อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 82 วิญญาณร้ายมาทวงชีวิต
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 82 วิญญาณร้ายมาทวงชีวิต
หยุนธิงธิงครึ่งหลับครึ่งตื่น พูดจาก็ไม่สะดวก ตอบไม่ได้
จูเอ๋อร์คุกเข่าอยู่ข้างเตียง ร้องห่มร้องไห้ขอร้องหยุนหว่านหนิงว่า “พระชายาหมิง ขอร้องท่านเรียกร้องความเป็นธรรมให้คุณหนูด้วย”
“เกิดอะไรขึ้น ลุกขึ้นมาพูด”
สีหน้าหยุนหว่านหนิงเคร่งขรึม
จูเอ๋อร์ค่อยสะอึกสะอื้น พร้อมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น
ที่แท้ ช่วงที่ผ่านมานี้หยุนธิงธิงไม่ได้ทานข้าวร่วมกับพวกนางเฉินเลย
คงเป็นเพราะหวาดกลัวหยุนธิงหลาน
ดังนั้นจูเอ๋อร์จึงทำอาหารเองในครัวให้นางทาน
ที่ไหนวันนี้ หลังกลับมาจากจวนอ๋องหมิง หยุนเจิ้นซงเรียกเขาไปคุยในห้องโถง ก็ไม่ได้ถามอะไรมาก เพียงแค่ถามว่าหยุนหว่านหนิงปฏิบัติต่อนางยังไงบ้าง
หยุนธิงธิงตอบตามความจริงทุกอย่าง
และก็ถึงเวลาทานข้าวพอดี
หยุนเจิ้นซง นางเฉินล้วนพูดให้นางอยู่ทานมื้อค่ำด้วยกัน
“เดิมคุณหนูไม่ยินยอม แต่นายท่านกับฮูหยินพูดรั้ง บอกว่าตอนนี้คุณหนูโตแล้วปีกกล้าขาแข็งแล้ว ไม่เชื่อฟังพวกเขาแล้ว”
จูเอ๋อร์สะอึกสะอื้นพูดไม่เป็นคำ
นางเช็ดน้ำตา พร้อมพูดขึ้นว่า “เห็นคุณหนูรองไม่มา คุณหนูรองจึงอยู่ทานข้าวกับพวกเขา”
“ตอนกลับมายังดีๆอยู่ ที่ไหนได้ยังไม่ถึงยามจื่อสือ คุณหนูก็ปวดท้องขึ้นมา”
จูเอ๋อร์รีบไปรายงานหยุนเจิ้นซง
“แต่นายท่านกับฮูหยินต่างก็ไม่สนใจ บอกว่าก็แค่ปวดท้อง คงเป็นเพราะทานอะไรผิดไป จึงสั่งบ่าวใช้ไปตามหมอมา”
แต่เชิญมาแล้วสองคน ก็ตรวจไม่รู้ว่าหยุนธิงธิงเป็นอะไร
“คุณหนูเจ็บปวดจนสลบไปแล้วรอบหนึ่ง เมื่อกี้ตอนที่พระชายามา คุณหนูยังกระอักออกมาเป็นเลือด”
หยุนหว่านหนิงก็เห็นด้วยตาตนเอง หยุนธิงธิงเกาะอยู่ข้างเตียง แล้วอ้วกออกมาเป็นเลือดก้อนโต
ตอนนี้ เลือดก้อนนั้นยังไม่ปห้งเลย
“พระชายา คุณหนูถูกทำร้ายแน่ๆ”
จูเอ๋อร์น้ำตาไหล มองดูหยุนธิงธิงอย่างเลือนราง และหวาดกลัว
แม้แต่หยุนหว่านหนิง ก็รู้สึกหวาดกลัว
คืนนี้หากหรูเยียนไม่รู้เรื่องพวกนี้ หากนางมาช้าไปสองชั่วโมง….หลังจากฟ้าสว่าง ศพของหยุนติงติก็เย็บเฉียบแล้ว
“ยังไงก็ถูกคนทำร้ายอยู่แล้ว”
หยุนหว่านหนิงก้มมองดูก้อนเลือดที่ยังไม่แห้งด้วยสายตาเยือกเย็น
“หลังจากธิงธิงกลับมายังจวนยิ่งกั๋วกง ทานเพียงอาหารค่ำใช่ไหม นอกจากนี้แล้วก็ไม่ได้ทานอะไร?”
จูเอ๋อร์หวนคิด แล้วก็รีบลุกไปเอาถ้วยน้ำชาบนโต๊ะมา พร้อมพูดขึ้นว่า “คุณหนูเพียงทานอาหารค่ำในห้องอาหาร”
“กลับมาดื่มชาครึ่งแก้ว”
น้ำชาเย็นหมดแล้ว
หลังจากหยุนหว่านหนิงตรวจดู ก็พบว่าน้ำชาไม่มีปัญหาอะไร
งั้นที่นางถูกพิษ จะต้องเป็นอาหารที่ทานให้ห้องอาหาร
“คืนนี้ธิงธิงทานอะไรไปบ้าง?”
จูเอ๋อร์หวนคิดดู แล้วก็พูดตอบขึ้นว่า “คุณหนูไม่มีความอยากอาหาร จึงทานอะไรไม่มาก ข้าน้อยจำได้ว่าทานลูกชิ้นเนื้อไปสองลูก กับผัดผักกาดขาว”
“ยังมีเต้าหู้ชิ้นเล็กชิ้นหนึ่ง กับข้าวสวยไม่กี่คำ”
พูดเสร็จ นางก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงพูดขึ้นมาอย่างกะทันหันว่า “อ้อ ใช่”
“ฮูหยินบอกว่า ช่วงนี้อากาศเย็น ดังนั้นคืนนี้จึงสั่งคนต้มบัวลอยข้าวหมาก”
จูเอ๋อร์พูดขึ้นมาอย่างร้อนใจว่า “บัวลอยข้าวหมากนั้น เดิมก็เป็นของโปรดคุณหนู คืนนี้จึงทานไปหนึ่งชาม”
“บัวลอยข้าวหมาก?”
ฟังแบบนี้ ก็ไม่รู้ว่ากับข้าวเมนูไหนมีปัญหา
ยังไงหยุนเจิ้นซงกับนางเฉินก็ทานอาหารพวกนั้นเหมือนกัน ก็ไม่เห็นพวกเขาเป็นอะไร
มีเพียงหยุนธิงธิงคนเดียว ถูกพิษจนปวดท้องอย่างทุกข์ทรมาน
กับข้าวทุกเมนู ล้วนมีความเป็นไปได้ที่จะถูกวางยาพิษ
แต่ทำไมหยุนเจิ้นซงกับนางเฉินไม่เป็นไร…..
แล้วคืนนี้ทำไมหยุนธิงหลานถึงไม่ทานข้าวพร้อมกับพวกเขา
ในใจหยุนหว่านหนิงสงสัยอย่างมาก เงยหน้ามองดูจูเอ๋อร์ พร้อมพูดขึ้นว่า “อาหารคืนนี้ทานหมดแล้วหรือยัง? หากยังทานไม่หมด ได้เอาไปเททิ้งที่ไหน?”
ภายในจวนยิ่งกั๋วกง นางไม่รุ้อะไรเลย
จูเอ๋อร์รีบตอบว่า “เทให้ถังด้านหลังห้องครัว”
“อาหารคืนนี้ทานไม่หมด ตอนที่คุณหนูกลับมา นายท่านกับฮูหยินก็หยุดทานแล้ว”
แบบนี้แสดงว่า ตอนที่หยุนธิงธิงกลับมา บ่าวใช้ได้เก็บอาหารแล้ว แล้วเอาที่เหลือไปเทในถังด้านหลังห้องครัว
หยุนหว่านหนิงพยักหัวบ่งบอกว่ารู้แล้ว
นางตรวจดูชีพจรของหยุนธิงธิง พบว่าพิษกำลังค่อยๆจางลง
ชีพจรดีขึ้นมากแล้ว
แต่ตอนนี้นางอ่อนแอเกินไป ดังนั้นจึงยังไม่ได้สติ
“เจ้าคอยดูแลธิงธิง ข้าออกไปแปบหนึ่ง”
หยุนหว่านหนิงห่มผ้าให้กับหยุนธิงธิงอย่างเป็นห่วง เดินไปแล้วหลายก้าวก็หันกลับมาพูดขึ้นอีกว่า “ใช่แล้ว ก่อนที่ข้าจะกลับมา ห้ามให้ใครเข้ามา”
“อย่าให้ธิงธิงเจอใคร”
โดยเฉพาะหยุนธิงหลาน
แต่หยุนหว่านหนิงไม่ได้บอกจูเอ๋อร์ตรงๆ
เพราะหยุนเจิ้นซงกับนางเฉิน ก็น่าสงสัย
ดังนั้นไม่ให้นางเจอใครเลยดีกว่า…..
“อย่าบอกใครว่าข้ามา หากมีคนถาม ก็บอกว่าธิงธิงน่าจะไม่ไหวแล้ว นางจึงไม่อยากเจอใคร อยากที่จะอยู่คนเดียวเงียบๆ”
ถึงจูเอ๋อร์จะไม่เข้าใจว่าทำไมหยุนหว่านหนิงถึงสั่งแบบนี้
แต่ก็รู้ว่า นางหวังดีต่อหยุนธิงธิง
จึงรีบพูดตอบรับว่า “เพคะ พระชายา”
หยุนหว่านหนิงค่อยวางใจออกไปแล้ว จูเอ๋อร์เดินไปปิดประตู แล้วล็อกกลอนจากข้างใน
และแล้วนางเพิ่งเดินไป ก็มีคนมาเคาะประตู
ในค่ำคืนที่เงียบสงัด เสียงเคาะประตูจึงค่อนข้างชัดเจน
ร่างกายจูเอ๋อร์สั่นไหว ก้มหน้ามองดูหยุนธิงธิงแวบหนึ่ง เห็นนางนอนหลับไปแล้ว เมื่อคิดถึงคำพูดของหยุนหว่านหนิง นางจึงรีบร้องไห้ขึ้นมา
ร้องไห้อย่างเจ็บปวดที่สุด
“ใคร?”
จูเอ๋อร์ถามอย่างสะอึกสะอื้น
“จูเอ๋อร์ ข้าเอง”
ด้านนอกประตู เป็นเสียงของหยุนธิงหลาน
น้ำเสียงนางอ่อนโยน กลับทำให้จูเอ๋อร์ขนลุกขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว พร้อมพูดขึ้นว่า “น้องสามเป็นอย่างไรบ้าง? ข้ามาเยี่ยมนาง”
“คือ คือคุณหนูรองหรือ”
จูเอ๋อร์ร้องห่มร้องไห้ พร้อมพูดขึ้นว่า “เชิญคุณหนูรองกลับไปก่อนเถอะ”
“คุณหนูสาม น่าจะไม่รอดแล้ว…คุณหนูสั่งข้าน้อยไว้ ห้ามให้ใครเข้ามา บอกว่าอยากอยู่เงียบๆคนเดียว”
“เวลานี้ คุณหนูสลบไปแล้ว”
หยุนธิงหลานเอาหูแนบประตู ตั้งใจฟังอยู่สักพัก
เห็นว่าข้างในนอกจากเสียงร้องไห้ของจูเอ๋อร์ ก็ไม่ได้ยินเสียงหยุนธิงธิงจริงๆ
คงสลบไปแล้วจริงๆ
นางพูดขึ้นด้วยสีหน้าเป็นกังวลว่า “ทำไมน้องสามถึงอาการแย่? ไหนบอกว่าแค่ปวดท้องไม่ใช่หรือ? ตามหมอมาตรวจแล้วหรือยัง? หมอว่ายังไงบ้าง?”
ถามติดต่อกันตั้งหลายคำถาม ถามจนจูเอ๋อร์กัดฟัน
นางก็รู้ หยุนธิงธิงถูกหยุนธิงหลานข่มขู่ ข่มเหงหลายครั้ง
คืนนี้หยุนธิงธิงถูกวางยาพิษ นางเองก็คิดได้เป็นอันดับแรก จะต้องเป็นคุณหนูรองที่ดูใจดีแต่จิตใจอำมหิต
คนหนูเป็นน้องสาวของนางนะ
ตอนนี้ได้ยินหยุนธิงหลานถามอย่างห่วงใย จูเอ๋อร์คิดเพียงว่าต่อหน้าทำเป็นรักใครห่วงใย แต่ใจจริงมุ่งร้ายไม่หวังดี
นางกัดฟันอดกลั้นความโกรธโมโหไว้ พร้อมพูดตอบอย่างสะอึกสะอื้นว่า “หมอมาตรวจดูแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร แต่คุณหนูไม่ไหวแล้วจริงๆ เชิญคุณหนูรองกลับไปเถอะ”
แต่หยุนธิงหลาน ไม่ได้เห็นหยุนธิงธิงขาดใจด้วยตาตนเองก็ไม่ยอม
นางเคาะประตูอีกพร้อมพูดขึ้นว่า “เปิดประตูให้ข้าเข้าไปดู”
จูเอ๋อร์เงียบ
หยุนธิงหลานขมวดคิ้ว พร้อมพูดขึ้นว่า “จูเอ๋อร์ ข้าเป็นห่วงน้องสาว หากเจ้าไม่เปิดประตู ข้าก็จะสั่งคนพังประตูเข้าไป”
พูดเสร็จ ประตูห้องก็ถูกคนเตะด้วยเท้าอย่างแรง
จูเอ๋อร์ฟังเสียงกระทืบประตู มองดูประตูห้องที่สั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง แล้วก็คดตัวไปอยู่ข้างเตียงอย่างตื่นตระหนกตกใจ
หยุนธิงหลานที่อยู่ด้านนอกประตู เป็นเหมือนอย่างวิญญาณชั่วมาทวงชีวิตหยุนติงติ….