อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 65 พวกแสร้งใสซื่อสองนางแย่งชิงตำแหน่ง
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ ตอนที่65 พวกแสร้งใสซื่อสองนางแย่งชิงตำแหน่ง
ฉินซื่อเสวียกับโม่หุยเฟิงเป็นสามีภรรยากันมาเกือบห้าปีแล้ว
จำนวนครั้งที่สนิทสนมแนบแน่น ก็นับครั้งไม่ถ้วน
ดังนั้นแค่ได้ยินเสียง ก็รู้ว่าด้านในนั้นคนหนึ่งเป็นโม่หุยเฟิง……นางตัวสั่นด้วยความโกรธ สีหน้าเขียวคล้ำยืนอยู่ที่เดิม!
ช่างมีความกล้ากันเสียจริง!
ไม่เห็นนางอยู่ในสายตาสักนิด!
ที่นี่ ก็คือในวัง!
เป็นตำหนักไท่เหอ!
ข้างตำหนักหลัก ฮ่องเต้และคนอื่น ๆ ก็อยู่ที่นั่น
พวกเขาอดใจทนรอไม่ไหว กระทั่งมาทำมันที่ตำหนักข้างเลยหรือ!
หลังจากที่ได้สติ ฉินซื่อเสวียโมโหพุงเข้าไปในตำหนักข้าง ทันทีที่เข้าประตูไปก็เห็นนางกำนัล ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู เมื่อเห็นนางเข้ามา ก็สาวเท้ายาวเข้าไปด้านใน
นางจำได้ว่า นางกำนัลนางนี้เป็นหญิงรับใช้ข้างกายของหยุนธิงหลาน ชื่อลู่โย่ว
“นำนางมา!”
ฉินซื่อสวียสั่งจื่อซูร้ายกาจ
จื่อซูมือไม้ว่องไว เร่งพุ่งเข้าไป จับแขนลู่โย่วเอาไว้
“นังคนชั้นต่ำ!”
ฉินซื่อเสวียก้าวยาวไปด้านหน้า เธอตบหน้าลู่โย่วอย่างดุร้าย “ คุณหนูพวกเจ้าไม่เคยพบเจอบุรุษหรือไร ถึงได้รีบร้อน อยากเป็นนางบำเรอให้ท่านอ๋องของข้า!”
ด่าทอจบ นางก็ผลักลู่โย่วออกไป ส่งสัญญาณให้จื่อซูจับตามองนางให้ดี
ลู่โย่วจะเปิดปากตะโกน แต่ถูกจื่อซูปิดปากเอาไว้
ด้วยเหตุนี้ พลาดโอกาสที่จะร้องเรียก ลู่โย่วไม่ทันตั้งตัวก็ถูกจื่อซูปิดปากแล้วกดลงไปกับพื้น
นางคร่ำครวญในใจ เสร็จกัน!คำกำชับของคุณหนูข้า นางทำไม่สำเร็จ คืนนี้กลับไปต้องโดนคุณหนูทุบตีจนตายเป็นแน่! นังจื่อซู ทำไมเรี่ยวแรงถึงเยอะขนาดนี้!
ฉินซื่อเสวียเข้าไปในตำหนักด้วยความโกรธ
เยี่ยมมาก!
เห็นได้ชัดว่าภายในตำหนักถูกจัดอย่างพิถีพิถัน
ม่านโปร่งหลายชั้น แสงเทียนสว่างไสว ในห้องยังวางดอกบ๊วยที่เบ่งบาน…บรรยากาศที่วาบหวาม ฟุ้งกระจายไปทั่ว!
สองคนในม่านโปร่ง เห็นได้ชัดว่าดำดิ่งอยู่ในห้วงรัก ไม่สังเกตเห็นเธอเข้ามา
จนกระทั่ง ฉินซื่อเสวียยกม่านโปร่งขึ้น
หลังจากเห็นทั้งสองคนท่วงท่าแปลกพิสดาร นางหน้าแดงด้วยความอาย!
นางพูดพึมพำว่าอุจาดตา แล้วรีบปล่อยม่านโปร่งลง
เห็นนางเข้ามา โม่หุยเฟิงก็ “ทิ้งชุดเกราะ1” ทันที รีบคว้าผ้าห่มที่ด้านข้างคลุมร่างของหยุนธิงหลานอย่างยุ่งเหยิง แล้วตะโกนใส่ฉินซื่อเสวีย “ใครให้เจ้าเข้ามากัน?!”
“ไสหัวออกไป!”
“ท่านอ๋อง!”
ฉินซื่อเสวียก็อารมณ์เสียแล้วเช่นกัน “ท่านอ๋องไม่กลัวว่าจะถูกเสด็จพ่อพบเข้าหรือ”
“ถัดจากนี่ก็เป็นตำหนักไท่เหอ พวกเจ้าต่อให้ทนไม่ไหวแค่ไหน ก็ควรจะต้องอดทนให้ได้สิ!ถ้าหากเสด็จพ่อพบเข้า คงจะมีผลลัพธ์ที่ดีหรอก!”
“เจ้ากล้าข่มขู่ข้า?!”
โม่หุยเฟิงคว้าเสื้อผ้ามาสวมใส่ ทำท่าทางจะตบนางลงกับพื้น
แต่กลับถูกหยุนธิงหลานคว้ามือเอาไว้ “ท่านอ๋อง อย่าเพคะ……”
“ล้วนเป็นข้าที่ไม่ดี!รู้ว่าท่านอ๋องมีภรรยาแล้ว ก็ยังมาพัวพันกับท่านอ๋องไม่เลิก! ไม่เกี่ยวข้องกับพี่สาว ทั้งหมดล้วนโทษข้า!โทษข้าที่ควบคุมหัวใจดวงนี้ไม่ได้ แม้ว่าท่านอ๋องจะมีภรรยาแล้ว ก็ยังลุ่มหลงท่านอ๋อง……”
ขณะพูด นางก็ร้องไห้อย่างดอกสาลี่ต้องหยาดฝน2
ที่นาง “เกลี้ยกล่อม” นี้ ทำให้โทสะของโม่หุยเฟิงเพิ่มขึ้นแทนที่จะลดลง!
ซึ่งฉินซื่อเสวียก็ถูกทำให้หัวหมุน อดไม่ได้ที่จะโพล่งออกไปว่า “ใครเป็นพี่สาวเจ้ากัน”
“พี่สาวเจ้า ย่อมต้องเป็นพระชายาหมิง! ข้าไม่อาจเป็นหรอก!”
คำพูดที่หลุดออกมา โม่หุยเฟิงคว้าหมอนข้างมือมาแล้วขว้างไป “หลานเอ๋อร์เรียกเจ้าว่าพี่สาว ก็เป็นเกียรติแก่เจ้าแล้ว!”
ฉินซื่อเสวียอึดอัดคับข้องใจอย่างมาก!
นางปิดหน้า แล้วกำลังรีบออกไปฟ้องโม่จงหรานกับคนอื่น ๆ
แต่กลับถูกโม่หุยเฟิง คว้าตัวกลับมา “เจ้าคิดจะไปทำอะไร”
หยุนธิงหลานกำผ้าห่มแน่น แล้วร้องไห้ฮื่อฮือ “ท่านอ๋อง ล้วนเป็นข้าไม่ดี!พี่สาวได้รับความอึดอัดคับข้องใจ เพราะข้าใช่หรือไม่!ข้าจะไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้เพื่อขอรับโทษ”
โม่หุยเฟิงไม่อาจหาทางแก้ไข้เรื่องน่าปวดหัวนี้
จ้องมองฉินซื่อเสวียด้วยความโกรธ “ถ้ามีความสามารถเจ้าก็ไปซะ! ยุแยงตะแคงรั่วที่นี่จะมีประโยชน์อะไร!”
ตอนนี้นางก็ได้เข้าใจ
ตอนนางแสร้งใสซื่อต่อหน้าหยุนหว่านหนิงนั้น หยุนหว่านหนิงมีความรู้สึกอย่างไร
เกรงว่า จะอดไม่ได้ที่ฉีกทึ้งนางล่ะสิ?!
นังคนชั้นต่ำหยุนธิงหลาน ระดับชั้นแสร้งใสซื่อสูงยิ่งกว่านางเสียอีก……เป็นสิ่งที่ฉินซื่อเสวียไม่อาจทนได้มากที่สุด เหมือนแมวที่กำลังพองขน!
ด้วยความโกรธ นางปิดหน้าแล้วร้องไห้ขึ้นมา
“ท่านอ๋อง ข้าอยู่กับท่านเกือบห้าปีแล้ว กำเนิดบุตรีสองคนให้ท่าน”
นางทรุดนั่งลงบนพื้นปิด เอามือปิดหน้าแล้วร้องไห้ “ข้าไม่มีคุณงามความดีแต่ก็เหน็ดเหนื่อยทำงาน! วันนี้ท่านอ๋องเห็นแก่ความรักใหม่ ปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้ ใจข้าทุกข์ทรมานนะเพคะ!”
“ข้าคิดถึงท่านอ๋องสุดหัวใจ แต่สุดท้าย……”
นางอึกอัก ไม่พูดออกมา
หยุนธิงหลาน “……”
ฉินซื่อเสวียผู้นี้ ไม่นึกเลยว่าจะร้องไห้ทุ่มเทกว่าที่นางร้องไห้
หยุนธิงหลานสูดหายใจเข้าลึก ๆ เปิดปาก “ฮื่อ” ร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้ง
เมื่อมองทั้งสองคนทั้งบนเตียงและล่างเตียงที่ร้องไห้อย่างหนัก โม่หุยเฟิงปวดหัวยิ่งกว่าเดิม คิดอยากจะเดินออกไปทันที
ขณะนั้นเอง มีเสียงเคาะประตูตำหนัก
นอกประตู เสียงของจื่อซูดังขึ้น “พระชายา พระชายาหมิงมาแล้วเพคะ!”
หยุนหว่านหนิงมา?!
ไม่ดีแล้ว!
ฉินซื่อเสวียรีบเช็ดน้ำตาให้แห้ง แล้วหยัดกายลุกขึ้นยืน นางไม่อาจปล่อยให้นังคนชั้นต่ำนั้นมาเห็นท่าทางลำบากใจของนาง มิฉะนั้น ไม่อาจรู้ได้ว่าวันข้างหน้าจะหัวเราะเยาะนางขนาดไหน!
นางยังไม่ทันเปิดปาก ประตูตำหนักก็ถูกผลักออกแล้ว
หยุนหว่านหนิงเดินเข้ามา “อุ๊ย! ที่นี่เกิดอะไรขึ้นกัน”
“เมื่อครู่ข้าอยู่ข้างนอก ได้ยินเสียงร้องห่มร้องไห้มาแต่ไกล มีคนตายหรืออย่างไร”
ฉินซื่อเสวีย “……”
หยุนธิงหลาน “……”
โม่หุยเฟิง “หุบปาก!”
“พระชายาหมิง วันนี้เป็นวันเกิดของเต๋อเฟย เจ้าพูดคำโชคร้ายเช่นนี้ เจ้าไม่กลัวหรือว่า เต๋อเฟยได้ยินแล้วจะโกรธเคือง”
ฉินซื่อเสวียพยายามเต็มที่เพื่อแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่ดวงตาคู่นั้นแดงจากร้องไห้ ก็ทรยศต่อนาง
“พระชายาหยิงเป็นอะไรไป มีเศษผงเข้าตาหรือ ทำไมตาแดงขนาดนี้”
หยุนหว่านหนิงเปิดโปงนางโดยไม่ลังเล
สายตามองไปบนเตียง เห็นหยุนธิงหลานที่ถูกห่อผ้าห่มอย่างแน่นหนา “เอ๊ะ ทำไมน้องรองถึงอยู่ที่นี่ล่ะ นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
ใบหน้าเล็กหยุนธิงหลานแดงก่ำ “พี่สาว……”
“พี่สาวของคุณหนูรองหยุนช่างมากมายเสียจริง!”
ฉินซื่อเสวียเริ่มเยาะเย้ยถากถาง
“เมื่อครู่ ยังเรียกข้าว่าเป็นพี่สาว!ตอนนี้พี่สาวแท้ ๆ ของเจ้ามาแล้ว เกรงว่าพี่สาวเช่นข้าผู้นี้ จะเป็นอะไรก็ไม่ต้องแล้วล่ะสิ”
เธอเหลือบมองหยุนหว่านหนิง “ข้าไม่รู้ว่า……”
“การเลี้ยงดูของจวนยิ่งกั๋วกงจะเป็นเช่นนี้ หรือว่ายิ่งกั๋วกงปกติแล้ว จะอบรมสั่งสอนคุณหนูจวนกั๋วกงเรียนรู้วิธีการปีนขึ้นเตียงบุรุษผู้อื่นหรืออย่างไร !”
ที่กล่าวมา ไม่เพียงด่าทอหยุนธิงหลาน
ที่พูดวกไปวนมา ก็ดึงหยุนหว่านหนิงเข้ามาด่าทอด้วย
ใบหน้าเล็กของหยุนธิงหลาน เปลี่ยนเป็นขาวซีดทันที
แต่หยุนหว่านหนิง ไม่ได้สนใจ
คุณหนูจวนกั๋วกง?
เดิมทีนางก็ไม่ได้เป็นคนของจวนกั๋วกง ฉินซื่อเสวียด่ามาไม่ถึงนางหรอก
เพราะงั้น นางกอดอก พิงโต๊ะอย่างสนใจมองคนเหล่านั้น “เมื่อครู่ด้านในตำหนักไท่เหอ มีนักแสดงหลายคนแสดงงิ้วฉากใหญ่”
“พวกเจ้ารู้หรือไม่ ว่าแสดงอะไร”
ทันทีที่ได้ยิน นางมีความหมายอื่นแฝงอยู่คำพูด
ฉินซื่อเสวียอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วถามว่า “แสดงอะไร”
หยุนหว่านหนิงยิ้มบาง มองนางอย่างมีนัย “ที่แสดงคืองิ้วที่ยอดเยี่ยมเรื่อง ‘หวังโป๋ลอบจับชู้’ !”
(1) ทิ้งชุดเกราะ หมายถึง บรรยายความน่าอายจากความพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงและการหลบหนีอย่างเร่งรีบ
(2) ดอกสาลี่ต้องหยาดฝน หมายถึง เปรียบเทียบดอกสาลี่กับใบหน้าของสตรีที่เมื่อร้องไห้ก็ยังดูงดงาม