อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 403 รับหยวนเป่า เต๋อเฟยแกล้งป่วย
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 403 รับหยวนเป่า เต๋อเฟยแกล้งป่วย
หยุนหว่านหนิงชะโงกหน้าเข้าไปข้างหูของมังกรตาเดียว นางกระซิบอยู่สองสามประโยค จากนั้นก็กำชับด้วยความหนักแน่นว่า “จงจำเอาไว้ หลังจากนี้หนึ่งเดือนค่อยไป!”
มังกรตาเดียวชะงักลง จากนั้นก็พยักหน้าติดต่อกัน
“กูหน่ายนายวางใจเถิดขอรับ ข้ามังกรตาเดียวมิว่าทำเรื่องได้ล้วนทำได้เป็นอย่างดี”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว”
หยุนหว่านหนิงเผยถึงรอยยิ้มอันมีความหมายลึกซึ้งออกมา
หลังจากนี้หนึ่งเดือน รอคอยดูฉากเด็ดเถอะ!
……
ในบ่ายวันนั้น หยุนหว่านหนิงก็เดินทางเข้าวังไปรับหยวนเป่า
เมื่อเต๋อเฟยรู้ว่านางจะเดินทางเข้าวังมารับหยวนเป่า นางก็รู้สึกราวกับเผชิญหน้าศัตรู!
เมื่อครู่โม่จงหรานเพิ่งจะพาหยวนเป่าไปเดินเล่นที่อุทยานหลวง นางจึงกำชับกับหลี่หมัวมัวอย่างรีบร้อนว่า “เหล่าหลี่ ครั้งนี้ต้องพึ่งเจ้าด้วย!”
“ข้ามิอยากเจอหนิงเอ๋อร์ เจ้าจงไปบอกนางว่าข้าป่วย!”
นางกล่าวจบก็ได้เอนกายลงที่เตียง “ปิดประตู ปิดประตู! ข้ามิอยากพบใครทั้งสิ้น!”
หลี่หมัวมัว “……”
“เหนียงเหนียงเพคะ ท่านมิได้ใช้วิธีการแสร้งป่วยมาข่มขู่พระชายา เพราะนางเดินทางมารับพระนัดดาองค์โตใช่หรือไม่?”
หลีหมัวมัวเช็ดเหงื่อ “เหนียงเหนียงเพคะ หม่อมฉันแนะนำว่าทรงอย่าได้ทำเช่นนี้เลย”
เต๋อเฟยเพิ่งซุกกายลงไปในผ้าห่มของนาง
เมื่อได้ยินดังนั้น เต๋อเฟยก็ลุกขึ้นพรวด “เพราะเหตุใด? เจ้าเพียงไปบอกหนิงเอ๋อร์ว่า มีเพียงให้หยวนเป่าอยู่เป็นเพื่อนข้าเท่านั้น ข้าจึงจะดีขึ้น”
หลี่หมัวมัวเหงื่อผุดเต็มหน้าผาก “เหนียงเหนียงเพคะ พระชายาอ๋องมีทักษะการแพทย์สูงส่งนัก”
การที่แสร้งป่วยต่อหน้าหยุนหว่านหนิง มิใช่เป็นการสอนจระเข้ว่ายน้ำหรือ?!
“หากเมื่อถึงเวลานั้น พระชายาเกิดมิพอใจท่านขึ้นมา เหนียงเหนียงจะมิเท่ากับโยนหินใส่เท้าตัวเองหรือเพคะ?”
นางกล่าวโน้มน้าวต่อไปว่า “บัดนี้ความสัมพันธ์ระหว่างท่านและพระชายา มิใช่เรื่องง่ายเลยกว่าจะดีขึ้น”
“อีกอย่าง หม่อมฉันเข้าใจดีว่าเหนียงเหนียงชื่นชอบพระนัดดาองค์โตยิ่งนัก แต่พระนัดดาองค์โตเป็นโอรสของพระชายานะเพคะ! ถึงอย่างไรบุตรก็ต้องอยู่กับมารดาของตน”
หลี่หมัวมัวมองไปที่นางด้วยความตั้งใจว่า “หลายวันมานี้ พระนัดดาองค์โตทรงพำนักอยู่ที่ตำหนักหย่งโซ่ว”
“ที่หม่อมฉันรีบร้อนเพียงนี้ นั่นเพราะเขาคิดถึงพระชายายิ่งนัก เพียงแต่มิได้กล่าวออกมา!”
เต๋อเฟยนิ่งเงียบลง
“เหนียงเหนียง ท่านเองก็ทรงเป็นมารดา! ท่านดูเถิดว่าการที่พระชายาอดทนมิมาพบหน้าพระนัดดาองค์โตได้ถึงสองวัน นั่นก็เพราะนางรู้ว่าท่านและฮ่องเต้คิดถึงพระนัดดา!”
“มารดาคนใดเล่าที่มิจะมิคิดถึงบุตรของตน?”
หลี่หมัวมัวส่ายหน้า “วันนี้พระชายาอ๋องหมิงเดินทางมาถึงสองหน ท่าทีของนางแสดงออกมาให้เห็นชัดเจนแล้วเพคะ!”
เต๋อเฟยชะงักลงเล็กน้อย “แต่ว่า หยวนเป่าเพิ่งมาอยู่กับข้าได้เพียงมิกี่วัน……ข้ายังมิอยากให้เขาไป!”
“เหนียงเหนียง ทรงใจแคบงั้นหรือเพคะ?”
หลี่หมัวมัวยิ้มแล้วกล่าวว่า “พระนัดดาองค์โตสามารถเข้าวางมาอยู่กับเหนียงเหนียงได้ทุกวัน จากที่บ่าวมองดูพระชายาอ๋องทรงมีน้ำพระทัยมากมายเหลือเกินแล้ว เหนียงเหนียงท่านก็ควรที่จะปล่อยมือ และทำตนเป็นแม่สามีที่มีเหตุมีผลบ้างนะเพคะ”
ประโยคนี้คงมีแต่หลี่หมัวมัวที่กล้ากล่าว
เต๋อเฟยเอนกายลงด้วยความง่วง “เหล่าหลี่ เจ้ากล่าวได้ถูกแล้ว”
“เช่นนั้นเจ้าจงไปบอกหนิงเอ๋อร์ว่า หยวนเป่าไปที่อุทยานหลวงกับฮ่องเต้ ให้นางเดินทางไปรับที่อุทยานหลวง มิต้องเดินทางมาหาข้าแล้ว”
นางพลิกตัวหันหน้าเข้าหากำแพง หันหลังให้แก่ประตู
ท่าทางของนางดูมิอยากสนทนากับผู้ใด และอยากอยู่เงียบๆ ตามลำพัง
เต๋อเฟยที่เมื่อครู่ดุดันดั่งราชสีห์ มังกร กลับเหี่ยวเฉากลายเป็นมะเขือเผาไปชั่วพริบตา
หลี่หมัวมัวรู้สึกปวดใจยิ่งนัก นางจึงถอนหายใจเบาๆ กล่าวว่า “เหนียงเหนียงเพคะ พระชายาจะรับรู้ถึงความดีของเหนียงเหนียงได้อย่างแน่นอน”
ภายใต้อารมณ์ด้านลบ เต๋อเฟยเริ่มน้ำตานองหน้าแล้วกล่าวว่า “ข้ามิจำเป็นต้องให้ใครมารับรู้ว่าข้าเป็นคนดีหรือไม่ เยว่เอ๋อร์และหนิงเอ๋อร์ เจ้าเด็กสองคนเอ๊ย”
“หยวนเป่าโตขนาดนี้แล้ว เพิ่งจะบอกให้ข้ารู้”
“นางปิดบังความจริงต่อฮ่องเต้และข้าก็ยังมิเท่าไร ในครั้งนั้น ตอนที่ข้าได้ยินมาจากเฟยเฟย ข้าก็ได้เดินทางไปยังจวนอ๋องแม้ยามดึกดื่นเพื่อไปหาหยวนเป่า แต่หนิงเอ๋อร์แม่เด็กคนนั้น กลับใช้ลูกของคนอื่นมาหลอกลวงข้าอีก……
เต๋อเฟยยิ่งกล่าวยิ่งรู้สึกเสียใจ “เจ้าคิดว่าชีวิตข้าง่ายนักหรือ?”
“แต่ถึงกระนั้นข้าก็มิได้โมโห ข้าเพียงต้องการให้หยวนเป่าอยู่กับข้าบ้างสักหน่อยจะเป็นไรไป”
นางสะอึกสะอื้น บ่านางกระตุกเล็กน้อย “ข้าเป็นย่าแท้ๆ ของหยวนเป่า แต่พวกเขากลับเห็นข้าเป็นอะไร?”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงดังมาจากประตู หลี่หมัวมัวก็ได้รีบหันศีรษะกลับไปดู
พบว่าเป็นหยุนหว่านหนิงเดินจูงมือหยวนเป่าเข้ามา……
นางตั้งใจจะคารวะ แต่ถูกหยุนหว่านหนิงส่ายหน้าหักห้ามเอาไว้เสียก่อน
หลี่หมัวมัวเข้าใจดี จึงยืนอยู่ด้านข้างอย่างช่วยมิได้
เต๋อเฟยยังคงจมอยู่กับความเจ็บปวดด้วยการพลัดพราก นางร้องไห้อย่างเศร้าใจโดยมิรู้ว่าหยุนหว่านหนิงและหยวนเป่าเข้ามาข้างในแล้ว มิเพียงแต่ทั้งสองคนแม่ลูก ด้านหลังยังมีโม่เยว่และโม่จงหรานตามมาด้วย
“หัวใจของข้าแทบจะแตกสลายอยู่แล้ว ผู้ใดเล่าจะเข้าใจข้าได้?”
หยุนหว่านหนิงมองไปที่แผ่นหลังของนางด้วยความขบขัน
“เสด็จแม่ทรงเป็นอะไรหรือเพคะ?”
เมื่อจู่ๆ ได้ยินน้ำเสียงของหยุนหว่านหนิง เต๋อเฟยคิดว่านางหูฝาดไปเสียด้วยซ้ำ
สีหน้าของนางเปลี่ยนไปทันทีแล้วหันหลังกลับมา พบหยุนหว่านหนิงยืนอยู่ข้างเตียงด้วยรอยยิ้ม
“เจ้ามาได้อย่างไร?”
เต๋อเฟยรีบเช็ดน้ำตา
“เสด็จย่า……”
หยวนเป่าโผเข้าไปในอ้อมกอดของนาง กะพริบตาแล้วยื่นมือมาเช็ดน้ำตาให้แก่นาง “เสด็จย่าเป็นอะไรไปหรือ เหตุใดจึงได้ร้องไห้เล่า ผู้ใดกันทำร้ายท่าน หลานจะไปแก้แค้นให้เอง”
น้ำตาของเต๋อเฟยไหลนองออกมาด้วยความปีติมากขึ้น
นางโผกอดหยวนเป่า “แม่ของเจ้ารังแกย่า”
“นางจะรับเจ้าไป ทำให้เราย่าหลานต้องแยกจากกันฮือๆ ……”
หยุนหว่านหนิงหัวเราะออกมาดังหึๆ
หยวนเป่าเองก็มิรู้จะทำเช่นไร “ฝ่ายหนึ่งก็คือท่านแม่ อีกฝ่ายหนึ่งก็คือเสด็จย่า มิว่าผู้ใดหยวนเป่าก็ล้วนรักทั้งนั้น ช่างลำบากใจเหลือเกิน”
เขาส่ายหน้าเบาๆ “เสด็จย่า ให้หลานหอมแก้มเสด็จย่าและท่านแม่คนละครั้งได้หรือไม่?”
เมื่อกล่าวจบเขาก็เข้าไปหอมแก้มเต๋อเฟยทีหนึ่ง และหอมแก้มหยุนหว่านหนิงทีหนึ่ง “เอาละ เสด็จย่า บัดนี้ท่านมิโกรธแล้วใช่หรือไม่?”
“มิโกรธแล้ว มิโกรธแล้วล่ะ!”
เต๋อเฟยกอดหยวนเป่าเอาไว้อย่างมีความสุข
เจ้าหนูน้อยที่น่ารักเฉลียวฉลาดเช่นนี้ จะให้นางปล่อยกลับไปได้อย่างไร?
น้ำเสียงหัวเราะคิกคักของโม่จงหรานและโม่เยว่ดังขึ้นจากตรงประตู
เต๋อเฟยรู้ได้ทันทีว่านางจะระบายอารมณ์โกรธไปที่ใด “ฝ่าบาท ทรงเข้ามาเถิดเพคะ”
โม่เยว่ส่งสายตาไปทางโม่จงหรานเป็นความหมายว่าลูกขออวยพรให้
โม่จงหรานสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขาเดินเข้าไปในตำหนักอย่างช่วยมิได้ “สนมรัก เจ้าเป็นอะไรไป?”
“ฝ่าบาทเพคะ ในเมื่อทรงรู้ตั้งแต่แรกแล้วเรื่องของหยวนเป่า แล้วเหตุใดจึงต้องปิดบังหม่อมฉันด้วย ในสายตาของท่าน หม่อมฉันเป็นคนที่ปากมากมิอาจเก็บความลับอยู่ใช่หรือไม่?”
เต๋อเฟยเริ่มตำหนิเขา ส่วนโม่จงหรานก็นั่งอยู่ข้างเตียงฟังนางตำหนิอย่างว่าง่าย
ผ่านไปมินานความโมโหในใจของเต๋อเฟยก็ค่อยๆ จางหาย
นางอุ้มหยวนเป่าลงพื้นคืนให้แก่หยุนหว่านหนิงด้วยท่าทีมิพอใจนัก “เอาละๆ พวกเจ้าสามคนพ่อแม่ลูกรีบออกจากวังไปเสีย นี่เป็นเวลาเท่าใดแล้ว แต่ข้าคงมิรั้งพวกเจ้าร่วมมืออาหารค่ำด้วยนะ”
นางเกรงว่าหากให้ทั้งสามอยู่ต่อ นางก็จะแย่งหยวนเป่ากับหยุนหว่านหนิงอีกครั้ง
หยุนหว่านหนิงกอดหยวนเป่าเอาไว้แล้วคารวะเต๋อเฟยกับโม่จงหราน ขณะที่กำลังจะจากไปก็ได้ยินเต๋อเฟยเอ่ยตะโกนขึ้นว่า “ช้าก่อน!”
“เหล่าหลี่ เจ้าจงเก็บของของหยวนเป่าหลานรักข้าให้พวกเขานำกลับไปด้วย”
เต๋อเฟยหันหลังให้แก่พวกเขาแล้วส่งเสียงพึมพำ
เพียงแค่ได้ยินน้ำเสียงนั้นก็รู้ได้ว่านางร้องไห้อีกแล้ว
หลี่หมัวมัวทำการเก็บของให้แก่หยวนเป่า จากนั้นสามคนพ่อแม่ลูกจึงเดินทางออกจากวังกลับจวน
เจ้าเด็กนี่!
อาศัยอยู่ในตำหนักหย่งโซ่วเพียงมิกี่วันเท่านั้น สิ่งของของหยวนเป่าก็มากมายเสียจนหยุนหว่านหนิงถึงกับต้องตกตะลึง
มีทั้งของเล่นที่โม่จงหรานสั่งให้คนทำมาให้เขาเล่น มีทั้งขนมและเสื้อผ้าใหม่ๆ ที่เต๋อเฟยสั่งให้วังหลวงจัดหามาให้
มองไปละลานตา
เขาเป็นดุจดั่งสมบัติล้ำค่าที่โม่จงหรานและเต๋อเฟยทะนุถนอมทุ่มเทให้ทุกอย่างจริงๆ
เมื่อกลับมาถึงจวนอ๋อง หรูเยียนก็ได้ยื่นจดหมายมาให้ฉบับหนึ่ง “พระชายาอ๋องเพคะ มีจดหมายถึงท่าน”