อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 410 แขกมิได้รับเชิญ
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 410 แขกมิได้รับเชิญ
“ผู้ใด?”
โม่เยว่จัดแจงกับชุดสวมสำหรับเข้าประชุมเช้า จากนั้นจึงก้าวไปเปิดประตู
ด้านนอกคือหยุนหว่านหนิงที่สวมเสื้อผ้าเรียบร้อย ภายในอ้อมกอดของนางมีหยวนเป่าซึ่งกำลังหลับอยู่
“หนิงเอ๋อร์ นี่เจ้า……”
โม่เยว่เอ่ยถามด้วยความงุนงง
“เข้าวัง”
หยุนหว่านหนิงตั้งใจเอ่ยออกมา
นางก้มหน้าลงมองดูหยวนเป่าซึ่งกำลังหลับอยู่ “วันนี้ข้าจะพาลูกเข้าวังด้วย เขาว่ามีเรื่องสำคัญ แต่ข้ามิอาจเรียกเขาให้ตื่นได้จึงได้อุ้มออกมาทั้งอย่างนี้”
หรูเยียนที่อยู่ด้านหลังเอื้อมมือมาจัดแจงเสื้อผ้าให้แก่หยวนเป่าจนเรียบร้อย
หยุนหว่านหนิงใช้ผ้าห่มหนาเตอะรัดกุมร่างกายหยวนเป่าเอาไว้ และข้างในยังมีทังผอจื่อ(เป็นเครื่องอุ่นในสมัยโบราณจีน)ให้แก่หยวนเป่าอีกสองถุง
“เมื่อวานนี้หยวนเป่าเพิ่งจะกลับมาที่จวนอ๋องมิใช่หรือ วันนี้จะเข้าวังเพื่อสิ่งใดอีก?”
โม่เยว่เกรงว่านางจะเมื่อยจึงเอื้อมมือมารับหยวนเป่าไป
เจ้าหนูนี่อายุได้สี่ขวบแล้ว ร่างกายเขาหนักมิเบา
หยุนหว่านหนิงสะบัดแขนเพราะนางรู้สึกเมื่อยล้าจริงๆ
“เขามิได้บอกกับข้าว่าเรื่องใด เพียงแต่เมื่อวานนี้ก่อนนอนบอกว่าให้ข้าพาเขาเข้าวังด้วย บอกไว้เพียงว่ามีธุระ บัดนี้ลูกโตแล้ว หากเขามิอยากบอก ข้าเองก็มิอยากจะเอ่ยถามให้รำคาญใจ”
หยุนหว่านหนิงเอ่ยออกมาโดยมิรู้สึกละอาย
หยวนเป่าจะเข้าวังไปทำไมนั้น นางรู้ดีเป็นที่สุด……
สามคนพ่อแม่ลูกขึ้นรถม้า โม่เยว่จึงเพิ่งคิดขึ้นมาได้ว่าเขายังมิได้ล้างหน้าเลย
ประกอบกับที่หยวนเป่ายังมิตื่นขึ้น ดังนั้นรถม้าจึงแล่นไปจนกระทั่งเข้าถึงห้องทรงพระอักษร
บัดนี้เมื่อเห็นรถม้าวิ่งตรงเข้าไปในห้องทรงพระอักษร ขุนนางทั้งหลายก็มิได้รู้สึกแปลกใจ
เมื่อเห็นรถม้าจากจวนอ๋องหมิง ทุกคนก็รู้ได้ทันทีว่าพระนัดดาองค์โตอยู่ด้านใน
พระนัดดาองค์โตเปรียบดั่งชีวิตของฮ่องเต้ ผู้ใดเล่าจะกล้าเข้าไปขัดขวางทาง
เมื่อตรงเข้าไปในห้องทรงพระอักษร โม่จงหรานก็ได้โอบกอดหยวนเป่าเอาอุ้มไปวางไว้บนเตียงด้วยพระองค์เอง โม่เยว่และเขาเดินทางไปล้างหน้าล้างตาด้วยกัน จากนั้นสองพ่อลูกก็เดินเข้าไปในตำหนักฉินเจิ้ง
หยุนหว่านหนิงนั่งรอหยวนเป่าอยู่ที่หน้าห้องทรงพระอักษร
เมื่อสิ้นสุดประชุมเช้า หยวนเป่าก็ได้สวมเสื้อผ้าเป็นที่เรียบร้อย
โม่จงหรานตรงเข้าไปด้านในโอบกอดเขาไว้โดยมิยอมปล่อยมือ หยวนเป่ารีบออดอ้อนขึ้นว่า “เสด็จปู่”
“ทรงรับสั่งให้ท่านท่านลุงรองเข้ามาได้หรือไม่?”
“เจ้าอยากจะพบกับท่านลุงรองของเจ้าหรือ?”
โม่จงหรานจุมพิตเข้าที่แก้มน้อยๆ ของเขา
หยวนเป่าพยักหน้าตอบรับ เขมิได้เอ่ยถามว่ามีเรื่องใด ทำเพียงยกมือข้างหนึ่งขึ้นโบกกำชับว่าเสี่ยวเหลียงจื่อว่า “จงไปตามตัวอ๋องอี่ว์มา”
ผ่านไปมินาน เหลียงเสี่ยวกงก็วิ่งกลับมาด้วยความเหนื่อยหอบ
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ อ๋องอี่ว์เสด็จออกจากวังแล้ว กล่าวว่ารู้สึกหิวโหยตั้งแต่ยังมิทันได้รับประทานอาหาร ดังนั้นจึงขอเดินทางกลับไปรับประทานอาหารเช้าก่อนแล้วค่อยเสด็จมา”
หยุนหว่านหนิงและคนอื่น “……”
หยวนเป่าเป้ริมฝีปาก
โม่จงหรานโมโหขึ้นทันควัน “ไอ้ลูกคนนี้!”
เขาหันไปตะคอกใส่เหลียงเสี่ยวกงกงว่า “เจ้าไร้ประโยชน์ยิ่งนัก เรื่องแค่นี้ยังจัดการมิได้หรือ?”
“ไปเสีย จงไปบอกกับเขาว่าให้เขาเดินทางเข้าวังบัดเดี๋ยวนี้ หากว่าขัดขืนคำสั่งข้า ข้าจะตีให้ขาหักเชียว!”
หยวนเป่ารีบเอ่ยห้ามว่า “เสด็จปู่พ่ะย่ะค่ะ อย่าได้โกรธเลย”
อาจเป็นเพราะการที่เขาข่มขู่จะตีขาให้หัก ทำให้หลานสุดที่รักของเขาเกรงกลัวขึ้นมางั้นหรือ?
โม่จงหรานจึงรีบสงบสติอารมณ์ลง “จงสั่งให้เจ้าสองรีบเดินทางเข้าวังบัดเดี๋ยวนี้ หากว่าเขาขัดขืนคำสั่งข้า ก็ให้นำเชือกไปมัดตัวมา”
เหลียงเสี่ยวกงกงรับคำสั่งแล้วจากไป
ในครั้งนี้โม่ฮั่นอี่ว์ได้เดินทางมาสักที
“เสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ มิทราบว่าทรงรับสั่งให้ลูกเข้าเฝ้าเพื่อสิ่งใด?”
ท่าทีของโม่ฮั่นอี่ว์ดูมิยินดีนัก
เขาเพิ่งจะรับประทานอาหารเช้าเข้าไปได้เพียงคำเดียว
“หยวนเป่าอยากพบเจ้า”
โม่จงหรานมองไปทางเขาด้วยใบหน้าอันเยือกเย็น “ไอ้ลูกคนนี้ ข้าเรียกเจ้ามามิได้งั้นหรือ?”
“ลูกมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ”
โม่ฮั่นอี่ว์หดคอลงทันใด
แต่เมื่อได้ยินว่าหยวนเป่าอยากพบเขาก็ได้ชะโงกหน้าเข้าไปยิ้มแย้มแล้วเอ่ยถามว่า “หยวนเป่า เจ้าอยากจะพบลุงเพราะเรื่องใดหรือ อยากจะเลี้ยงอาหารลุงหรืออย่างไร?”
เขานั่งลงยองๆ ที่พื้นตรงหน้าหยวนเป่า
หยวนเป่ายื่นมือออกไปจับแก้มของเขา “ท่านลุงรอง ท่านควรจะลดน้ำหนักได้แล้ว ท่านดูเหมือนกับปลาตัวอ้วนพีเลย”
โม่ฮั่นอี่ว์แสดงสีหน้าอันหดหู่ออกมา ……
“พวกเจ้าสามคนพ่อแม่ลูก เหตุใดวาจาจึงได้เราะร้ายนัก?”
“ท่านท่านลุงรอง เล่นกับข้าได้หรือไม่ ข้าอยากจะเล่นแบบเดียวกันกับที่เล่นกับท่านในวันนั้น”
หยวนเป่าหัวเราะคิกคักแล้วออกมาจากอ้อมกอดของโม่จงหราน จากนั้นกระโดดเข้าไปสู่อ้อมกอดของโม่ฮั่นอี่ว์ทันที มือน้อยๆ ของเขาจับไปที่ข้อมือ “ท่านท่านลุงรอง เพียงแค่ท่านสามารถเล่นกับข้าได้ ตอนกลางวันข้าจะเชิญท่านไปรับประทานอาหารที่โรงเตี๊ยมเยียนซง”
โรงเตี๊ยมเยียนซงเป็นโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง
โม่ฮั่นอี่ว์ได้ยินดังนั้น แววตาของเขาก็เป็นประกายยินดียิ่ง
“ข้าเป็นท่านลุงรองของเจ้า การที่เล่นกับเจ้าเช่นนี้เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว จะมาเลี้ยงอาหารลุงทำไมกัน อีกอย่างลุงนั้นชอบเล่นกับเจ้ายิ่งนัก”
ระหว่างที่กำลังเล่นกันอย่างสนุกสนาน หยวนเป่าก็ได้ทำการจับชีพจรโม่ฮั่นอี่ว์ได้สำเร็จ
แต่สิ่งที่ทำให้หยุนหว่านหนิงรู้สึกต้องตกตะลึงนั่นก็คือ ตัวโม่ฮั่นอี่ว์เองก็มีมิมีสิ่งใดผิดปกติ
เช่นนั้นพวกเขาทั้งสองคนแต่งงานกันมาได้ตั้งเจ็ดปีเหตุใดจึงมิมีบุตรเล่า?
หยุนหว่านหนิงรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะมีเหตุผลอื่นอย่างแน่นอน คาดว่าคงจะต้องเข้าไปตรวจสอบให้ชัดเจน
……
ในมิช้าก็ดำเนินมาถึงปลายปี
โม่จงหรานได้มอบวันหยุดให้แก่ขุนนางทั้งหลายล่วงหน้าเป็นเวลาสามวัน ในเมืองหลวงเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งการขึ้นปีใหม่ อีกทั้งครึกครื้น ผู้คนแน่นหนา แม้แต่ในวังเองก็ประดับประดาอย่างมีสีสัน
ค่ำคืนแห่งการรวมตัวของครอบครัวก็ยังคงจัดขึ้นในวังดังเดิม
แต่ว่าในคืนวันที่สามสิบเช่นนี้ มีเพียงเชื้อพระวงศ์เท่านั้นที่มารวมตัวกัน
หากเปรียบเทียบกับเมื่อหลายปีก่อน ปีนี้งานเลี้ยงประจำครอบครัวดูเยือกเย็นลงยิ่งนัก
ประการแรก ฮองเฮาจ้าวกลายเป็นใบ้มิอาจพูดได้ ดังนั้นต่อให้นางเดินทางออกมาร่วมงานก็ทำได้เพียงนั่งอยู่เงียบๆ มิอาจเอ่ยสิ่งใดสนทนาได้
ประการที่สอง ครอบครัวของโม่หุยเหยียนทุกคนมิได้เดินทางเข้ามาร่วมงานด้วย
เต๋อเฟยมองไปทางฮองเฮาจ้าวแล้วกล่าวว่า “ถวายบังคมฮองเฮาเหนียงเหนียง”
“จะว่าไปหากเจ้าสามมิอยู่ในเมืองหลวง ภรรยาของเจ้าสามก็มีอาการทางสติ จึงมิอาจเดินทางเข้ามาในวังได้ก็ช่างเถอะ แต่เจ้าใหญ่และภรรยา เหตุใดงานเลี้ยงในปีนี้จึงมิเดินทางมาร่วมด้วย?”
เมื่อกล่าวจบ นางก็ราวกับนึกขึ้นมาได้ว่าฮองเฮาจ้าวมิอาจพูดได้……
“ขออภัยเพคะ หม่อมฉันลืมไปว่าเหนียงเหนียงมิอาจโต้ตอบสนทนาได้”
เต๋อเฟอรีบยกมือขึ้นปิดปากแล้วก้มหน้ายิ้ม
ฮองเฮาจ้าวกัดฟันกรอดด้วยความโมโห
นังผู้หญิงคนนี้ต้องตั้งใจอย่างแน่นอน
“แต่หม่อมฉันได้ยินมาว่าช่วงนี้จวนฉู่อ๋องดูมิสงบเท่าไหร่นัก”
เต่อเฟยถอนหายใจออกมาอีกครั้ง “เจ้าใหญ่ก็จริงเชียว บัดนี้อายุปาเข้าไปเกือบสามสิบแล้ว ภรรยาของเขาก็ให้กำเนิดเพียงแค่ธิดาคนหนึ่ง”
“ทั้งสองแต่งงานกันมาเกือบสิบปีแล้ว เหตุใดจึงยังทะเลาะกันอยู่เรื่อย ได้ยินมาว่าหญิงงามในจวนของเจ้าใหญ่นั้นมากทีเดียว ทำเอาเสียภรรยาของเขาถึงกับโมโหหงุดหงิด”
นางกล่าวอย่างจริงจังขึ้นว่า “ฝ่าบาทเพคะ ท่านทรงตำหนิเจ้าใหญ่บ้างนะเพคะ”
“ดูเขาในตอนนี้สิ เขาเป็นพี่ใหญ่ หากว่าเจ้ารองและคนอื่นๆ เลียนแบบเขาละก็ จะมิเป็นแบบอย่างพาพวกเขาไปสู่ความย่ำแย่หรอกหรือเพคะ?”
ฮองเฮาจ้าว “……”
หญิงงามในจวนอ๋องฉู่หรือ?
พวกนางทั้งหลายมิใช่เต๋อเฟยหรอกหรือที่เป็นคนส่งไปให้
บัดนี้ยังมาทำท่าทีเสแสร้ง
แต่ดูเหมือนฮ่องเต้จะสับสนเสียอย่างนั้น เขาพยักหน้าเห็นด้วยอย่างจริงจัง “ข้าก็คิดเช่นนั้น”
เห็นด้วยอะไรกันเล่า!
ฮองเฮาจ้าวแอบสบถอยู่ในใจ
เนื่องจากนางมิอาจเปล่งเสียงได้ออกมาได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงเบ้ริมฝีปากแล้วด่าทออยู่ในใจกับตนเอง
เต๋อเฟยยังคงกล่าวต่อไปว่า “เมื่อปีที่แล้วยังมีน้องซูเฟยด้วย ปีนี้นางก็มิมา งานเลี้ยงประจำราชวงศ์ของเรานี้แต่ละปีดูถดถอยขึ้นทุกครา”
แต่ว่าเมื่อปีก่อนๆ มีเพียงโม่เยว่คนเดียวเท่านั้นที่เดินทางมา
ในค่ำคืนนี้พวกเขาทั้งสามคนพ่อแม่ลูกมากั้นพร้อมครบ
โม่ฮั่นอี่ว์และภรรยา อีกทั้งยังมีโม่จงหราน โม่เฟยเฟยและคนอื่นๆ พากันหยอกล้อเล่นกับหยวนเป่า
ด้วยเหตุนี้เอง พวกเขาสามคนพ่อแม่ลูกจึงกลายเป็นจุดสนใจของทุกคน
ในขณะที่ทุกคนกำลังเล่นกันอย่างสนุกสนานนั้น ก็ได้มีแขกมิได้รับเชิญคนหนึ่งเดินทางมา ……