อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 83 ข้าเป็นพ่อของเจ้า
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 83 ข้าเป็นพ่อของเจ้า
ประตูห้องสั่นคลอนแล้ว
จูเอ๋อร์จับขอบเตียงไว้แน่น ปกป้องหยุนธิงธิงไว้ด้านหลัง ในใจภาวนาว่าขอให้พระชายาหมิงกลับมาเร็วๆ
เสียดาย หยุนหว่านหนิงไม่มาตามที่รอคอย
ประตูพังทลายลง
สายตาหยุนธิงหลานฉายแววได้ใจ พารุ่ยโย่วเดินเข้าไป ด้านนอกประตูยังมีบ่าวใช้อีกสองคน
ประตูห้องถูกกระทืบ พังกองลงบนพื้น เป็นฝีมือของบ่าวใช้สองคนนี้
“คุณหนูรอง…..”
จูเอ๋อร์ร้องไห้จนตาบวมเหมือนวอลนัท สายตาที่มองดูนางราวกับเห็นผี นางลุกขึ้นมาอย่างสั่นเทา สายตาไม่กล้าหันไปมองหยุนธิงหลาน
“น้องสามไม่ไหวแล้วจริงๆหรือ?”
หยุนธิงหลานเดินเข้าไปใกล้
นางก้มมองดูหยุนธิงธิงที่หลับไปแล้ว คิดว่านางสลบไปแล้วจริงๆ
สีหน้าหยุนธิงธิงขาวซีด ร่องรอยเลือดข้างเตียงยังไม่แห้ง
เห็นแบบนี้ หยุนธิงหลานรู้สึกได้ใจ
ใบหน้ากับเสแสร้งทำเป็นเจ็บปวด พร้อมพูดขึ้นว่า “น้องสามผู้น่าสงสาร นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่? แค่ปวดท้องเองไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงได้อาการหนักเช่นนี้?”
“หมอไม่ได้เรื่องพวกนี้”
หนังนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างเตียง
จากนั้นก็มีสาวใช้คนหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน
หลังจากนางกระซิบพูดข้างหูหยุนธิงหลาน สีหน้าหยุนธิงหลานเปลี่ยนไปทันที
จากนั้นก็ลุกขึ้นมามองดูจูเอ๋อร์แวบหนึ่ง พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าดูแลน้องสามให้ดี หากนางไม่ไหวแล้วจริงๆ ก็ไปรายงานท่านพ่อท่านแม่ จะได้เตรียมการทันที”
จูเอ๋อร์พูดตอบรับอย่างตื่นตระหนกหวาดกลัวว่า “ค่ะ”
หยุนธิงหลานค่อยจากไปอย่างรีบร้อน
นางเพิ่งจากไป หยุนหว่านหนิงก็กลับมาแล้ว
มองดูประตูที่กองอยู่บนพื้น สีหน้าของนางย่ำแย่ พร้อมพูดขึ้นว่า “หยุนธิงหลานคนนี้ ทำตามอำเภอใจอย่างไม่เกรงกลัวจริงๆ”
หยุนเจิ้นซงกับนางเฉินรักและตามใจนาง หยุนธิงธิงก็ไม่ชอบไปเอาใจพวกเขา
บวกกับหยุนธิงหลานสนิทกับโม่หุยเฟิงที่เหมือนดั่งต้นไม้ใหญ่…..
อยู่ในจวนยิ่งกั๋วกง นางเผด็จการเอาแต่ใจ ไม่มีใครห้ามได้
รังแกหยุนธิงธิงอย่างไม่เกรงกลัวขนาดนี้ กระทั่งยังน่าจะเป็นนางที่เป็นคนวางยาพิษ….ไม่สั่งสอนนาง นางจะคิดว่าจวนยิ่งกั๋วกงเป็นของนางคนเดียวแล้ว
“พระชายา ท่านไปทำอะไรมา?”
จูเอ๋อร์ร้องไห้อย่างหวาดกลัว พร้อมพูดขึ้นว่า “เมื่อกี้ข้าตกใจกลัวมากเลย คุณหนูรองน่ากลัวมาก”
“ใช่ บนโลกนี้ผีไม่ได้น่ากลัวที่สุด ที่จริงสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือคน”
หยุนหว่านหนิงถอนหลายใจ
ใครจะไปคิด เดิมหยุนธิงหลานกับหยุนธิงธิงเป็นพี่น้องกันแท้ กลับกระทำเรื่องชั่วช้าแบบนี้?
“เทื่งกี้ข้าไปตรวจสอบในห้องครัว คิดว่าหลักฐานคงมีคนทำลายไปแล้ว ดังนั้นเศษผักในถังจึงไม่พบยาพิษ”
สีหน้าหยุนหว่านหนิงอึมครึม สายตาค่อยๆเยือกเย็น
การกระทำแบบนี้ เหมือนเป็นฝีมือหยุนธิงหลานจริงๆ
นางทำอะไรอย่างไม่เคยทิ้งโอกาส และก็ไม่มีทางทิ้งหลักฐานเบาะแสอะไรแน่นอน
เหมือนอย่างตนที่วางยาพิษตนเอง แล้วใส่ร้ายฉินซื่อเสวีย ก็ไม่มีใครพบหลักฐานอะไรเลย
คนคนหนึ่งที่กล้าวางยาตนเองเพื่อผลประโยชน์ จะคาดหวังการมีความสำนึกอะไรจากนาง?
แต่หลักฐานถูกทำลายทิ้งแล้ว ใช่ว่านางจะไม่สามารถหาออกมาได้
หยุนหว่านหนิงมองไปที่รุ่งอรุณตรงขอบฟ้า พร้อมพูดขึ้นด้วยเสียงเข้มว่า “เรื่องนี้ข้าจะจัดการให้ถึงที่สุด ทางด้านธิงธิงเจ้าดูแลนางให้ดี ข้าจะเข้าวัง”
“กลับมาแล้วค่อยว่ากัน”
ตอนนี้หยุนธิงธิงพ้นขีดอันตรายแล้ว นางวางใจได้แล้ว
“ใช้ หยุนธิงหลานเป็นคนรอบคอบ”
เมื่อกี้ หยุนหว่านหนิงตั้งใจก่อเหตุขึ้นมาเล็กน้อย เพื่อดึงดูดนางไป
ตราบที่ยังไม่ได้มั่นใจว่าหยุนธิงธิงตายแล้ว นางไม่ยอมง่ายๆแน่
เมื่อคิดไปคิดมา หยุนหว่านหนิงเอายาเม็ดหนึ่งออกมาจากช่องว่าง ใส่เข้าไปในปากหยุนธิงธิง พร้อมพูดขึ้นว่า “ยาเม็ดนี้คือยาแกล้งตาย เมื่อทานลงไปแล้วจะทำเหมือนคนตาย”
“เดี๋ยวหยุนธิงหลานจะต้องพาหมอมาอีก เพื่อตรวจอาการธิงธิง”
“เจ้าอย่าแสดงอาการมีพิรุธ ประมาณหนึ่งชั่วโมงข้าก็จะกลับมา”
“ค่ะ พระชายา”
จูเอ๋อร์ฟังอยู่อย่างหวาดกลัวหวาดระแวง รีบตอบรับอย่างเคารพ
หยุนหว่านหนิงค่อยจากไปอย่างวางใจ
นางกลับมายังจวนอ๋องหมิง หยวนเป่ายังไม่ตื่น โม่เยว่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยเตรียมตัวเข้าวังไปร่วมว่าราชการแล้ว
ช่วงก่อนมีคำสั่งโม่จงหราน ให้นางเข้าวังทุกวันเพื่อปรับสภาพร่างกาย….ดังนั้นหยุนหว่านหนิงต้องเข้าวังไปพร้อมกับโม่เยว่ หลังจากตรวจชีพจรให้กับโม่จงหราน ค่อยออกมาจากวัง
เพิ่งเข้ามาถึงประตูซวนหวู่ ก็เห็นหยุนเจิ้นซงกับขุนนางที่สนิท กำลังเดินไปยังตำหนักฉินเจิ้งพร้อมกัน
สีหน้าเขายิ้มแย้ม กำลังพูดคุยอยู่กับพวกขุนนาง
บนใบหน้าไม่มีวี่แววโศกเศร้าเป็นกังวลเลย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไม่รู้ถึงความรุนแรงของหยุนธิงธิง หรือว่ารู้เรื่องนี้ดีแต่ทำเป็นไม่รู้
ในใจหยุนหว่านหนิงโกรธจัด เดือดไปถึงหัวในทันที
เพียงแค่คิดถึงหยุนธิงธิงที่อายุยังน้อย ก็ถูกกลั่นแกล้งถูกกระทำเย็นชาอยู่ในจวนยิ่งกั๋วกง….
นางก็ยิ่งโกรธโมโห
ความแค้นเก่าใหม่ปะทุขึ้นมา ฝ่ามือของนางเริ่มคัน อยากตบคนเพื่อระบายความโกรธโมโห
หยุนหว่านหนิงเป็นคนเคลื่อนไหวเร็ว
คิดยังไง ก็กระทำทำอย่างนั้นทันที
โม่เยว่ที่อยู่ข้างกายยังไม่ได้สติกลับมา ก็เห็นนางไล่ตามมาเหมือนอย่างลม คว้าจับคอเสื้อด้านหลังหยุนเจิ้นซง พร้อมพูดขึ้นว่า “ยิ่งกั๋วกง ข้ามีเรื่องจะคุยด้วย”
หยุนเจิ้นซงยังไม่ได้สติกลับมา ก็ถูกหยุนหว่านหนิงหิ้วตัวขึ้นมา
นางหิ้วราวกับหิ้วไก่น้อยโดยยกเขาขึ้นมา
เมื่อกี้ หยุนเจิ้นซงรู้สึกเพียงว่าด้านหลังมีสายตาโกรธแค้นมองมา ด้านหลังเหมือนถูกสายตาที่ร้อนรุ่มแผดเผาจนเป็นรู
เขายังไม่ทันได้หันหน้าไปดู ว่าใครกันที่โกรธแค้นเขาขนาดนี้……
แล้วก็รู้สึกได้ถึงลมเยือกเย็นพัดมา จากนั้นเท้าของเขาก็ลอยพื้นแล้ว
อัปยศ
น่าอับอายอัปยศอย่างที่สุด
เขาเป็นถึงยิ่งกั๋วกง ภายในวัง ภายใต้สายตาขุนนางเป็นร้อย เขาถูกคนหิ้วขึ้นมาก็ช่างเถอะ
ที่สำคัญก็คือ คนที่หิ้วเขาขึ้นมา กลับเป็นลูกสาวของเขาหยุนหว่านหนิง
หลังจากหยุนเจิ้นซงเห็นชัดเจนแล้วว่าเป็นหยุนหว่านหนิง ก็โกรธโมโหจนหน้าแดงไปถึงคอ
เขาดิ้นรน แล้วก็พบว่าเจ้าลูกคนนี้มีแรงเยอะมาก….
เขาขยับไม่ได้เลย
ยิ่งดิ้นรนก็ยิ่งดูตลก
เขาจึงจำต้องหยุดดิ้นรน จ้องมองนางอย่างดุเดือด พร้อมพูดขึ้นว่า “นี่พระชายาหมิงทำอะไร? มีอะไรก็คุยกับพ่อดีๆไม่ได้หรือ ทำไมต้องลงไม้ลงมือ?”
“ข้ายังไม่ได้ลงมือเลย”
หยุนหว่านหนิงขมวดคิ้ว เงยหน้ามองดูเขา พร้อมพูดขึ้นด้วยสีหน้ายั่วยุว่า “ยิ่งกั๋วกงอยากลองไหม ข้าลงมือนั้นเป็นยังไง?”
ข่มขู่อย่างโจ่งแจ้งแบบนี้ สีหน้าหยุนเจิ้นซงขาวซีดทันที
เจ้านังเด็กคนนี้ เหิมเกริมเกินไปแล้ว
“เจ้า…..”
หยุนเจิ้นซงหน้าแดง พูดว่าอะไรไม่ออก
สักพักค่อยกัดฟันพูดออกมาว่า “ข้าเป็นพ่อของเจ้านะ”
“หากไม่ใช่พ่อของข้า ตอนนี้คงถูกข้าเหยียบย่ำกับพื้นแล้ว ไม่ใช่เพียงหิ้วขึ้นมา เจ้าควรดีใจที่เจ้าเป็นพ่อของข้า”
หยุนหว่านหนิงหัวเราะเย้ย สายตาฉายแววประชดประชัน
พวกขุนนางที่เดินผ่านมา ต่างก็หันมามองพวกเขาสองคนอย่างตกตะลึง
ใบหน้าหยุนเจิ้นซงร้อนรุ่ม
ถึงจะอับอายขายหน้า แต่ก็เพราะอยู่ในที่สาธารณะภายใต้สายตาคนมากมาย หยุนหว่านหนิงไม่กล้าลงมือทำอะไรเขา
แต่ เขาคาดเดาผิดไป
หยุนหว่านหนิงลงมือทำอะไรเขาไม่ได้….โม่เยว่สามารถทำได้