อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 66 ท่านอ๋องคิดจะเป็นซีเหมินซิ่ง
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ ตอนที่ 66 ท่านอ๋องคิดจะเป็นซีเหมินซิ่ง
หวังโป๋ลอบจับชู้?!
งิ้วฉากนี้ ทั้งหยุนธิงหลานคุณหนูที่เชื่อฟัง และฉินซื่อเสวียพระชายาผู้สง่างาม ล้วนไม่เคยได้ยินมาก่อน
ตรงกันข้ามกับบุรุษร่างใหญ่โม่หุยเฟิง แค่ฟังเข้าใจความหมายเบื้องหลังคำพูดของหยุนหว่านหนิง “หยุนหว่านหนิง เจ้าเปรียบเทียบข้า กับซีเหมินซิ่งหรือ?!”
“ท่านอ๋องคิดจะเป็นซีเหมินซิ่ง?”
ฝันไปเถอะ!
อย่างน้อยซีเหมินซิ่งผู้นั้นก็หล่อเหลา!
หยุนหว่านหนิงกลอกตา “ท่านอ๋องช่างจินตนาการจริง ๆ ”
ฉินซื่อเสวียกัดฟัน “พระชายาหมิงคิดจะพูดอะไรกันแน่ รีบพูดมาตามตรง”
“ข้าเพียงอยากพูดว่าโจรตะโกนให้จับโจรไม่ได้มีความหมายอะไร”
หยุนหว่านหนิงถอนหายใจ ก็ไม่รู้ว่ากำลังเตือนฉินซื่อเสวีย หรือพูดพาดพิงถึงหยุนธิงหลานกันแน่ เพียงแต่สีหน้าของทั้งคู่ล้วนไม่น่ามอง
“เวลาไม่คอยท่าแล้ว ข้ากลับไปก่อนดีกว่า พวกเจ้าค่อย ๆ แก้ปัญหากันนะ!”
นางหันกาย เตรียมออกไป
ตอนนี้ โม่เยว่คงรอนางอยู่ข้างนอก
นางกลัวว่ากลับไปดึก หยวนเป่าจะกังวลใจ
เจ้าเด็กน้อยผู้นี้ ไม่สนว่าจะถึงดึกเพียงไหน ล้วนแต่จะรอนางกลับมา
ปกติแล้ว ไม่ถึงยามไฮ่ก็ปีนขึ้นเตียงนอนแล้ว
แต่ถ้ายามไฮ่นางยังไม่กลับมา เกรงว่าจะรอถึงยามจื่อ รอจนเปลือกตาสองข้างปรือตาไม่ไหว หยวนเป่าคงรอจนกว่านางจะกลับมาแล้วค่อยไปนอน
คืนนี้ดึกมากแล้ว นางจะปล่อยให้ลูกชายรอนานขนาดนี้ได้อย่างไร
“หยุด!”
ทันทีที่หยุนหว่านหนิงหันกาย ก็ถูกโม่หุยเฟิงรั้งไว้ “หยุนหว่านหนิง หากไม่อยากตาย เรื่องคืนนี้เก็บไว้กับตัวเจ้าไปจนวันตาย! ทำเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น!”
“ข้าก็ไม่อยากมีปัญหาพัวพันหรอก!”
หยุนหว่านหนิงยิ้มเย็น “ถึงอย่างไร……”
“ท่านอ๋องฆ่าคนปิดปากได้ ข้านั้นรู้”
พูดไป นางก็ยิ้มเหมือนไม่ยิ้มเดินออกไป
หยุนธิงหลานขมวดคิ้วอย่างระงับอารมณ์
เรื่องคืนนี้ไม่เป็นไปตามคาด ทำให้นางไม่สบายใจเล็กน้อย จู่ ๆ หยุนหว่านหนิงปรากฏตัวขึ้น ลู่โย่วที่อยู่ด้านนอกประตูไม่ได้เอ่ยเปรยเลยแม้แต่น้อย ยิ่งทำให้นางไม่สบายใจมากขึ้น
ขณะกำลังคิด ฉินซื่อเสวียกลับวิ่งไปข้างหน้ากะทันหัน
นางดึงผมของนางอย่างแรง กดนางลงบนเตียงแล้วต่อสู้อย่างชุลมุน
การกระทำรวดเร็ว แม้แต่โม่หุยเฟิงก็ยังตั้งตัวไม่ทัน
นี่เป็นวันปกติ ฉินซื่อเสวียเดินไม่กี่ก้าวก็รู้สึกเหนื่อยจริง ๆ หรือ
หลังจากมีปฏิกิริยาตอบสนอง เขาก็รีบแยกทั้งสองออกจากกัน
แต่ฉินซื่อเสวียกับหยุนธิงหลานตบตีกันแยกอย่างไรก็แยกไม่ออก ใบหน้าทั้งคู่ล้วนมีบาดแผล พูดได้ว่าบาดเจ็บด้วยกันทั้งคู่
ไม่ได้ไปตำหนักไท่เหออีก พวกเขาออกจากวังอย่างอับอาย
งานเลี้ยงพระราชวังคืนนี้ สิ้นสุดลงแล้ว
……
เมื่อกลับเรือนชิงหยิ่งเห็นหยวนเป่ายังคงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง น้องรับใช้คนหนึ่งนั่งข้างเตียง กล่อมเขาให้หลับอย่างแผ่วเบา แต่เขาก็ยังไม่ยอมนอน เขายังคงยึดมั่นไม่ยอมนอนลง
“ข้าจะรอท่านแม่กลับมาก่อนแล้วค่อยนอน”
เปลือกตาทั้งสองข้างของเขาต่อสู้อีกครั้ง และตอนนี้ปรือตาขึ้นมาได้
แต่ยังเพียรพยายาม ต้องรอให้หยุนหว่านหนิงกลับมาก่อนถึงจะเข้านอน
เดิมทีกู้ป๋อจ้งกับกู้หมิงรั้งเขาให้ค้างคืนอยู่ที่ตระกูลกู้ แต่หยวนเป่าติดเตียงนอน นอนบนเตียงเหมือนกับทำขนมเบื้องที่พลิกไปพลิกมาก็ยังนอนไม่หลับ
ทำอะไรไม่ได้ กู้ป๋อจ้งได้แต่ส่งเขากลับไป
ตอนนี้เอง สาวใช้ก็ทำอะไรไม่ถูก กำลังจะเกลี้ยกล่อมต่อไป ก็เห็นหยุนหว่านหนิงเข้ามา
“ท่านแม่!”
หยวนเป่าเห็นนาง รีบกระโดดลงจากเตียงพุ่งไปในอ้อมแขนของนาง ร่าเริงเหมือนนกตัวเล็ก ๆ “ข้ารอท่านแม่นานมาก! ทำไมท่านแม่ถึงเพิ่งกลับมาล่ะ!”
เขาเม้มปาก แล้วพูดอย่างน้อยใจ
“ล้วนเป็นแม่ที่ไม่ดีเอง ทำให้หยวนเป่ารอนานแล้ว”
ตอนนี้เอง หัวใจดวงนี้ของหยุนหว่านหนิงละลายหมดแล้ว
นางลูบใบหน้าเล็ก ๆ ของหยวนเป่า แล้วกำลังจะถามเขาว่าตอนเย็นกินอะไรบ้าง
เพียงเห็นหัวของเจ้าเด็กน้อยพิงไหล่นางนั้น……นอนหลับไปแล้ว
แค่มอง ก็รู้สึกง่วงนอนจริง ๆ
หยุนหว่านหนิงอุ้มเขา วางลงบนเตียงอย่างแผ่วเบา
โม่เยว่ที่ยืนอยู่ตรงประตูเห็นฉากนี้ ในใจก็รู้สึกซับซ้อนเล็กน้อย ดูเหมือนเป็นอย่างที่หยุนหว่านหนิงกล่าว หยวนเป่าเป็นชีวิตจิตใจของนาง
หากไม่มีหยวนเป่า หยุนหว่านหนิงคงจะพังทลายเป็นแน่
การรักษาของหยุนหว่านหนิง เสียงของปี้จูค่อย ๆ ดีขึ้นทุกวัน
แต่ว่า นางไม่อาจยังพูดอะไรได้มากนัก
ถ้าใช้เสียงมากเกินไป เสียงก็จะหายไปชั่วครู่
และเพราะว่าลำคอถูกวางยาพิษ เสียงของนางจึงแหบแห้ง ราวกับเสียงบุรุษ
“ตอนนี้ลองพูดดูไหม”
หยุนหว่านหนิงเก็บเข็มเงินที่ปักตรงลำคอของนาง
ปี้จูก็เริ่มพูดครั้งหนึ่ง เพียงแต่เสียงของนางแหบแห้ง และเจ็บคอ พอได้ยินคำพูดของหยุนหว่านหนิง นางก็ร้องเรียกอย่างระแวดระวัง “พระชายาหมิง?”
นางสามารถ พูดได้แล้วจริง ๆ!
ปี้จูร้องไห้ดีใจ!
“อืม ไม่เลว”
หยุนหว่านหนิงพยักหน้า แล้วเอ่ยเตือน “ลำคอของเจ้า ช่วงนี้ไม่อาจกินอาหารมันๆ ของเผ็ดและของเย็น”
“ดื่มน้ำร้อนมาก ๆ ทุกวัน และทานยาให้ตรงเวลา”
“รออีกสักพัก คงจะดีขึ้นมาก”
ชะงักครู่หนึ่ง นางก็เอ่ยเสียงต่ำ “เพียงหลังจากวันนี้ เสียงจะไม่น่าฟังตลอดไป”
“บ่าวเป็นสตรีที่แต่งงานแล้ว เสียงจะน่าฟังหรือไม่สำหรับบ่าวแล้วล้วนไม่สำคัญ! ตอนนี้บ่าวพูดได้แล้ว ต้องขอบคุณพระชายาหมิง บ่าวรู้สึกซาบซึ้งจนหาที่สุดมิได้เจ้าค่ะ!”
ปี้จูคุกเข่าลงอย่างตื้นตันใจ
ไม่มีใครรู้ ทุกวันที่นางอยู่บ้าน ต้องสื่อสารกับลูก กับสามีอย่างไร!
ลูกของนาง ถูกพวกเด็กวัยเดียวกันรังแก บอกว่าแม่ของเขาเป็นใบ้……
ความเจ็บปวดเหล่านี้ ได้กดทับในหัวใจของปี้จูมาโดยตลอด
แล้วในวันนี้นางก็สามารถพูดได้แล้ว เสียงจะน่าฟังหรือไม่ล้วนไม่สำคัญ!
“เจ้าแค่ต้องจำไว้ว่า รับปากเรื่องของกับข้า”
สีหน้าของหยุนหว่านหนิงมืดครึ้ม
“เจ้าค่ะ! บ่าวผู้นี้จะจำไว้! รอพระชายาพาบ่าวเข้าวังเข้าเฝ้าองค์หญิงเก้ากับเต๋อเฟยเหนียงเหนียง บ่าวนำเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตอนนั้น มาอธิบายทั้งหมดอย่างแน่นอน!”
ขณะนางร้องไห้ “บ่าวไม่กล้าปิดบังแม้แต่คำเดียว!”
พูดคำยาวหลายคำ เสียงของเธอก็แหบมากขึ้นเรื่อย ๆ
ปี้จูกลัวเสียงหาย แล้วปิดปากลงด้วยความเจ็บปวด
บ่ายวันรุ่งขึ้นหยุนหว่านหนิงจะพาปี้จูเข้าวัง
ตอนนี้ ทัศนคติของโม่เฟยเฟยต่อนางค่อนข้างคลุมเครือ
ไม่ได้เย่อหยิ่งเย็นชา แต่ก็ไม่ได้ทักทายอย่างสนิทสนม เห็นได้ชัดว่านางยังค่อนข้างปฏิเสธนาง
คราวนี้ หยุนหว่านหนิงเข้าไปตำหนักเว่ยหยาง จึงไม่ต้องไปกับโมเยว่ โม่เฟยเฟยถึงจะเปิดประตูให้ นางพาปี้จู ตรงเข้าไปในตำหนัก
ขณะโม่เฟยเฟยเหม่อลอย
ช่วงสี่ปีที่ผ่านมา สิ่งที่นางทำมากที่สุดทุกวัน ก็คือเหม่อลอย
เห็นหยุนหว่านหนิงมา ร่องรอยของความซับซ้อนฉายวาบในดวงตาของนาง “เจ้ามาทำอะไรที่นี่อีก”
รังควานนางบ่อยครั้ง ไม่รู้สึกเบื่อหน่ายหรือ!
“นำหลักฐานมาให้เจ้าแล้ว”
หยุนหว่านหนิงยิ้มเล็กน้อย เผยให้เห็นปี้จูอยู่ข้างหลัง
โม่เฟยเฟยเหลือบมองนาง ลดสายตาลง “นางก็พูดไม่ได้ พานางมาทำอะไร คำเหล่านั้นของเจ้าเมื่อก่อน ข้าไม่ได้ถามเจ้าต่อหน้า เพียงเห็นแก่หน้าของพี่เจ็ด”
“จากนี้ไปหากเจ้ายังกล้าพูดให้ร้ายพี่สะใภสามอีก ข้าผู้นี้จะไม่เกรงใจกับเจ้าแล้ว!”
ที่แท้ นางล้วนเห็นแก่หน้าตาโม่เยว่สินะ……
หยุนหว่านหนิงหัวเราะเบา ๆ “ก่อนหน้านี้ข้าแค่คิดว่า องค์หญิงเก้าเป็นคนฉลาด”
“แต่วันนี้เห็นแล้ว ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ โม่เฟยเฟยก็โกรธ แล้วจ้องนางตาขวางทันที “เจ้ากล้าที่จะเยาะเย้ยเหน็บแนมข้าผู้นี้หรือ!”
“หยุนหว่านหนิง เจ้าช่างมีความกล้านัก! เด็ก ๆ ยังไม่รีบไปตัดลิ้นนางให้ข้าอีก!”