อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 407 สินเดิม หนีด้วยความสิ้นหวัง
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 407 สินเดิม หนีด้วยความสิ้นหวัง
“ข้า ข้าเป็นพ่อของเจ้า!”
หยุนเจิ้นซงกัดฟันกล่าว
“พ่อหรือ?”
หยุนหว่านหนิงวางผ้าเช็ดหน้าในมือลง หัวเราะอย่างเยือกเย็นเอ่ยว่า “นับแต่นี้เป็นต้นไป ข้าจะมีพ่อเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น นั่นก็คือเสด็จพ่อ หากท่านยังกล้าเอ่ยว่าท่านเป็นพ่อของข้า ก็ตามแต่จะประสงค์”
หยุนเจิ้นซงโมโหเสียจนเบิกตากว้างหายใจฟุดฟิด “เจ้าแต่งกับราชวงศ์ก็ตัดขาดความเป็นพ่อลูกกับข้าเลยงั้นหรือ?”
“อยากจะให้ข้ายอมรับท่านเป็นพ่อก็ได้”
หยุนหว่านหนิงลุกขึ้นยืน
นางปัดฝุ่นที่ชายกระโปรง “ก่อนหน้านี้เป็นท่านเองที่ตั้งใจจะขีดเส้นแบ่งเขตแดนกับข้า บัดนี้ท่านก็ยังเป็นคนเอ่ยเองว่าข้านั้นมิยอมรับท่าน”
“ข้าเองก็อยากจะถามดูเหมือนกัน ว่าหยุนกั๋วกงมีหัวจิตหัวใจหรือไม่?”
หยุนเจิ้นซงคิดมิถึงว่าในเวลานี้นางจะหยิบบัญชีเก่าขึ้นมาขุดคุ้ย
นับตั้งแต่นางถูกกักบริเวณ นางก็มิเคยขุดเรื่องในอดีตมาเอ่ยถึงเลยสักครั้ง
เมื่อพบว่าเขาก้มหน้ามิพูดจา หยุนหว่านหนิงจึงได้กล่าวถึงเรื่องราวในอดีตต่อไปว่า “ในตอนนั้นที่แม่ของข้าล้มป่วย ท่านก็ได้จัดเตรียม สินเดิมสำหรับออกเรือนไว้ให้ข้า”
เพราะในตอนนั้น นางกู้รู้ได้ว่าหยุนเจิ้นซงเป็นคนที่มิอาจวางใจช่วยเหลือสิ่งใดได้
ดังนั้นก่อนที่นางจะป่วยจนสิ้นใจไป นางก็ได้จัดเตรียมสินเดิมเอาไว้ให้บุตรสาวก่อนหน้าแล้ว
เพื่อมิให้นางตกเป็นขี้ปากตอนออกเรือน
“ข้าจำได้อย่างชัดเจนว่าแม่ของข้าเตรียมสินเดิมเอาไว้ให้ข้าทั้งสิ้น 138 หาบ
หยุนหว่านหนิงยืนเอามือไขว้หลัง เดินไปตรงหน้าเขาอย่างช้าๆ “ในตอนนั้นที่ข้าแต่งเข้ามาในจวนอ๋องหมิง หยุนกั๋วกงนำมาให้ข้าเพียงแค่ 98 หาบเท่านั้น
“ที่เหลืออีก 40 หาบ หยุนกั๋วกงเก็บเอาไว้ใช้เองงั้นหรือ?”
ใบหน้าอันเหี่ยวย่นของหยุนเจิ้นซงก็แดงเรื่อ
จะเอ่ยถึงเรื่องราวในอดีตอย่างไรก็ว่าไป เหตุใดจึงได้เอ่ยเรื่องสินเดิมขึ้นมาอีกเล่า?
“เจ้าจำผิดไปแล้วกระมัง”
หยุนเจิ้นซงมิกล้ายอมรับ “ในตอนนั้นแม่เจ้าจัดเตรียมเอาไว้ให้เพียง 98 หาบ และข้าก็นำทั้งหมดนี้มาให้แก่จวนอ๋องหมิงแล้ว
เจ้าอย่าได้มาใส่ความ หากมิเชื่อเจ้าจงไปถาม……”
“ถามผู้ใดได้เล่า?”
หยุนหว่านหนิงหันหลังกลับไปมองเขา “ให้ข้าไปถามท่านแม่งั้นหรือ แต่ท่านแม่จากโลกนี้ไปตั้งนานแล้ว!”
หยุนเจิ้นซงเชื่อมั่นว่านางจากไปแล้วจึงไร้หลักฐานพยาน ด้วยเหตุนี้เขาจึงยืนกรานมิยอมรับ
“มิต้องตื่นตระหนกไป ข้ามีบันทึกจากท่านแม่ที่ทิ้งเอาไว้ให้ ข้างในนั้นมีรายละเอียดต่างๆ อย่างพร้อมครบว่าท่านแม่จัดเตรียมสินเดิมไว้ให้ข้าเท่าไรบ้าง”
นางจ้องไปที่หยุนเจิ้นซงตาเขม็ง “และสิ่งใดบ้างที่หายไป ข้าจำได้ขึ้นใจ”
“หากหยุนกั๋วกงมิต้องการให้เรื่องนี้ต้องขึ้นโรงขึ้นศาล ข้าให้เวลาท่านสองวันในการคืนสินเดิมอีก 40 หาบมาให้ข้า มิเช่นนั้น……”
นางเผยอริมฝีปากขึ้น แสดงออกถึงความข่มขู่อย่างชัดเจน
หยุนเจิ้นซงกัดฟันกรอด “ข้ามิเข้าใจว่าเจ้ากำลังกล่าวถึงเรื่องใด”
“เสแสร้งแกล้งทำมิรู้เรื่องงั้นหรือ มิเป็นไรหรอก”
หยุนหว่านหนิงโบกมือแล้วนั่งลงบนประตูธรณีอีกครั้ง “เราจะให้ผู้ที่สัญจรไปมามาตัดสินความยุติธรรมให้เราหน่อยหรือไม่?”
“หลายปีมานี้ข้าเคารพนับถือท่านในฐานะบิดา จึงมิเคยคิดจะฉีกหน้าท่าน แต่ท่านกลับหาเรื่องข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ดังนั้นอย่าโทษว่าข้ามิไว้หน้าท่าน”
เมื่อได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ ผู้คนสัญจรก็ต่างพากันตรงเข้ามามุงดู
หยุนเจิ้นซงแทบมุดแผ่นดินหนี เขาอับอายจนต้องรีบลุกขึ้นเดินจากไป
“หยุนกั๋วกง อย่าเพิ่งไปไหนสิ”
หยุนหว่านหนิงเดินตามไปสองสามเก้า “อย่าลืมเล่า ข้าให้เวลาเพียงแค่สองวันเท่านั้น หลังจากนี้สองวันหากมินำมาคืนด้วยตนเองล่ะก็ ข้าคงต้องไปร้องที่จวนกั๋วกง”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ หยุนเจิ้นซงก็รีบก้าวเท้าเดินออกไปอย่างรวดเร็วขึ้นกว่าเดิม ร่างของเขาหายไปในฝูงชน
หยุนหว่านหนิงเงยหน้ามองดูแสงสว่างบนท้องฟ้าแล้วกล่าวว่า “วันนี้อากาศช่างดีเหลือหลาย เหมาะแก่การทวงหนี้ยิ่งนัก”
นางมองไปทางผู้ที่เข้ามามุงดู จากนั้นยิ้มแล้วกล่าวว่า “ข้าอวยพรสวัสดีปีใหม่พวกท่านล่วงหน้า!”
ผู้คนทั้งหลายพากันตอบรับ
หยุนหว่านหนิงโบกไม้โบกมือแล้วกล่าวว่า “จงแยกย้ายกันเถอะ”
เมื่อพบว่าทุกคนเดินทางจากไปแล้ว นางจึงเดินเอามือไขว้หลังเข้าไปด้านในตรงประตูอย่างช้าๆ “จู่ๆ ก็มาหาเรื่องข้า หยุนเจิ้นซง ตาเฒ่านี่หน้ามิอายจริง!”
สินเดิมที่หายไปทั้ง 40 หาบนั้น เมื่อได้กลับคืนมา นางจึงรู้สึกว่าตนมั่งคั่งขึ้น
หรูเยียนเดินตามมาข้างหลังแล้วกล่าวว่า “พระชายาเพคะ แล้ววันเกิดของหยุนกั๋วกง ท่านจะเดินทางไปหรือไม่?”
“ไปทำอะไรกัน เขาอยากจะขูดเลือดขูดเนื้อข้าน่ะสิ!”
หยุนหว่านหนิงกล่าวออกมาด้วยความหงุดหงิดใจว่า “ข้ามิไปหรอก!”
……
ในบ่ายวันนั้น โม่ฮั่นอี่ว์และโจวหยิงหยิงก็เดินทางมาที่จวนอ๋อง ทั้งสองคนในมือถือห่อเล็กห่อใหญ่มากันมิน้อย
หยุนหว่านหนิงมองดูด้วยความประหลาดใจ “พวกเจ้ามาทำอะไรกันหรือ?”
“เราเดินทางมาเอ่ยขอบคุณน้องเจ็ด”
โม่ฮั่นอี่ว์กล่าวว่า “เดิมทีเสด็จพ่อมิอยากมอบค่ายห้ากองพลให้แก่ข้า แต่น้องเจ็ดช่วยข้ากล่าวเพียงเล็กน้อย เสด็จพ่อก็ยอมมอบค่ายห้ากองพลแก่ข้าแล้ว”
“ตั้งจากวันนี้ข้าก็เป็นคนที่ทำเรื่องใหญ่แล้ว”
เขายกมือขึ้นเท้าเอวอย่างเย่อหยิ่งภาคภูมิใจ
โจวหยิงหยิงเหลือบตามองเขาแล้วกล่าวกับหยุนหว่านหนิงด้วยรอยยิ้มว่า “ครั้งนี้ต้องขอบคุณน้องเจ็ดมาก”
“นอกจากนี้ข้ายังมีข่าวดีอยากจะบอกเจ้าด้วย”
นางลากหยุนหว่านหนิงไปด้านข้าง จากนั้นกล่าวด้วยความตื่นเต้นว่า “เจ้าคงยังมิรู้กระมัง ที่จวนอ๋องฉู่นั้นเกิดเรื่องขึ้นมากมายทีเดียว”
“บัดนี้ในจวนอ๋องฉู่มีหญิงงามมากมาย หนานกงเยว่ก็ยังคงอยู่เดือน นางต้องพักผ่อนรักษาร่างกาย มิอาจรับใช้อ๋องฉู่ได้ จึงเป็นการเปิดโอกาสให้แก่หญิงงามทั้งหลายนี้”
หยุนหว่านหนิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ตัวโม่หุยเหยียนเองก็ได้รับบาดเจ็บมิใช่หรือ?”
เหตุใดเขาสามารถมอบความรักแก่หญิงสาวงดงามเหล่านั้นได้เล่า?
“บาดเจ็บแล้วอย่างไรเล่า? บุรุษล้วนเป็นสัตว์ที่ใช้เบื้องล่างในการคิด”
หยุนหว่านหนิง “…… เจ้ากล่าวได้ถูกต้องแล้ว ข้ามิมีอะไรจะโต้เถียงเลย”
โม่ฮั่นอี่ว์เข้ามาเอ่ยแทรกอย่างมิพึงพอใจนัก “หยิงหยิง ประโยคนี้ของเจ้าข้ามิชื่นชอบนัก ข้าปฏิบัติต่อเจ้าด้วยรักเดียวใจเดียวอย่างแน่แท้!”
“อย่างเจ้านั้นเรียกว่า มีใจคิดแต่มิกล้าทำ”
สองสามีภรรยาถกเถียงกันไปมา ทำเอาหยุนหว่านหนิงถึงกับขำขัน
โม่เยว่ตรงเข้ามาแล้วพาโม่ฮั่นอี่ว์ไปยังห้องหนังสือ
ทั้งสองคนนี้ช่างเข้าอกเข้าใจพวกเขาเสียจริง สิ่งของทั้งหมดที่เอามา โดยมากแล้วล้วนนำมาให้หยวนเป่า
“หยวนเป่าเล่า?”
โจวหยิงหยิงเอ่ยถาม “เถียนเถียนกล่าวว่ามิได้เจอกับพี่หยวนเป่านานแล้ว และคิดถึงเขายิ่งนัก กำชับให้ข้ามาเอ่ยนัดแนะหยวนเป่า เมื่อไหร่จะวางไปเล่นด้วยกัน”
หยุนหว่านหนิงทำท่าทางหดหู่ใจ “หยวนเป่าถูกเสด็จแม่ลากตัวเข้าไปในวังแล้วละ”
“คาดว่าพรุ่งนี้กระมังจึงจะถูกส่งกลับมา”
ช่วงที่ผ่านมานี้ บางคราก็เป็นโม่จงหรานพาเขาเข้าประชุมเช้าและสอนเขาถึงเรื่องงานต่างๆ
บางคราเต๋อเฟยก็รับหยวนเป่าไปที่ตำหนักหย่งโซ่ว ผ่านไปวันสองวันจึงพากลับมา
ในฐานะมารดา อยากจะให้บุตรชายอยู่เป็นเพื่อนมิใช่เรื่องง่ายเลย
แล้วโจวเถียนเถียน เมื่อไหร่จะถึงตาของนางเล่า
รอไปก่อนแล้วกัน
‘ช่างน่าสงสารเจ้าหนูน้อยยิ่งนัก’
หยิงหยิงกล่าวขึ้นว่า “หยวนเป่าเป็นพระนัดดาองค์โตของฮ่องเต้ ดังนั้นจึงมีหน้าที่มากมาย แต่ถึงกระนั้นอายุก็ยังน้อย เขาคงจะเหนื่อยน่าดู มิอาจใช้ชีวิตสนุกสนานดังเช่นเถียนเถียนได้”
“นั่นสิ”
หยุนหว่านหนิงถอนหายใจออกมา
เนื่องจากว่าเป็นพระนัดดาองค์โต ดังนั้นเขาจึงแบกหน้าที่ภาระมากมายไว้บนบ่า
หยวนเป่ามิอาจใช้ชีวิตเช่นเด็กธรรมดาทั่วไปได้ ที่เที่ยวเล่นสนุกสนานในทุกวัน
“แต่โชคดีที่ใกล้จะปีใหม่แล้ว คาดว่าคงจะได้พักสักระยะ”
นางยิ้มแล้วกล่าวว่า “มะรืนนี้เป็นเทศกาลตรุษจีนพอดี เป็นวันแห่งการเริ่มต้นใหม่ของสรรพสิ่ง พวกเราพาเด็กๆ ไปสัมผัสบรรยากาศเทศกาล เพื่อให้หยวนเป่าได้ผ่อนคลายกันเถอะ”
“แผนของเจ้าช่างดีนัก”
โจวหยิงหยิงยกนิ้วโป้งขึ้นให้นาง “ใช่แล้วสิ”
สายตาของนางมองออกไปด้านนอกด้วยความรู้สึกลึกลับเล็กน้อย “วันนี้หยุนกั๋วกงได้เดินทางไปหาพวกเราที่จวนอ๋องอี่ว์ ทั้งยังเชิญข้ากับท่านอ๋องไปร่วมงานวันเกิดของเขาด้วย”
“อีกทั้งยังเดินทางไปเชิญเฉินซื่อเสวียด้วยนะ แต่ว่าฉินซื่อเสวียกลับมีอาการทางจิตบ้าบ้าบอบอ……”
ยังมิทันกล่าวจบ หรูเยียนก็เดินกลับเข้ามาพร้อมผู้ที่ติดตามมาสองสามคนด้านหลัง
บ่าวรับใช้เหล่านั้นแบกสิ่งของเข้ามาข้างใน มิรู้ว่าใส่อะไรมา
หยุนหว่านหนิงขมวดคิ้วขึ้น “สิ่งเหล่านี้คืออะไร เป็นผู้ใดที่นำมา?”