อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 84 ข้าไม่ได้ลงมือ
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 84 ข้าไม่ได้ลงมือ
หยุนเจิ้นซงเห็นว่าตนเองเป็นพ่อของหยุนหว่านหนิง มั่นใจว่านางไม่กล้าทำอะไรภายใต้สายตาผู้คนมากมายแน่ จึงแสดงท่าทีได้ใจ
“เจ้าแน่นักก็ลงมือทำร้ายข้าเลย”
เขาพูดอย่างยั่วยุ เห็นได้ชัดว่าไม่คำนึงถึงหน้าตาแล้ว พร้อมพูดขึ้นว่า “เรามาคอยดู คนที่ถูกตำหนิลับหลังคือเจ้าหรือข้า”
ไม่คิดว่าเขาจะหน้าด้านขนาดนี้ หยุนหว่านหนิงขมวดคิ้ว
แล้วเวลานี้ โม่เยว่เดินเข้ามา
เขาตบบ่าหยุนหว่านหนิงเบาๆ พร้อมพูดขึ้นว่า “หนิงเอ๋อร์ มีอะไรก็พูดกันดีๆ”
ทำไมจะต้องลงไม้ลงมือ?
สำหรับโม่เยว่ หยุนหว่านหนิงต้องให้เกียรติ
จู่ๆ นางก็ปล่อยมือ หยุนเจิ้นซงเป็นเหมือนอย่างก้อนเหล็ก หล่นกระทบพื้นอย่างแรง
สะโพกของเขากระทบพื้นอย่างแรงจนร้องขึ้นมาอย่างเจ็บปวด
สาเหตุที่เมื่อคืนหยุนหว่านหนิงไปจวนยิ่งกั๋วกง โม่เยว่รู้จากหรูเยียนแล้ว วันนี้เห็นนางโกรธโมโหจนจะลงมือทำร้ายหยุนเจิ้นซง ถึงเขาจะห้าม….
แต่วินาทีต่อมา จู่ๆโม่เยว่ก็ยกเท้าเตะหยุนเจิ้นซงลอยไปไกล
หยุนเจิ้นซงคิดไม่ถึง ว่าจู่ๆเขาจะลงมือ
เขาเป็นขุนนางบุ๋นคนหนึ่ง ยังอายุมากแล้ว จะรับแรงเท้าของโม่เยว่ได้อย่างไร?
หยุนเจิ้นซงเป็นเหมือนอย่างว่าวที่เชือกขาด กระเด็นกระทบพื้นอย่างแรง
คราวนี้ เขาโยนจนร้องโอดอวยอย่างต่อเนื่อง ลุกขึ้นมาไม่ได้ตั้งนาน
หยุนหว่านหนิงมองดูเขาอย่างตกตะลึง พร้อมพูดขึ้นว่า “ไหนบอกว่ามีอะไรก็คุยกันดีดี ไม่ต้องลงมือไม่ใช่หรือ?”
โม่เยว่กวาดสายตามองดูนางด้วยสีหน้าเรียบเฉยแวบหนึ่ง จัดแขนเสื้อให้เรียบร้อย แล้วคุณตอบอย่างสง่างามว่า “ข้าไม่ได้ลงไม้ลงมือ ข้าแค่เคลื่อนไหวเท้าเท่านั้น”
หยุนหว่านหนิงพูดขึ้นว่า “……ท่านอ๋องเยี่ยมที่สุด”
“แต่ว่า ทำไมเจ้าถึงไม่ตำหนิที่ข้าใจร้อนวู่วาม? กลับยังช่วยเหลือข้า?”
“ข้าเกลียดคนที่รังแกคนอ่อนแอกว่าแต่กลัวคนที่แข็งแรงกว่าที่สุด”
ในสายตาของเขา หยุนเจิ้นซงก็คือคนที่รังแกคนอ่อนแอกว่าแต่กลัวคนที่แข็งแรงกว่า
อยู่ในราชสำนัก ถือว่าตนเองอยู่ภายใต้อำนาจของโม่หุยเฟิง จึงรังแกคนอื่นอย่างนับครั้งไม่ถ้วน
อยู่ในจวน รักใคร่หยุนธิงหลานอย่างลำเอียง ไม่เพียงในสายตาไม่มีลูกสาวอย่างหยุนธิงธิง ยิ่งไม่มีหยุนหว่านหนิงที่เป็นลูกสาวคนโตคนนี้
ถึงแม้เขาจะไม่มีความรู้สึกอะไรกับหยุนหว่านหนิงผู้หญิงคนนี้
แต่ยังไงนางก็เป็นพระชายาของเขา
ผู้หญิงของเขา คนอื่นสามารถรังแกได้หรือ?
ซึ่งไม่ได้อยู่แล้ว
โม่เยว่เอามือไขว้หลัง พร้อมหันเดินเข้าไปในตำหนักฉินเจิ้ง
มีพวกขุนนางช่วยประคองหยุนเจิ้นซง ลุกขึ้นมาจากพื้นอย่างยากลำบาก หน้าตาเขามอมแมมไปด้วยฝุ่น ไม่สนใจเสื้อผ้าเสื้อคลุมที่ยุ่งเหยิง ร้องตะโกนพูดขึ้นว่า “ไม่มีความเป็นธรรม ไม่มีกฎหมาย”
“ใต้ฝ่าพระบาท ตรงหน้าฮ่องเต้ อ๋องหมิงกับพระชายาหมิงใช้อำนาจทำร้ายคนอื่น”
เขากระทืบเท้าไปด้วย ถลึงตามองหยุนหว่านหนิงอย่างโกรธแค้น พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าเป็นพ่อของเจ้า”
“ถึงเจ้าจะเป็นถึงพระชายา แต่ทำแบบนี้กับข้าถือเป็นบาปกรรม เจ้าเนรคุณ”
“ยิ่งกั๋วกงยังมีแรงตะโกนก่นด่า แสดงว่าท่านอ๋องกระทืบยังไม่แรงพอ ให้ข้าเสริมอีกไหม?”
หยุนหว่านหนิงจ้องมองดูเขาอย่างอมยิ้ม
อาจเป็นเพราะเมื่อกี้โม่เยว่ช่วยระบายความโกรธให้นาง ตอนนี้นางจึงอารมณ์ดีไม่น้อย
ไม่อย่างนั้นคงตรงไปเตะหยุนเจิ้นซงอีกครั้ง ไม่ใช่พูดหยอกย้อนเขา
“เจ้า….”
หยุนเจิ้นซงตกใจกลัวนาง หลบไปอยู่ข้างหลังขุนนางคนหนึ่งอย่างอัตโนมัติ พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าเหิมเกริมเกินไปแล้ว ข้าจะเอาเรื่องไปทูลฮ่องเต้”
“ไปสิ”
จู่ๆ หยุนหว่านหนิงก็หัวเราะขึ้นมา พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าก็กำลังจะขอความเห็นจากเสด็จพ่อเรื่องหนึ่งเหมือนกัน”
“ให้ท้ายลูกสาวคนรอง รังแกลูกสาวคนเล็ก จนถึงขั้นวางยาพิษ….ยิ่งกั๋วกงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น หรือสมรู้ร่วมคิด หรือว่ามีส่วนร่วมด้วย?”
นางเอามือกอดอก มองดูหยุนเจิ้นซงอย่างครุ่นคิด พร้อมพูดขึ้นว่า “เรื่องนี้ ต้องตรวจสอบให้ดี”
ได้ยินแบบนี้แล้ว สีหน้าหยุนเจิ้นซงขาวซีดลงทันที
เขาคิดไม่ถึงเลยว่า หยุนหว่านหนิงจะรู้เรื่องนี้?
“เจ้า เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร? ข้าไม่เข้าใจ”
เขาไม่กล้าโต้เถียงนางต่อ กลัวว่านางจะพูดอะไรออกมาอีก จนทำให้เขาทำให้จวนยิ่งกั๋วกงถูกคนอื่นก่นด่า หยุนเจิ้นซงจึงก้มหน้าเดินจากไป
พวกขุนนางที่อยู่ด้านข้างฟังรู้ถึงความผิดปกติ จึงต่างวิพากษ์วิจารณ์ พร้อมเดินเข้าไปในตำหนักฉินเจิ้ง
และแล้ว อันแรกก็คือ หยุนเจิ้นซงไปฟ้องโม่จงหราน
บอกว่าอ๋องหมิงให้ท้ายพระชายาหมิงทำร้ายเขา จะไปเรียกร้องความเป็นธรรมจากฮ่องเต้
เขาจะกล้าฟ้องโม่เยว่หรือ?
จะว่าไปแล้ว ก็กล้ามีเรื่องกับหยุนหว่านหนิงคนเดียวเท่านั้น
เดิมคิดว่าโม่จงหรานจะเข้าข้างเขา ที่ไหนได้ เขาเพียงแค่พูดขึ้นมาอย่างเรียบเฉยว่า “นี่เป็นเรื่องภายในครอบครัวของพวกเจ้า ข้าไม่ควรเข้าไปยุ่ง” แล้วก็จากไป
ความหมายก็คือ จะไม่ช่วยไม่เข้าข้างเขา
กระทั่งยังแลดูเหมือน ค่อนข้างเขาข้างหยุนหว่านหนิง
หยุนเจิ้นซงเป็นเหมือนอย่างมะเขือที่ถูกแช่แข็ง หดหู่ขึ้นมาทันที
เขาใจลอยตลอดการว่าราชการเช้า ถูกโม่จงหรานตำหนิอยู่หลายครั้ง
สุดท้ายต้องยื่นคำขาดเป็นครั้งสุดท้าย หากเขาที่เป็นยิ่งกั๋วกง “ไร้ความสามารถ” ยังทำได้ไม่ดี ก็ไม่รู้มันต้องมี “คนไร้ความสามารถ” มาอยู่ในราชสำนัก
หยุนเจิ้นซงตกใจจนหน้าซึดเซียว จำต้องอดกลั้นจนว่าราชการเช้าเสร็จสิ้น
เสร็จจากว่าราชการแล้ว เขาก็รีบกลับจวนยิ่งกั๋วกง
คิดถึงคำพูดของหยุนหว่านหนิงพวกนั้น…..
เห็นได้ชัดว่านางโกรธโมโหแทนหยุนธิงธิง
ถึงแม้ไม่รู้ว่าทำไมต้องโกรธโมโหแทนหยุนธิงธิง หยุนเจิ้นซงงุนงง และก็ไม่รู้สาเหตุ
วันนี้อยู่ดีดีก็ถูกทำร้าย ยังถูกฮ่องเต้ตำหนิ เขาอับอายขายหน้าจนหมดสิ้นแล้ว
หยุนเจิ้นซงที่ไม่รู้สาเหตุ ก็น้อยใจอย่างมาก
ในใจของเขาร้อนรุ่มไปด้วยไฟ เข้าประตูมาก็ตรงไปยังเรือนหยุนธิงธิง ที่ไหนได้ หยุนธิงหลานกับนางเฉินก็อยู่ด้วย
สองแม่ลูกนั่งอยู่ด้านข้างเตียง จูเอ๋อร์ถูกเบียดไปอยู่ด้านหลังประตู ตอนนี้หมอหลายคนก็เฝ้าอยู่ด้านข้างเตียง ส่วนหยุนธิงธิงที่อยู่บนเตียง เหมือนกับคนนอนหลับไปแล้ว
บรรยากาศภายในห้องอึมครึม อึดอัดอย่างมาก
หยุนเจิ้นซงขมวดคิ้ว พร้อมพูดขึ้นว่า “เกิดอะไรขึ้น”
เอารีบก้าวเท้าเดินเข้ามาพร้อมถามขึ้นว่า “ล้วนมาอยู่ในห้องธิงธิงกันทำไม?”
เห็นเขาเข้ามาแล้ว นางเฉินก็เริ่มร้องไห้ พูดอะไรไม่ออก
หยุนธิงหลานรีบลุกขึ้นมา หยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำตา พร้อมพูดขึ้นว่า “ท่านพ่อ โปรดระงับความเสียใจ”
โปรดระงับความเสียใจ?
หยุนเจิ้นซงยิ่งขมวดคิ้วเข้ม หันไปมองหยุนธิงหลานอย่างไม่พอใจ พร้อมพูดขึ้นว่า “อยู่ดีดีทำไมข้าต้องระงับความเสียใจ เสียใจเรื่องอะไร?”
หยุนธิงหลานหันไปมองดูหยุนธิงธิงที่ใบหน้าขาวซีด สายตาฉายแววเย็นชา
แล้วก็หันกลับมา สะอึกสะอื้นจนพูดอะไรไม่ออก
“ท่านพ่อ น้องสาม นางตายแล้ว”
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”
หยุนเจิ้นซงราวกับถูกฟ้าผ่าตอนกลางวัน สีหน้าขาวซีดแล้วก็แข็งทื่อ
ร่างกายเขาเซเล็กน้อย ก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว พร้อมพูดขึ้นว่า “ธิงธิงตายแล้ว? เป็นไปได้อย่างไร? เมื่อวานก็ยังดีดีอยู่ไม่ใช่หรือ?”
เขายังตั้งใจสั่งไว้ว่า ให้นางไปที่จวนอ๋องหมิง
อีกไม่กี่วันหยุนธิงธิงก็จะอายุครบสิบห้า นางยังไม่บรรลุนิติภาวะจะตายได้อย่างไร?
หยุนธิงหลานเอียงข้างให้เขาเข้าไป พร้อมพูดขึ้นว่า “น้องสามนาง…..”
พูดไม่เสร็จ พ่อบ้านในจวนเหล่าเฉินเข้ามารายงานอย่างตื่นตระหนกว่า “นายท่านฮูหยิน คุณหนูรอง แย่แล้ว”
“พระชายาหมิงมา ยัง ยังพาผู้ชันสูตรศพมาด้วย บอกว่าจะมาชันสูตรคุณหนูสาม”
“อะไรนะ?”
ได้ยินแบบนี้ สีหน้าหยุนธิงหลานเปลี่ยนไป ถามขึ้นมาอย่างไม่อยากเชื่อว่า “หยุนหว่านหนิงจะมาทำอะไร?”