อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 72 ข้าตีลูกชายท่าน
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 72 ข้าตีลูกชายท่าน
หลี่หมัวมัวหันหลังกลับไปมอง พบว่าโม่เฟยเฟยเดินตรงเข้ามา
นางยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความตกตะลึง
หลี่หมัวมัวราวกับเห็นผู้เข้ามาช่วยชีวิต นางจึงรีบเดินตรงเข้าไปว่า “องค์หญิงเก้าเพคะ ในที่สุดก็มาสักทีนะเพคะ! รีบมาห้ามพระชายาเร็วเข้าเพคะ นางทำเหนียงเหนียงโมโหจะแย่แล้วเพคะ!”
นางมิอาจห้าม และห้ามมิเป็นผล
ดังนั้นจึงทำได้เพียงฝากความหวังไว้ที่โม่เฟยเฟย
“นางทำให้เสด็จแม่โมโหเช่นไร?”
เมื่อเห็นหยุนหว่านหนิงวิ่งไล่เต๋อเฟยไปมา ในตำหนักจึงวุ่นวายไปทั่ว โม่เฟยเฟยขมวดคิ้วเอ่ยถาม
หยุนหว่านหนิงคนนี้ ไม่หยุดสร้างปัญหาสักวันไม่ได้เลย!
นางเองก็ได้ยินมาว่าเต๋อเฟยโมโหหยุนหว่านหนิงเสียจนจะลงโทษนาง ดังนั้นจึงรีบเร่งเดินทางมา……แม้จะกล่าวว่านางมิได้มีความรู้สึกดีต่อหยุนหว่านหนิงเท่าไรนัก
แต่เรื่องเมื่อสี่ปีก่อน นางมิได้ผิด
พี่เจ็ดชื่นชอบนาง บัดนี้ยังคงสนับสนุนนาง
นางในฐานะน้องสาว จะให้นางทำเช่นไรได้เล่า? จึงทำได้เพียงปกป้องนางพร้อมกับพี่ชายด้วย!
ทว่าบัดนี้พี่เจ็ดยังมิได้เข้าวัง เสด็จแม่มิชื่นชอบนางเป็นที่สุด โม่เฟยเฟยจึงทำได้เพียงรีบเดินทางเข้ามาช่วยจัดการปัญหาให้หยุนหว่านหนิง
แต่ใครจะคิดว่าเล่าเมื่อนางตรงเข้าประตูมา ก็พบเข้ากับฉากที่ยากจะลืม
ตามปกติแล้วเสด็จแม่ผู้สูงส่งมิมีทางจะปล่อยผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าแดงเรื่อจากความเหนื่อยหอบที่วิ่งตามหยุนหว่านหนิงอย่างแน่นอน?!
ช่างประหลาดแท้เชียว!
หลี่หมัวมัวอธิบายอย่างเร่งรัดแล้วกล่าวว่า “องค์หญิงเพคะ โปรดคิดหาวิธีเข้าเถิดเจ้าค่ะ! หากเป็นเช่นนี้ต่อไป บ่าวเกรงว่าเหนียงเหนียงจะโมโหเสียจนสิ้นลมก่อนเพคะ!”
“มิต้องรีบร้อนไป”
ผู้ใดจะคิดเล่าว่าโม่เฟยเฟยจะเอามือกอดอกยืนพิงกำแพงมองดูอยู่เช่นนั้น!
นางมองไปทางหยุนหว่านหนิงด้วยความสนใจ
ผู้ที่ทำให้เสด็จแม่เป็นเช่นนี้ได้ คาดว่าคงจะมี “พี่สะใภ้ตัวดี” ของนางคนนี้คนแรกและคนเดียว!
“ตามปกติเสด็จแม่มิค่อยได้ออกกำลังนัก หมอหลวงเองก็ได้กำชับว่าร่างกายนางอ่อนแอ ในวันนี้ให้นางได้ออกกำลังกายบ้างคงจะดี”
โม่เฟยเฟยเผยอยิ้มขึ้นที่มุมปาก
หลี่หมัวมัว “……”
มีบุตรสาวคนใดเป็นเยี่ยงนี้บ้าง?!
เมื่อเห็นเสด็จแม่วิ่งไล่พี่สะใภ้อย่างเอาเป็นเอาตาย กลับยืนมองดูอยู่ด้านข้าง
ทั้งยังเอ่ยว่าให้เต๋อเฟยออกกำลังกายเสียบ้างก็ดี!
ดูเหมือนจะหวังพึ่งพาองค์หญิงเก้ามิได้เช่นกัน
ดังนั้นหลี่หมัวมัวจึงได้วิ่งตรงเข้าไปร้องไห้ร้องห่ม “เหนียงเหนียงเพคะ พระชายาเพคะ พวกท่านทรงหยุดเถิดเพคะ! หากเรื่องนี้ไปถึงฮ่องเต้และฮองเฮาเข้าคงแย่แน่เพคะ!”
“เจ้าบอกให้นางหยุดก่อนสิ!”
หยุนหว่านหนิงกระโดดจากหน้าต่างไปแล้วกล่าวว่า “เจ้าให้นางวางอาวุธในมือลงก่อนสิ!”
วินาทีต่อมา เต๋อเฟยผู้ที่บัดนี้ผมเผ้ายุ่งเหยิงก็วิ่งตามออกมาจากประตู ในมือนางถือไม้ปัดขนไก่ไว้……
ยุ่งเหยิง!
ในตำหนักหย่งโซ่วเกิดเป็นความอลวลขึ้น!
เมื่อพบว่าเต๋อเฟยโมโหมิเบา โม่เฟยเฟยจึงได้ก้าวมาข้างหน้ารั้งนางเอาไว้ “เสด็จแม่เพคะ อย่าได้โมโหอีกเลยเพคะ!”
“เฟยเฟย เจ้าหลีกไป! วันนี้หากข้ามิอาจตบปากนางให้ฉีกได้ จงรอเปลี่ยนชื่อข้าได้เลย!”
เมื่อพบว่าโม่เฟยเฟยเข้ามารั้งเอาไว้ หยุนหว่านหนิงจึงได้หยุดลงตรงมุมหนึ่งของกำแพง
ด้วยว่ามิได้ออกกำลังกายมาเนิ่นนาน ดังนั้นนางเองจึงเหนื่อยล้าเช่นกัน
บัดนี้นางจ้องมองไปทางเต๋อเฟยด้วยอาการเหนื่อยหอบ “เสด็จแม่เพคะ ลูกตั้งใจจะให้ท่านเห็นกับความจริง! หากท่านยังคงไร้เหตุผลเช่นนี้ ลูก ลูกจะกลับจวนอ๋องไปตีลูกชายท่าน!”
ยังจะตีหลานนางด้วย!
เอาเถอะๆ นางมิกล้าให้ตีหลานชายหยวนเป่าของนาง
ตีลูกชายนางคนเดียวก็พอแล้ว!
“เจ้ากล้าหรือ!”
เต๋อเฟยแทบคลั่ง นางทำท่าทีจะวิ่งตรงเข้าไปจัดการ แต่กลับถูกโม่เฟยเฟยรั้งเอาไว้ “เสด็จแม่! สง่างามเพคะ สง่างาม!”
เมื่อถูกนางเอ่ยเตือนเช่นนี้ เต๋อเฟยจึงได้สติกลับคืนมา
นางถูกโม่เฟยเฟยลากเข้าไปในห้องบรรทม
หลังจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว นางก็กลับเป็นเต๋อเฟยผู้สง่างามดังเดิม
แต่แววตาที่มองมาทางหยุนหว่านหนิงยังคงแฝงไปด้วยความดุเดือด
เมื่อพวกเขาทั้งหลายเข้าสู่ที่นั่ง เต๋อเฟยจึงได้กัดฟันกล่าวว่า “หยุนหว่านหนิง ข้ามิรู้หรอกว่าเจ้าใช้กลอุบายใดในการหลอกเยว่เอ๋อร์กับเฟยเฟย”
“เพื่อให้สองพี่น้องนี้คอยปกป้องเจ้า แต่ข้าขอบอกเจ้าเอาไว้ว่าดวงตาข้านั้นมิได้คลุมเครือ!”
“เจ้าอย่าได้คิดวางอุบายใดต่อข้า!”
“เสด็จแม่เพคะ นิสัยของท่านอ๋องกับเฟยเฟยนั้นท่านล้วนรู้ดี”
หยุนหว่านหนิงมองไปทางนางด้วยท่าทีกึ่งยิ้ม “ในเมื่อสองพี่น้องล้วนออกมาแก้ตัวปกป้องข้า ทั้งสองคนจะถูกข้าหลอกล่อหรือ?”
“เหตุใดเสด็จแม่จึงมิหาเหตุผลโดนแท้จริง?”
ยังกล่าวว่าตนดวงตากระจ่างแจ้ง……
หยุนหว่านหนิงเกือบจะพลั้งปากออกไปแล้วว่า ท่านตาบอดต่างหากเล่า!
เมื่อได้ยินดังนั้น เต๋อเฟยก็โมโหสะบัดหางดั่งแมว นางหยิบถ้วยน้ำชาข้างกายมา “เฟยเฟย เจ้าฟังสิว่านางกล่าววาจาสามหาวเพียงไร!”
“หากเจ้ายังรั้งข้าไว้ละก็ ข้าจะตีเจ้าด้วย!”
โม่เฟยเฟยยักไหล่ “เสด็จแม่ลงมือเถิดเพคะ! เพียงแต่หากพี่เจ็ดข้าวังแล้วพบว่านางถลอกไปทั้งตัว เกรงว่าจะทะเลาะกับเสด็จแม่……”
เต๋อเฟย “……”
ก็ได้ นางจะทน!
“หยุนหว่านหนิง เจ้าเอาแต่กล่าวว่าฉินซื่อเสวียทำดีเพียงต่อหน้าข้า แล้วนินทาข้าลับหลัง”
เต๋อเฟยกัดฟันมองดูหยุนหว่านหนิง “เจ้ามีหลักฐานหรือไม่?!”
ครั้งนี้โม่เฟยเฟยได้แต่นิ่งเงียบ
“เสด็จแม่ชื่นชอบซุปที่ฉินซื่อเสวียทำ?”
หยุนหว่านหนิงเอ่ยคำตอบในสิ่งที่มิได้ถาม ทั้งยังถามกลับว่า “ไว้วันหลัง ลูกจะปรุงซุปบำรุงร่างกายมาให้เสด็จแม่ เสด็จแม่ท่านว่าเป็นเช่นไร?”
“เจ้าจะปรุงเองงั้นหรือ?”
เต๋อเฟยหัวเราะเยาะออกมาอย่างมิปิดบัง “นิ้วของเจ้าทั้งสิบมิเคยแม้จะแตะเครื่องปรุงเสียด้วยซ้ำ”
“ตามปกติแล้วเกรงว่าเจ้าจะมิเคยปฏิบัติหุงหาอาหารให้แก่เยว่เอ๋อร์กระมัง แล้วจะมาทำซุปให้ข้า?”
“ซุปของเจ้านั้นข้ามิกล้าดื่มหรอก”
ด้วยเกรงว่านางจะวางยาลงไปในซุป
หยุนหว่านหนิง “……เสด็จแม่เพคะ ประโยคต่อจากที่ว่าทำคุณบูชาโทษคืออะไรกัน?”
“โปรดสัตว์ได้บาป ทำไมหรือ?”
เต๋อเฟยตอบออกไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะตระหนักว่าแม่หนูคนนี้ช่างใจกล้าหาญเสียจริง กล้าดียังไงมาชี้หน้าว่านางเป็นสัตว์
นางโมโหเดือดดาลเสียจนหน้าอกกระเพื่อมอย่างรุนแรงและหายใจมิออก
“เสด็จแม่รู้ก็ดีแล้วเพคะ”
หยุนหว่านหนิงยิ้มขึ้นด้วยความพึงพอใจ
โม่เฟยเฟยอดมิได้ที่จะหันไปมองนาง
ตัวหยุนหว่านหนิงในก่อนหน้านี้ แม้จะรูปร่างสูงใหญ่แต่สมองนั้นง่ายดายนัก มิเคยคิดด่าผู้คนรอบข้างโดยอ้อมค้อมเช่นนี้
แต่หยุนหว่านหนิงในเมื่อครู่ นางกลับเอ่ยอ้อมค้อมในการด่าคน ทั้งยังใช้สำนวนสุภาษิตคำพังเพย
นางเปลี่ยนไป นางมิใช่หยุนหว่านหนิงคนเดิม!
หากเป็นดังเมื่อก่อนล่ะก็ หยุนหว่านหนิงคงจะกลัวแม้แต่อธิบายว่าเมื่อสี่ปีก่อนเกิดเรื่องใดขึ้น และคาดว่าคงจะรีบตรงไปที่ตำหนักเว่ยหยาง เพื่อเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนนั้นออกมา
ในครั้งนี้นางหาพยานออกมาได้ด้วย
นางเตรียมทุกสิ่งอย่างพร้อมแล้วจึงเดินทางมา
เห็นได้ชัดว่าความคิดนางช่างละเอียดลออ
สตรีนางนี้ ถูกกักบริเวณอยู่สี่ปีและดูเหมือนจะก้าวหน้าขึ้นมาก
เมื่อได้สติกลับคืนมา นางก็มองไปยังสีหน้าของเต๋อเฟย ก่อนจะลังเลแล้วกล่าวว่า “เสด็จแม่เพคะ ที่จริงแล้วพี่สะใภ้เจ็ด……กล่าวได้มิผิด”
โม่เฟยเฟยก็มิรู้จะอธิบายเรื่องราวเมื่อสี่ปีก่อนให้เต๋อเฟยอย่างไร
ก่อนหน้านี้ในตำหนักเว่ยหยาง นางยังได้กำชับตักเตือนหยุนหว่านหนิงว่าอย่าได้บอกกับเต๋อเฟย ด้วยเกรงว่าเต๋อเฟยมิอาจทนทานได้กับเรื่องนี้
เมื่อเห็นท่าทีของเต๋อเฟยซึ่งมีต่อหยุนหว่านหนิง……
นางก็เริ่มลังเล
เพราะถึงอย่างไร หยุนหว่านหนิงจึงจะเป็นพี่สะใภ้ของนางอย่างแท้จริง
หากว่ามิเปิดโปงใบหน้าอันแท้จริงของฉินซื่อเสวีย ก็เกรงว่าเสด็จแม่ของนางจะถูกหลอกไปตลอดชีวิต……
ในขณะที่นางกำลังลังเลอยู่นั้น ก็พบหลี่หมัวมัววิ่งเหยาะๆ ตรงเข้ามา “เหนียงเหนียง เหนีนงเหนียงเพคะ ฮ่องเต้เสด็จมาที่นี่!”