อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 50 เจ้าเห็นข้าเป็นของเล่น
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 50 เจ้าเห็นข้าเป็นของเล่น
“อะไรนะ?”
หยุนหว่านหนิงคิดว่าตัวเองหูฝาดไป
เธอแคะขี้หูถาม “ท่านคิดจะทำอะไร?”
“ข้าแสดงออกยังไม่ชัดเจนอีกรึ? หรือเจ้าแสร้งทำเลอะเลือน?”
โม่เยว่เหล่นางเรียบๆ “ในเมื่อเจ้าบอกว่าข้าละเลยเจ้า เช่นนั้นต่อไปข้าจะอยู่ที่เรือนชิงหยิ่งนี่ล่ะ และก็ไม่มีหลักการที่ว่า สามีภรรยาควรแยกห้องกันนอน”
คราวนี้หยุนหว่านหนิงฟังเข้าใจละ
นี่คือ ผู้ชายคนนี้จะเอาจริงกับเธอแล้ว?!
“ไม่ได้!”
เธอตกใจจนลุกขึ้นยืน “โม่เยว่ ท่านอย่าได้คืบจะเอาศอกนะ!”
“ในเมื่อท่านกับข้าเป็นแค่สามีภรรยาในนาม ก็ไม่ควรจะนอนห้องเดียวกัน! ท่านหน้าไม่อาย แต่ข้าหน้าบางนะ!”
“ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป ต่อไปข้าจะสู้หน้าใครได้? จะมีชายใดกล้าแต่งงานกับข้า?”
คำนี้ออกไป เธอก็พึ่งนึกออกว่า พูดผิดไป
“เจ้าว่าอะไรนะ?”
สีหน้าโม่เยว่ดูน่าเกลียดนัก
บรรยากาศในห้องเปลี่ยนไปทันที
ประหนึ่งลมพายุฝนพัดมา ทั่วทั้งห้องมีกลิ่นอายเย็นยะเยือกกำจายไปทั่ว บรรยากาศที่ประหนึ่งเทพแห่งความตายมาเยือน ล้วนแพร่กระจายมาจากผู้ชายที่เย็นดุจน้ำค้างแข็งผู้นี้
เขาลุกขึ้นยืน ค่อยๆบีบหยุนหว่านหนิงไปจนมุมหนึ่ง
เขาก้าวเท้าขึ้นหน้าหนึ่งก้าว เธอก็หวั่นๆถอยหลังไปหนึ่งก้าว
จวบจนแผ่นหลังเธอติดกับกำแพงเย็นเยียบ เท้าของทั้งคู่จึงหยุดลง
สายตาสองคู่ประสานกัน ปลายจมูกชนกัน ปลายเท้าชนกัน
“หยุนหว่านหนิง พูดคำเมื่อครู่อีกครั้ง”
เขามองนางอย่างผู้ที่เหนือกว่า พอเอ่ยปาก ลมหายใจอุ่นร้อนพ่นใส่ใบหน้าเธอ “นี่เจ้ากล้าพูดจาเช่นนี้ต่อหน้าข้า?”
“หยุนหว่านหนิง เจ้าอยากตายใช่หรือไม่?”
น้ำเสียงเย็นยะเยือกของเขาดังอยู่ข้างหู
“เจ้าอยากโดนจับใส่ตะกร้าถ่วงน้ำ หรืออยากโดนผ่าท้อง หรืออยากโดนห้าม้าแยกร่าง?”
เสียงโม่เยว่ค่อยแปรเปลี่ยนเป็นแผ่วเบาอ่อนโยน “ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน ข้าก็สามารถทำให้เจ้าสมหวังได้ทั้งสิ้น นี่เป็นความเมตตาอย่างใหญ่หลวงที่ข้ามีต่อเจ้า!”
น่าตายนัก!
ชายผู้นี้โหดร้ายขนาดไหน สี่ปีก่อนเธอก็เคยเจอมาครั้งหนึ่งแล้ว
คืนนี้ทำไมถึงพูดจาไม่มีหูรูด ทำให้เขาโมโหอีกเนี่ย?!
เธอยิ้มกะลิ่มกระเหลี่ย “ท่านอ๋อง เข้าใจผิดกันทั้งนั้น! เมื่อครู่ข้าแค่พูดผิด ท่านอย่าใส่ใจไปเลย”
“พูดผิด?”
สายตาโม่เยว่สั่นไหวเล็กน้อย
แววตาในสายตานั้นยิ่งเย็นเยียบขึ้น “เจ้าหมายความว่า เจ้าพูดสิ่งที่อยู่ในใจส่วนลึกออกมาโดยไม่รู้ตัว? เจ้าเห็นข้าเป็นของเล่นรึ?!”
“ไม่ใช่ เข้าใจผิดแล้ว เข้าใจผิดจริงๆ!”
หยุนหว่านหนิงยื่นมือออกไปทาบที่แผงอกเขาแผ่วเบา
“ข้ากำลังรอให้เจ้าอธิบาย”
โม่เยว่ก็ไม่ถอย ยอมให้นางวางสองมือบนหน้าอกเขา สายตาจ้องนางเขม็ง
อธิบาย?
อธิบาย?!
นี่เป็นความคิดจริงๆจากใจเธอเลย ให้อธิบายกะผีสิ!
เธอจะอธิบายได้อย่างไร?!
หยุนหว่านหนิงร้อนรนยิ่งนัก
“เมื่อครู่ท่านอ๋องฟังผิดไปแล้ว! ที่ข้าพูดน่ะหมายความว่า ข้ากับท่านอ๋องพัฒนาไปเร็วเกินไปแล้ว ต้องช้าลงหน่อยถึงจะดี เรื่องอยู่ร่วมห้องกันนี่รีบร้อนไม่ได้!”
เธอยิ้มแห้ง หลบตาไปอย่างมีพิรุธ
“งั้นรึ?”
เขาก้าวเท้าขึ้นหน้าอีกหนึ่งก้าว หยุนหว่านหนิงกลั้นหายใจถอยหลังไปหนึ่งก้าว
เธอแนบร่างทั้งร่างติดกำแพง ประหนึ่งเสือกำแพงที่โดนบีบจนไร้ทางหนี
มองดูแล้ว บรรยากาศระหว่างทั้งสองคนยิ่งดูวาบหวานมากขึ้น
ในเวลานี้ ได้ยินเสียงดังขึ้นที่หน้าประตูว่า “ท่านแม่ พี่ชาย พวกท่านทำอะไรกันน่ะ?”
สายตาหยุนหว่านหนิงมองเลยแผ่นไหล่โม่เยว่ไป เห็นหยวนเป่าขยี้ตามองมาทางพวกเขาทั้งๆอยู่ในชุดนอน สีหน้างัวเงียราวกับยังนอนไม่เต็มอิ่ม
ปกติเขาก็น่ารักมากอยู่แล้ว
แต่เพราะยังนอนไม่เต็มอิ่ม ปอยผมสั้นที่ข้างขมับก็ม้วนตัวขึ้นอีก
ดูแล้ว ยิ่งน่ารักขึ้นไปอีก
เพียงแต่คำเรียกนี้ทำให้คนเก้อเขินยิ่งนัก
หยุนหว่านหนิงผลักโม่เยว่ออกไป รีบเดินออกไป “ลูกแม่ เจ้าตื่นมาทำไมน่ะ?”
“ข้าจะไปห้องน้ำ! ตื่นมาไม่เห็นท่านแม่ และเห็นด้านนอกมีแสงตะเกียง ข้าเลยออกมา”
หยวนเป่าตอบเสียงเด็กๆ
เขาเดินขึ้นหน้า โผร่างเล็กๆเข้าอ้อมกอดหยุนหว่านหนิง เหมือนกวางน้อยที่หลงทางตัวหนึ่ง ใบหน้าน้อยถูไถบนร่างเธอ “ท่านแม่ ทำไมท่านยังไม่นอนอีก?”
“เดี๋ยวแม่มา เจ้าไปนอนก่อนนะ”
หยุนหว่านหนิงถูกเขาถูไถ ใจละลายแล้ว “เข้าห้องน้ำแล้วรึ?”
“อืม”
หยวนเป่าพยักหน้า หาวหวอดๆ ถูกหยุนหว่านหนิงอุ้มเข้าไปวางบนเตียง
เขานอนหลับไปอีกครั้ง
หยุนหว่านหนิงถอนหายใจแผ่วเบาออกมา ตอนออกมาหรูเยียนได้นำหมอนและชุดนอนของโม่เยว่มาแล้ว เขาขมวดคิ้วแน่นไม่รู้ว่าคิดอะไร
ตอนจะสั่งให้หรูเยียนเอาของพวกนี้กลับไป หยุนหว่านหนิงก็ออกมาพอดี
ทั้งสองคนดูเก้อเขิน ไม่มีใครพูดอะไรอีก
โม่เยว่ปรายตามองอาหาร ก่อนจะลุกขึ้นจากไป
สีหน้าหยุนหว่านหนิงดูไม่เป็นธรรมชาตินัก รอจนเขาออกไปถึงสั่งคนรับใช้ให้เข้ามาเก็บกวาดถ้วยชาม
….
วันต่อมา โม่เยว่ไปออกราชการทั้งๆที่บาดเจ็บ
ส่วนโม่หุยเฟิงถึงจะบาดเจ็บหนักกว่าเขา แต่ยังคงมีทหารองครักษ์พยุงเข้าวัง ทั้งสองคนยืนต่อกันในท้องพระโรง ดึงดูดสายตาข้าราชบริพารทั้งหลายไปตามๆกัน
เพียงแต่ไม่มีใครกล้าถาม
หลักการว่า ใครออกหน้ามักโดนก่อน พวกเขาต่างรู้กันดี
พึ่งจะถึงเวลาราชการเช้า โม่จงหรานเข้ามาในตำหนักฉินเจิ้ง
พอเห็นสภาพสองพี่น้อง เขาคิ้วขมวดมุ่น “พวกเจ้าเป็นอะไรกันน่ะ?”
เรื่องเมื่อคืน ไม่รู้ว่าลอยเข้าหูเขาไหม แต่โม่จงหรานไม่คิดจะถามต่อหน้าข้าราชบริพาร
“เรียนเสด็จพ่อ เมื่อคืนข้ากลับดึก ไม่ทันระวังโดนหมากัดเข้า”
โม่หุยเฟิงแย่งพูดก่อน
โม่เยว่สีหน้ามั่นคงแน่วแน่ ทำเป็นไม่ได้ยินว่าเขาพูดอะไร
“เรียนเสด็จพ่อ เมื่อคืนมีคนมาก่อกวนรอบค่ายเสินจี ข้าสู้กับคนผู้นั้นเพื่อปกป้องความปลอดภัยของค่ายเสินจี แต่ข้าคนน้อยกว่าเลยได้รับบาดเจ็บ ข้าไร้ความสามารถ ขอเสด็จพ่อโปรดลงโทษ”
รอจนโม่เยว่พูดจบ เขาถึงคุกเข่าลงอย่างนอบน้อม
โม่หุยเฟิง “….”
นั่นไง เจ้าน่ะหน้าด้านยิ่งกว่า!
คำตอบของโม่เยว่ ยิ่งได้ใจโม่จงหรานมากขึ้น
เขาคิ้วขมวดมุ่น “ทำไมถึงมีคนกล้ามาก่อกวนรอบค่ายเสินจี? รู้ไหมว่าเป็นใคร? จับตัวเป็นๆได้หรือไม่?!”
“ข้ากำลังสืบอยู่”
โม่เยว่หลุบตาลง ท่าทางเคารพนบน้อม “ขอเสด็จพ่อโปรดวางใจ ข้าต้องสืบให้รู้แน่ชัดให้จงได้! ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็จะไม่มีทางให้เขาเหิมเกริมได้อีก!”
“ดีมาก!”
โม่จงหรานพยักหน้าอย่างพอใจ
ชะงักกึก สายตาเขาทุ้มลึก “ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด ล้วนต้องสั่งสอนให้หนักสักยก”
“จะได้ไม่ทำให้คนคิดว่า ค่ายเสินจีเป็นแค่เครื่องประดับเท่านั้น!”
“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อ”
โม่เยว่น้อมรับบัญชา ถึงพึ่งลุกขึ้น
โม่หุยเฟิง “….”
เสด็จพ่อคือจงใจให้ท้ายเจ้าเจ็ดอย่างออกนอกหน้ารึ?!
ดูท่าต่อไป ต้องระวังให้มากขึ้น… หางตาเขาเหล่มองด้านหลัง และสบตากับหลายคนอย่างเงียบเชียบ เขาโกรธจนเริ่มปวดฟัน
พอราชการเช้าจบ โม่เยว่พึ่งออกจากตำหนักฉินเจิ้ง ก็มีเสียงกัดเขี้ยวเคี้ยวฟันดังจากด้านหลัง “เจ้าเจ็ด หยุดบัดเดี๋ยวนี้!”