อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 402 จัดการล่ายซื่อ
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 402 จัดการล่ายซื่อ
ตระกูลเฉินดุจดั่งดาบสองคม
หากใช้ให้ดีละก็ อาจสามารถช่วยโม่เยว่ในการแย่งชิงตำแหน่งไท่จื่อได้
แต่หากใช้อย่างมิระวัง……
เพียงประมาทเล็กน้อย ก็อาจทำให้เขาพ่ายแพ้ได้ราบคาบ!
และทั้งหมดนี้ต้องดูว่าโม่เหว่ยจะเลือกเช่นไร เขาจะรวบรวมความกล้าเพื่อเข้าแย่งชิงตำแหน่ง หรือยังคงนิ่งเฉยต่อทุกสิ่งดังเดิมแล้วดำรงตำแหน่งอ๋องของตนต่อไป
หรือบางทีเขาอาจยินดีช่วยสนับสนุนโม่เยว่ แล้วเข้าร่วมเป็นฝ่ายเดียวกับเขา
เมื่อเห็นว่าโม่เยว่นิ่งเงียบไป โม่ฮั่นอี่ว์ก็ได้เอ่ยถามขึ้นว่า “หากจะว่ากันตามอายุ น้องสี่แก่กว่าเจ้า”
“หากว่ากันตามยศตำแหน่ง น้องสี่กำเนิดจากเฉินกุ้ยเฟย ตัวตนเขาสูงกว่าเจ้าเล็กน้อย”
“หากว่าตามอำนาจ น้องสี่มีตระกูลเฉินอยู่เบื้องหลัง”
ความเป็นจริงนั้นมักมิน่าฟังเท่าไร
วินาทีนี้ โม่ฮั่นอี่ว์ดูเหมือนมิใช่อ๋องอี่ว์ผู้ใช้ชีวิตตามอำเภอใจของตนเช่นก่อนหน้านี้
สีหน้าของเขาดูเคร่งขรึมแล้ววิเคราะห์แทนโม่เยว่ว่า “ส่วนเจ้า? ตระกูลเสด็จแม่เต๋อเฟยอยู่ไกลออกไปจากเมืองหลวง อีกทั้งมิได้แข็งแกร่งเท่าตระกูลเฉิน”
“ต่อให้มีจวนหยุนกั๋วกง แต่ความสัมพันธ์ของหว่านหนิงกับกั๋วกงมิค่อยดีนัก! อีกทั้งหยุนธิงหลานก็ได้แต่งงานกับน้องสามด้วย”
“เจ้าลองคิดดู ว่าเจ้าจะเอาสิ่งใดไปสู้กับเจ้าสี่?”
โม่เยว่เหลือบมองดูเขา
ดูเหมือนพี่รองที่แสนดีของเขา ก็มิได้ไร้ความคิดไปเสียทีเดียว!
“เจ้าอย่าได้มองข้าเช่นนี้! ข้าล้วนหวังดีต่อเจ้า”
โม่ฮั่นอี่ว์เช็ดมือของตน “การที่ข้าเดินทางมาหาเจ้ายามค่ำคืนเช่นนี้ ก็เพราะมิอยากสร้างความเดือดร้อนแก่เจ้า”
“หลานชายคนโตของฮ่องเต้ได้ปรากฏกายขึ้น แน่นอนว่าจวนอ๋องหมิงคงเป็นที่วิพากษ์วิจาร ทั้งเป็นที่จับตาของผู้คนมากมาย!”
เขาหยุดลงแล้วเอ่ยต่อไปว่า “การที่ข้าเดินทางมาตอนกลางคืน จึงจะมิเป็นที่สะดุดตา”
“เรื่องนี้ข้าจะไปคิดดูก่อน วันพรุ่งนี้จะให้คำตอบ”
โม่เยว่ตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เจ้ายังต้องคิดอยู่อีกหรือ? บัดนี้พี่ใหญ่รับบาดเจ็บสาหัส หนานกงเยว่ก็เพิ่งสูญเสียทารกในครรภ์ไป เป็นช่วงเวลาอันดีที่เจ้าจะรวบรวมอำนาจให้แข็งแกร่ง! เจ้ายังลังเลเรื่องใดอีก?”
โม่ฮั่นอี่ว์แสดงท่าทีสงสัยออกมา
“ข้ากำลังคิดเรื่องพี่สี่”
โม่เยว่กล่าวออกมาอย่างช้าๆ
เขาต้องแน่ใจก่อนว่าโม่เหว่ยมีท่าทีเช่นไร!
……
ในวันต่อมา
ล่ายซื่อได้แอบดูอยู่ที่ห้องเก็บฟืนด้านหลังจวนอ๋องตลอดเวลา นางมิได้กินอิ่มนอนหลับมานานหลายวันแล้ว แม่นมจางยังคอยข่มขู่นางอยู่ทุกวัน
นางเหนื่อยล้าไปทั้งกายและใจ
ตอนที่ถูกนำตัวไปต่อหน้าหยุนหว่านหนิง นางเปลี่ยนไปเป็นคนละคนกับตอนที่พาเข้ามาจวนอ๋องหมิง
“สภาพของล่ายซื่อช่วงนี้ดูมิดีนัก มิค่อยสดชื่นเท่าตอนก่อนหน้า”
หยุนหว่านหนิงเอามือเท้าคาง มองไปที่นางด้วยท่าทางอันเกียจคร้านว่า “มิได้ส่งผลกระทบเท่าไรนัก”
“ใครก็ได้ มาพาตัวล่ายซื่อไปอาบน้ำอาบท่าที”
เมื่อมองดูล่ายซื่อถูกลากตัวไป หรูเยียนก็ได้เอ่ยถามเบาๆ ว่า “พระชายาเพคะ ตั้งใจจะจัดการกับล่ายซื่อเช่นไร?”
“ในเมื่อนางเป็นคนที่โม่หุยเหยียนกับฮองเฮาจ้าวพามา ข้าก็จะนำตัวนางคืนกลับไปให้พวกเขาดังเดิมอย่างมิชอกช้ำ! มิเช่นนั้นอาจกล่าวหาว่าข้าทำร้ายคนของพวกเขาได้”
หยุนหว่านหนิงเผยอริมฝีปากขึ้น “จวบพอดีกับวันนี้ข้าพอมีเวลาจัดการกับล่ายซื่อ”
หรูเยียนพยักหน้าครุ่นคิด “หม่อมฉันคิดว่า เรานำไปมอบให้อ๋องฉู่ดีกว่านะเพคะ”
“ประการแรก พระชายาอ๋องฉู่เพิ่งจะเสียบุตรในครรภ์ไป มิอาจรับใช้อ๋องฉู่ได้ ดังนั้นจวนอ๋องฉู่คงจะต้องการคน”
“คน” ในที่นี้หมายถึงอะไร หยุนหว่านหนิงเข้าใจได้ทันที
“ประการที่สอง ถึงอย่างไรนางบำเรอของจวนอ๋องฉู่ก็มีมิน้อย เพิ่มล่ายซื่ออีกสักคนเป็นไร! หม่อมฉันได้ยินมาว่าวังอี๋เหนียงที่เต๋อเฟยเหนียงเหนียงประทานให้อ๋องฉู่ เฉลียวฉลาดมากทีเดียว”
หรูเยียนเม้มปากหัวเราะว่า “การที่พระชายาอ๋องฉู่เสียบุตรในครรภ์ไป ก็เพราะวังอี๋เหนียงเพคะ”
“แต่ตอนนี้ วังอี๋เหนียงยังคงใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย! ทั้งสามารถควบคุมอำนาจของจวนอ๋องฉู่ได้เพียงระยะเวลามิกี่วัน……”
เห็นได้ว่าวังอี๋เหนียงผู้นี้เก่งกาจเพียงไร!
หยุนหว่านหนิงได้ยินดังนั้น ดวงตาของนางก็เป็นประกาย “เป็นความคิดที่ดีนัก!”
วังอี๋เหนียงผู้นั้นนางเคยเห็นมาก่อน เป็นคนที่นับว่าเฉลียวฉลาดมิเบา
แม้ว่าบัดนี้หนานกงเยว่จะเพิ่งสูญเสียบุตรไป และวังอี๋เหนียงเป็นผู้ดูแลจวน
แต่เมื่อหนานกงเยว่ออกจากการอยู่เดือน นางก็จะกลับมากุมอำนาจอีกครั้งอย่างแน่นอน……แต่มิใช่สิ่งสำคัญ หยุนหว่านหนิงเชื่อในความสามารถของวังอี๋เหนียง!
สิ่งที่นางต้องการก็คือมัดใจของโม่เหยียนไว้ให้แน่น
ชีวิตของล่ายซื่อคงมิดีแน่เมื่อก้าวเข้าสู่จวนอ๋องฉู่!
“เป็นความคิดที่ดี ส่งล่ายซื่อไปที่นั่นโดยเร็วที่สุด”
หยุนหว่านหนิงยิ้มขึ้น “หากจำเป็นละก็ ข้าจะเลือกคนหนึ่งคนเพื่อส่งไปที่จวนอ๋องฉู่เดือนเว้นเดือน”
“อ๋องฉู่ช่างโชคดีนัก มิใช่ทุกคนที่ได้รับความสุขเช่นนี้!”
หรูเยียนรับคำสั่งแล้วจากไป
หลังจากนั้นมินาน นางก็กลับมารายงานว่านางพบเข้ากับอ๋องโจวที่ถนนฉางอัน ระหว่างทางไปส่งล่ายซื่อที่จวนอ๋องฉู่
“เขามาทำอะไรที่ถนนฉางอัน?”
หยุนหว่านหนิงยืดกายตรง
ช่วงนี้โม่เหว่ยมีการ “เคลื่อนไหวใหญ่” งั้นหรือ?!
ร่างกายของเขายังมิหายดี
แต่การที่เห็นเขาเดินทางออกมาข้างนอกบ่อยครั้งเช่นนี้ หรือเขาจะมีแผนการใด?
“จากที่บ่าวเห็น เขาเดินเข้าไปในร้านตัดเย็บเพคะ”
หรูเยียนตอบตามความจริงว่า “ดูเหมือนจะต้องการตัดชุดใหม่”
บัดนี้อารมณ์ความคิดของหยุนหว่านหนิงซับซ้อนขึ้นกว่าเดิม “ตัดชุดใหม่หรือ? เขาเป็นถึงอ๋องโจว เขาขาดแคลนเสื้อผ้าตั้งแต่เมื่อไร! เหตุใดจึงต้องเดินทางออกมาตัดชุดใหม่?”
“อีกอย่าง หากเขาต้องการละก็ เพียงเรียกให้ร้านตัดเย็บเดินทางไปที่จวนอ๋องก็ย่อมได้ เหตุใดต้องเดินทางออกมาด้วยตนเอง?”
“เรื่องนี้บ่าวมิแน่ใจเพคะ”
หรูเยียนส่ายหน้า “แต่จากที่บ่าวเห็น ผู้ที่เดินทางออกไปกับอ๋องโจว ในมือถือของมิน้อย!”
“อ๋องโจวชื่นชอบการเดินเลือกซื้อของหรือ?”
หยุนหว่านหนิงขมวดคิ้ว “นอกเหนือจากนั้น ยังมีอะไรผิดปกติอีกไหม?
หรูเยียนส่ายหน้า
ต่อมานางก็เอ่ยว่า “แต่ตอนที่บ่าวส่งตัวล่ายซื่อไปจวนอ๋องฉู่ วังอี๋เหนียงช่างยินดียิ่งนัก! นางพาล่ายซื่อเข้าไปด้วยตนเอง ทั้งยังให้บ่าวบอกกับพระชายาว่า นางจะ‘ดูและ’ล่ายซื่อเป็นอย่างดี!”
ดูเหมือนวังอี๋เหนียงจะเข้าใจความหมายดี
หยุนหว่านหนิงยิ้มว่า “ดียิ่งนัก”
“อ้อจริงสิ เจ้าจงส่งคนไปติดตามดูอ๋องโจวสักหน่อย ข้าจะออกไปข้างนอก”
นางรู้สึกว่าโม่เหว่ยผิดปกติไป
เมื่อคืนนี้จู่ๆ ก็เดินทางมาที่จวน ทั้งยังนำของมีค่ามากมายมาให้ กล่าวว่านำมามอบให้เนื่องในโอกาสวันเกิดหยุนเจิ้นซง……
นี่ดูมิเหมือนนิสัยของโม่เหว่ยนัก!
“พระชายาจะไปที่ใดหรือเพคะ? ให้บ่าวไปด้วยนะเพคะ!”
เนื่องด้วยเกรงว่าหยุนหว่านหนิงจะเกิดอันตรายขึ้น หรูเยียนจึงขอเดินทางติดตามไป
“มิจำเป็นหรอก ข้าจะเข้าวังสักหน่อย เมื่อคืนนี้อ๋องโจวได้นำของมามอบให้เสด็จแม่ในวันเกิด ดังนั้นข้าจะเดินทางนำไปให้ด้วยตนเอง”
หยุนหว่านหนิงหยิบห่อผ้าไหมเดินเข้าวังไป
เมื่อนางนำของขวัญไปให้ และเมื่ออีกฝ่ายรู้ว่าเป็นของโม่เหว่ย……
เต๋อเฟยถึงกับตกตะลึง!
หลังจากเอ่ยถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของโม่เหว่ยแล้ว เต๋อเฟยก็พยายามเชิญชวนให้หยุนหว่านหนิงอยู่รับประทานอาหารกลางวันด้วยกันก่อน แต่นางปฏิเสธ
หยวนเป่าถูกโม่จงหรานพาตัวเข้าราชวังมาแต่เช้า ตั้งใจมิให้พบกับหยุนหว่านหนิง
นางตั้งใจว่าจะทำงานในมือให้สำเร็จก่อน แล้วจึงเข้าวังรับหยวนเป่าในตอนบ่าย
หลังออกจากวัง หยุนหว่านหนิงก็เดินตรงไปยังที่ซ่อนของพรรคเหยเฟิง
ขณะนั้น มังกรตาเดียวกำลังนอนอาบแดดอยู่ใต้ชายคา
หิมะตกติดต่อกันมา 2-3 วันแล้ว ในที่สุดอากาศก็ปลอดโปร่งและมีแสงแดดส่องบ้าง ชายร่างกำยำ 2-3 คนเล่นปาหิมะและปั้นตุ๊กตาหิมะกันในสนามอย่างสนุกสนาน
เมื่อเห็นหยุนหว่านหนิงกำลังเดินเข้ามา กลุ่มชายฉกรรจ์ที่มิได้สวมเสื้อผ้าก็รีบเข้ามาทักทายนาง “สวัสดีกูหน่ายนาย!”
เมื่อได้ยินคำว่า “กูหน่ายนาย” มังกรตาเดียวก็กระโดดขึ้นจากเก้าอี้ทันที
เมื่อครู่เขายังอยู่ที่ทางเดิน เวลามิถึงหนึ่งเฮือกอึดใจ เขาก็เข้าไปหาหยุนหว่านหนิง”สวัสดี กูหน่ายนาย!”
“มีอะไรก็ไปทำเถอะ! ข้ามีเรื่องจะคุยกับมังกรตาเดียว”
หยุนหว่านหนิงเดินตรงเข้าไปข้างในห้อง
ภายในห้องมีถ่านถูกจุดไฟไว้ แม้จะสู้ถ่านหยินซวงไม่ได้ แต่ก็มิได้ทำให้สำลัก
มังกรตาเดียวเดินตามนางเข้าไปด้านใน “กูหน่ายนาย ท่านมิได้กำชับให้พวกเรา ทำภารกิจได้มาพักหนึ่งแล้ว ข้ากลัวว่า ท่านจะทอดทิ้งพวกเราไปแล้วเสียอีก
เมื่อมิได้ถูกหยุนหว่านหนิงอบรมเฆี่ยนตี ทำให้มังกรตาเดียวรู้สึกว่ามิคุ้นชิน
หยุนหว่านหนิงหันไปเหลือบมองเขากล่าวว่า “ตอนนี้ข้ามีเรื่องมาให้ทำแล้วมิใช่หรือ?”
นางทำสีหน้าเคร่งขรึม “ข้ามีเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งต้องการให้เจ้าไปทำ……”