขน นั่งอยู่บนพื้น เอนหลังพิงประตูลานบ้านพลางหลับสนิท
เสียงกรนดังต่อเนื่องไม่หยุด ที่คางเปียกน้ำลายชุ่มโชก!
แม้ว่านางจะเอนหลังพิงประตูลานอยู่ก็จริง แต่มีประตูแค่บานเดียวเท่านั้นที่ปิดส่วนประตูอีกบานกลับเปิดกว้างโล่งโจ้ง!
แม่นมจางคนนี้ พอจะคาดหวังให้นางทำอะไรได้บ้างเนี่ย? !
หยุนหว่านหนิงโกรธมากจนเตะนางไปทีหนึ่ง “คนรับใช้ชาติหมา! ข้าจะเก็บเจ้าไว้ทำไมเนี่ย! ใครก็ได้! มาลากนางไปสับให้เละแล้วโยนให้หมากินซะ!”
ตอนนี้เองแม่นมจางค่อยสะดุ้งตื่นขึ้นมา “ใคร! ใคร!”
หลังจากที่เห็นชัดเจนแล้วว่าคนตรงหน้าคือใคร แม่นมจางก็รีบเช็ดน้ำลายที่ไหลเลอะมุมปากแล้วยืนขึ้น “พระชายา ข้าน้อยทำตามคำสั่งของท่าน เฝ้าอยู่หน้าประตู…..”
ก่อนที่จะได้พูดคำว่า “อย่างแน่นหนา” ออกจากปาก ลมสายหนึ่งก็พัดมา ปะทะเข้ากับบานประตูที่ง่อนแง่นคลอนแคลนจนเปิดออก แล้วฟาดใส่แผ่นหลังของแม่นมจางตรง ๆ
เมื่อหันไปมองบานประตูที่ง่อนแง่นคลอนแคลนนั้น แม่นมจางก็ตกตะลึงจนเซ่อไปเลย!
นางรีบเงยหน้าขึ้น ก็เห็นโม่เยว่เดินออกมาจากห้องอย่างพอดิบพอดี!