อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 399 อ๋องโจวมาเยี่ยมเยือนกลางดึก
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 399 อ๋องโจวมาเยี่ยมเยือนกลางดึก
แม่นมจางขยี้ตามองให้ละเอียดอีกที เป็นท่านอ๋องแน่นอนไม่มีมองผิด!
แต่คืนนี้พระชายากำชับเอาไว้เป็นพิเศษว่า อย่าปล่อยให้ใครเข้ามาได้ โดยเฉพาะท่านอ๋องบ้านนาง!
เห็นอยู่ชัด ๆ ว่านางเฝ้าประตูอยู่ ท่านอ๋องเข้ามาได้อย่างไรกัน?
ประตูที่เปิดไว้ครึ่งบานนั้นดึงความคิดของแม่นมจางกลับมาในที่สุด เมื่อเห็นใบหน้าที่โกรธเคืองของหยุนหว่านหนิง นางก็คุกเข่าข้างหนึ่งลงในสภาพงก ๆ เงิ่น ๆ “พระชายา โปรดไว้ชีวิตด้วย…..”
“ไสหัวไปให้พ้น!”
หยุนหว่านหนิงแทบจะอดใจไม่ไหว อยากจะเตะนางอีกสักป้าบ
แต่พอคิดถึงอายุอานามของอีกฝ่าย กับเห็นแก่ความจงรักภักดีที่มีดีต่อนาง…..
จะยอมละเว้นนางสักครั้งแล้วกัน!
แม่นมจางกอดไม้กระบองแนบอก แล้ววิ่งตุปัดตุเป๋ออกไปทันที
หรูอวี้กับหรูโม่ก็ปล่อยหรูเยียนเช่นกัน หยุนหว่านหนิงถามโม่เยว่ว่า “แล้วนี่พวกเจ้าเข้ามากันยังไง?”
“พระชายา ข้าน้อยกับหรูโม่ปีนข้ามกำแพงเข้ามาขอรับ! นายท่านบอกว่าเขาเป็นถึงผู้นำครอบครัว จะทำเรื่องต่ำช้าอย่างการลอบปีนข้ามกำแพงเข้ามาได้อย่างไร? ดังนั้นนายท่านจึงเดินเข้ามาทางหน้าประตูอย่างสง่าผ่าเผยขอรับ”
หรูอวี้รีบแย่งตอบ
เขาเป็นคนที่ปีนข้ามกำแพงเข้ามาเปิดประตูให้โม่เยว่
“พระชายา แม่นมจางคนนั้นเป็นพวกหลับได้หลับดีจริง ๆ นะขอรับ!”
หรูอวี้โน้มตัวเข้าไปใกล้แล้วเดาะลิ้น “ตอนที่ข้าน้อยกระโดดเข้ามาแล้วไม่ทันระวัง เผลอไปเหยียบโดนเท้าของนางเข้า นางถึงกับไม่ร้องสักแอะ!”
หยุนหว่านหนิง: “….เจ้ายังมีหน้ามาอ้างเหตุผลอยู่อีกรึ?”
นางคิดแค่ว่าอยากจะสับไอ้สารเลวนี่ แล้วเอาไปทำเป็นปุ๋ยรดสมุนไพรในสวนหลังบ้านของตัวเองซะจริง ๆ!
หยุนหว่านหนิงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เฮือกหนึ่ง ถึงค่อยระงับไฟโทสะที่อัดแน่นอยู่ในใจให้กลับลงไปได้ หันหน้าไปหาโม่เยว่แล้วถามว่า “ตอนนี้ก็รีบ ๆ พูดมา ว่ามาหาข้าเพราะเรื่องอะไร?”
“พี่สี่มาแล้ว”
โม่เยว่ตอบ
พี่สี่?
“ใครคือพี่สี่?”
สมองของหยุนหว่านหนิงถึงกับตกร่องไปชั่วขณะ
โม่เยว่เหลือบตามองนางอย่างสงสัย อธิบายอย่างตรงไปตรงมาว่า “อ๋องโจว โม่เหว่ย”
“โอ้!”
หยุนหว่านหนิงเข้าใจขึ้นมาได้โดยฉับพลัน
ไม่น่าแปลกใจหรอกที่นางไม่รู้ว่าใครคือพี่สี่ตระกูลโม่ นั่นเพราะแท้ที่จริงแล้ว….. โมเหว่ยแทบจะไม่เคยปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนเลย พอจะได้ยินคนพูดถึงบ้างเป็นบางครั้ง ส่วนใหญ่จะประมาณว่า “อ๋องโจว” เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้
ส่วนโม่เยว่ จำนวนครั้งที่เขาพูดว่า “พี่สี่เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้” ต่อหน้านางก็ยิ่งน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
ตอนแรกที่ได้ยินคำเรียกว่า “พี่สี่” หยุนหว่านหนิงจึงยังไม่มีปฏิกริยาตอบสนอง
นางประหลาดใจไปชั่วขณะ ถามแบบเพิ่งมารู้สึกตัวทีหลังว่า “โม่เหว่ยมาที่นี่ทำไม? เขาถึงกับยอมก้าวขาออกจากจวนอ๋องโจวเลยรึ?! แถมยังกลางดึกแบบนี้ด้วย?!”
“มีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่า?!”
“เขามาหาเจ้า!”
โม่เยว่ส่ายหน้า “เขาไม่บอกข้า”
โมเหว่ยก็เป็นคนที่มีนิสัยตรงเป็นไม้บรรทัด ไม่ชอบพูดพร่ำทำเพลงคนหนึ่ง เมื่อเขามีเรื่องมาพบหยุนหว่านหนิง ก็จะไม่บอกอะไรโม่เยว่เด็ดขาด…..
“ข้าเกลี้ยกล่อมเขาไม่ได้”
โม่เยว่ชำเลืองมองนางแวบหนึ่ง “ดูแล้วเหมือนว่าจะมีเรื่องด่วน ข้าเกรงว่าอาจเป็นเรื่องร้ายแรงในระดับที่ชีวิตถูกแขวนไว้บนเส้นด้ายแล้ว ถ้ายังไม่ได้พบเจ้าอีกล่ะก็ น่ากลัวว่ายังไม่ทันได้หายใจเข้าเต็มปอดก็มีอันต้องเป็นไปเสียก่อน ข้าจึงรีบมาส่งข้อความถึงเจ้า”
หยุนหว่านหนิงถึงกับพูดไม่ออก: “….เจ้านี่มันปากเสียจริง ๆ!”
กลัวว่าโมเหว่ยจะมีเรื่องด่วน แทนที่จะปลุกนางโดยตรง กลับมานั่งเฝ้าดูนางหลับอยู่ข้างเตียง ท่านอ๋องผู้นี้ช่างร้ายกาจซะจริง ๆ!
นางกลับไปที่ห้องเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า หลังจากแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยก็ตามโม่เยว่ไปพบกับโม่เหว่ยที่โถงหน้าบ้าน
นางก็ไม่ได้พบโม่เหว่ยมาระยะหนึ่งแล้ว
เมื่อหลายวันก่อน ยาที่เตรียมไว้ให้โมเหว่ยก็เป็นลุงเฉินที่มารับจากจวนอ๋องหมิงไปด้วยตัวเอง
พอตอนนี้ได้มาเจอกัน…
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแสงเทียนที่ส่องสว่าง หรือเป็นเพราะหยุนหว่านหนิงยังไม่ตื่น แต่รู้สึกว่าสีหน้าของโม่เหว่ยดูดีขึ้นมาก ทั้งเนื้อทั้งตัวดูแล้วมีชีวิตชีวากว่าเวลาปกติขึ้นมาหลายส่วน
เขาถึงขั้นไม่ต้องให้ลุงเฉินช่วยพยุงแล้วด้วยซ้ำ เมื่อเห็นว่าหยุนหว่านหนิงมาแล้ว เขาก็ลุกขึ้นยืนด้วยตัวเอง
“หว่านหนิง”
เขาชิงเป็นคนเริ่มพูดก่อนว่า “ข้าได้เตรียมของขวัญวันเกิดให้เสด็จแม่เต๋อเฟยไว้ชิ้นหนึ่ง”
หยุนหว่านหนิงมองเขาด้วยสีหน้าจริงจัง “อ๋องโจว ข้าตรวจชีพจรให้เจ้าหน่อยจะดีกว่านะ”
“ทำไมล่ะ?”
โม่เหว่ยรู้สึกงงงัน “ข้ากลับไม่รู้สึกว่ามีตรงไหนไม่สบายเลยนะ”
“ข้าแค่อยากตรวจดูว่าสมองของเจ้าเกิดสับสนเลอะเลือนไปแล้วหรือเปล่า หรืออาการป่วยมันทิ้งผลสืบเนื่องเอาไว้บ้างไหม..….วันเกิดของเสด็จแม่ผ่านไปแล้วแท้ ๆ เจ้าเพิ่งมาพูดเรื่องวันเกิดของนางเอาวันนี้”
หยุนหว่านหนิงกลั่นกรองอาการให้อย่างรอบคอบ พยายามที่จะไม่ปากร้ายใส่เขา
อ๋องโจวสุขภาพไม่ดี ทั้งยังไม่เคยออกไปข้างนอก
คืนนี้เขาอุตสาห์มาเยือนถึงจวนอ๋องหมิง ถ้าพวกเขาสองคนทำตัวปากร้ายใส่เขา คิดดูเถอะว่าจะเป็นเรื่องที่โหดร้ายขนาดไหน!
เมื่อได้ยินดังนั้น โมเหว่ยก็หัวเราะเบา ๆ “ข้ารู้แล้วล่ะ ว่าวันเกิดของเสด็จแม่เต๋อเฟยคือเมื่อวาน”
“เมื่อวานข้าเตรียมของขวัญไว้พร้อมแล้วกำลังเตรียมตัวจะเข้าวัง นึกไม่ถึงว่าจะบังเอิญเกิดเรื่องด่วนขึ้นมากะทันหัน จนข้าลืมไปชั่วขณะ วันนี้เพิ่งนึกขึ้นได้ก็เลยนำมาส่ง”
เขามองไปที่กล่องผ้าบนโต๊ะ “ข้าไม่สะดวกเข้าวังเท่าไหร่”
“ดังนั้น เลยตั้งใจจะขอให้พวกเจ้าช่วยส่งของขวัญไปให้เสด็จแม่เต๋อเฟยแทนหน่อย ถือเป็นการแสดงความเคารพจากข้า”
เกิดเรื่องด่วนขึ้นมากะทันหัน?
ไม่ใช่ว่าหยุนหว่านหนิงปากเสียนะ แต่เขาก็แค่คนป่วยกระเสาะกระแสะคนนึง จะมีเรื่องด่วนอะไรได้ล่ะ?!
“เมื่อวานไม่ใช่ว่าเจ้าเตรียมตัวจะเข้าวังแล้วหรอกหรือ? ทำไมวันนี้ถึงไม่สะดวกเสียแล้วล่ะ?”
หยุนหว่านหนิงรู้สึกว่ามันน่าประหลาดใจสิ้นดี จึงซักถึงต้นตอ ถามเอาคำตอบจนถึงที่สุด
ร่องรอยของความตื่นตระหนกสายหนึ่ง ปรากฏวาบขึ้นในดวงตาของโม่เหว่ย
ลุงเฉินที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาหัวเราะเสียงอู้อี้ เมื่อสังเกตเห็นว่าสายตาของทุกคนต่างก็มองมาที่เขา จึงรีบกระแอมไอเบา ๆ เพื่อกลบเกลื่อนเสียงหัวเราะเมื่อครู่
มีบางอย่างไม่ถูกต้อง!
โม่เหว่ยต้องมีอะไรซักอย่าง!
หยุนหว่านหนิงหรี่ตาลงอย่างจับผิด
เมื่อเห็นนางหรี่ตา โมเหว่ยก็นึกถึงท่าทางเวลาที่นางโกรธขึ้นมาได้ว่ามันเป็นอย่างไร
ยังมีประโยคก่อนหน้านี้ที่พูดไว้ว่า: “จากนี้ไป ในอัตชีวประวัติของท่านอ๋องคนอื่น ๆ จะบันทึกไว้ว่า พวกเขาแต่ละคนมีความกล้าหาญขนาดไหน ร้ายกาจเพียงใด ทุ่มเทเพื่อราชสำนักมากมายแค่ไหน รวมถึงได้รับความรักใคร่เทิดทูนจากประชาชนอย่างไร”
“ส่วนเจ้า…..จะมีเพียงคำอธิบายสั้น ๆ เอ่ยถึงไม่กี่ประโยค ได้แก่: เกิดในปีxxx ตายในปีxxx”
“สาเหตุการตาย: ถูกพระชายาหมิงทำให้โกรธจนตาย”
ประโยคนี้สำหรับเขาแล้ว เป็นเหมือนดั่งคำสาปแช่งก็ไม่ปาน โม่เหว่ยจึงเอาแต่กลัวอยู่ตลอดเวลา ว่าจะถูกหยุนหว่านหนิงทำให้โกรธจนตายจริง ๆ
สำหรับนางแล้ว นั่นก็คือ “ใครตามข้าอยู่ ใครขวางข้าตาย”
ดังนั้นเวลาต่อมา ทุกครั้งที่นางไปจวนอ๋องโจว โม่เหว่ยก็จะยอมให้ความร่วมมือกับนางเป็นอย่างดี
และก็ต้องขอบคุณนางเช่นกัน ที่ทำให้อาการเจ็บป่วยที่เขาเป็นมานานหลายปีค่อย ๆ บรรเทาลง ค่อย ๆ ดีวันดีคืนขึ้นมาได้
สำหรับหยุนหว่านหนิง ในใจของโม่เหว่ยเต็มไปด้วยความรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณ
เขารีบอธิบายอย่างรวดเร็วว่า “นอกจากมามอบของขวัญวันเกิดให้เสด็จแม่เต๋อเฟยแล้ว ข้ายังนำของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ มาให้เจ้าด้วย! ถือว่าเป็นของติดไม้ติดมือมาฝาก เจ้าลองดูสิว่าชอบหรือไม่”
คราวนี้ ถึงตาโม่เยว่ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เป็นฝ่ายหรี่ตามองบ้างแล้ว
หรูอวี้โน้มตัวเข้าไปใกล้ ๆ อ๋องโจวจะมากเกินไปหน่อยแล้วกระมัง?”
“อยู่ต่อหน้าท่านแท้ ๆ ยังถึงกับ……”
ยังพูดไม่ทันจบ เขาก็ถูกหรูโม่ลากออกไปเสียก่อน
หยุนหว่านหนิงไม่สนใจว่าโม่เยว่จะหรี่ตาหรือหลับตา แค่จับตามองโม่เหว่ยหยิบวัตถุรูปร่างแปลกประหลาดชิ้นหนึ่งออกมาจากกล่องผ้าไหม……
นางถึงกับงุนงงจนตาค้าง “ไอ้ของพรรค์นี้มันคืออะไรน่ะ?”
“ชุดชา”
โมเหว่ยอธิบายว่า “สิ่งนี้ทำมาจากหยกเย็นที่มีอายุพันปี หากใช้มันชงชา น้ำชาที่ได้จะมีรสชาติที่ทั้งสดชื่นและหอมหวานอย่างยิ่ง”
หยกเย็นพันปี? !
หยุนหว่านหนิงตกตะลึงพรึงเพริศ “ของอย่างหยกเย็นพันปีเป็นสิ่งที่หาได้ยากมากไม่ใช่รึ?”
“ลูกพี่ลูกน้องของข้าเพิ่งได้มันมาเมื่อไม่กี่วันก่อน เขาจึงส่งมาให้ข้า ข้ารู้ว่าเจ้าชอบดื่มชา จึงตั้งใจส่งมาให้เจ้าโดยเฉพาะ เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณ”
โม่เหว่ยยิ้มอย่างจริงใจ
หยุนหว่านหนิงชอบจนถึงขั้นวางไม่ลงเลยจริง ๆ
ทั้งสองคุยกันอย่างมีความสุข
โม่เยว่ที่อยู่อีกด้าน รู้สึกราวกับกำลังนั่งอยู่บนพรมเข็มก็ไม่ปาน
หรูอวี้ไม่สนใจว่าหรูโม่จะคอยขัดขวาง พุ่งเข้าไปกระซิบข้างหูของเขาอีกครั้งว่า “นายท่าน ท่านดูสิ! อ๋องโจวต้องมีความคิดแอบแฝงกับพระชายาแน่ ๆ เลย!”
โม่เยว่กวาดสายตาไปมองเขาอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง ประกายแสงเย็นเยียบนั้นตกลงบนใบหน้าของโมเหว่ย
“ตอนนี้สุขภาพของพี่สี่ดีขึ้นมากแล้วกระมัง?”
จู่ ๆ เขาก็ถามขึ้น
โมเหว่ยไม่เข้าใจว่าคำพูดนี้ของเขาต้องการจะสื่อถึงอะไร จึงพยักหน้าตอบรับอย่างตรงไปตรงมาว่า “ดีขึ้นมากแล้วล่ะ”
“เจ้าเจ็ด เป็นอะไรไปรึ?”
โม่เยว่ยกถ้วยชาขึ้นจิบด้วยสีหน้าสงบราบเรียบ “ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว”
ในเมื่อตอนนี้เขาดีขึ้นมากแล้ว ก็คงจะทนรับมือรับเท้าจากความโกรธอันพลุ่งพล่านนี้ได้แล้วสินะ? ! ! !
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เฮือกหนึ่ง “พี่สี่มาเยือนถึงจวนกลางดึก คงจะไม่ได้มีเหตุผลง่าย ๆ อย่างแค่มาส่งชุดน้ำชาเท่านั้นหรอกใช่ไหม? ไม่ทราบว่าพี่สี่มีเจตนาจะทำอะไรกันแน่?”