อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่ 97 ต้มตุ๋น
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ ตอนที่ 97 ต้มตุ๋น
โม่เฟยเฟยในอดีต ถูกใบหน้าใสซื่อฉินซื่อเสวียทำให้หน้ามืดตามัว
ตอนนี้นางมองเห็นทะลุปรุโปร่งแล้วว่า เบื้องหลังใบหน้าใสซื่อของนางนี้ มีจิตใจชั่วร้ายอย่างไรซ่อนอยู่กันแน่ ดังนั้นการเสแสร้งไม่ได้รับความเป็นธรรมกับนาง โม่เฟยเฟยนั้นก็ไม่ได้รู้สึกอะไร
นางกวาดตามองอย่างเย็นชา “พี่สะใภ้สามคิดมากแล้ว”
“ช่วงนี้ข้าไม่สบาย ไม่ค่อยอยากพูดเยอะเท่าไร จะกับใครก็ล้วนเป็นเช่นนี้”
คำอธิบายนี้ ทำให้ฉินซื่อเสวียถอนหายใจอย่างไม่เต็มใจ
นางรู้จักลักษณะนิสัยของโม่เฟยเฟยเป็นอย่างดี
หากนางรู้เรื่องตอนนั้นจริง ๆ …ตอนนี้คงไม่คุยกับนางอย่างใจเย็นเช่นนี้ เกรงว่าคงโวยวายให้วุ่นไปทั้งวังแต่แรก แล้วโวยวายไปฉีกทึ้งหลังคาจวนอ๋องหยิง
คาดว่าความจริงเมื่อสี่ปีที่แล้ว แม้แต่หยุนหว่านหนิงก็ไม่รู้
นางทำให้กลายเป็นแพะรับบาปของนาง และต้องเป็นแพะรับบาปของนางไปตลอดชีวิตนี้!
ความเย็นชาในแววตาฉินซื่อเสวียฉายแวบครู่หนึ่ง
ตอนที่มองโม่เฟยเฟยอีกครั้ง ก็ยิ้มอย่างนุ่มนวล “เฟยเฟย เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลย ว่าเมื่อวานเจ้าไปทำอะไรที่จวนอ๋องหมิงรึ”
“เจ้ากับพระชายาหมิง…ความสัมพันธ์ดีขึ้นแล้วหรือ”
ขณะพูด ไม่รอให้โม่เฟยเฟยตอบกลับ นางก็พูดกับตัวเองว่า “อันที่จริง พระชายาหมิงถึงจะเป็นพี่สะใภ้ที่แท้จริงของเจ้า”
“เฟยเฟย เจ้าควรอยู่ร่วมกับนางอย่างสันติถึงจะถูก”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ โม่เฟยเฟยก็รู้สึกประหลาดใจ
นางกวาดตามองฉินซื่อเสวีย “พี่สะใภ้สาม หมายความว่าอย่างไร”
“เมื่อก่อนไม่ใช่ว่าเจ้าบอกข้าว่า หยุนหว่านหนิงทำร้ายข้า ข้าต้องจดจำความแค้นนี้ไปตลอดชีวิตหรือไม่”
ฉินซื่อเสวียทำหน้าอึดอัดเล็กน้อย
แต่หลังจากคิดดูแล้ว โม่เฟยเฟยเป็นคนไม่มีสมอง
ตราบใดที่นางไม่พูดความอึดอัดของนางออกไป โม่เฟยเฟยก็ไม่มีทางมองความอึดอัดของนางออกแน่นอน!
ดังนั้น นางจึงอธิบายด้วยรอยยิ้มบางว่า “เมื่อก่อนก็คือเมื่อก่อน เมื่อก่อนที่ท่านพี่เยว่ไม่ชอบนาง แต่มาดูตอนนี้ ไม่เพียงแต่ท่านพี่เยว่จะอบนาง แม้กระทั่งเสด็จพ่อก็ให้ความสำคัญนาง”
“หากเจ้ายังเป็นศัตรูกับนางต่อไป จะไม่เป็นการทำให้ท่านพี่เยว่และคนอื่น ๆ ที่อยู่ตรงกลางลำบากใจหรือ”
ฟังดูแล้วเหมือนจะเพื่อให้เป็นผลดีต่อครอบครัวของพวกเขา
แต่ในใจโม่เฟยเฟยกลับหัวเราะอย่างเย็นชา
ฉินซื่อเสวียผู้นี้ ยังคิดว่านางฟังความหมายโดยนัยไม่ออกจริง ๆ หรือ
เห็นชัดว่าเป็นแผนการสร้างความบาดหมางที่สุดยอดยิ่ง
ให้นางรู้ว่าหยุนหว่านหนิงเป็นคนก่อกวนราชวงศ์ให้วุ่นวาย หากนางยังเป็นอริกับนางต่อไป ก็จะเป็นการทำให้โม่เยว่และคนอื่น ๆ ที่อยู่ตรงกลางลำบากใจ
สุดยอด สุดยอดจริง ๆ!
เมื่อสบสายตาที่ “จริงใจ” ของฉินซื่อเสวีย โม่เฟยเฟยยิ้มทันทีทันใด “ที่พี่สะใภ้สามพูดถูกจริง ๆ ”
“นังคนชั้นต่ำหยุนหว่านหนิงนี่ไม่ง่ายเลยจริง ๆ ! ตอนนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้พี่เจ็ดข้าชื่นชอบเท่านั้น ยังทำให้เสด็จพ่อเห็นความสำคัญได้ แม้แต่เสด็จแม่ก็เหมือนจะเปลี่ยนความคิดที่มีต่อนาง…”
โม่เฟยเฟยถอนหายใจ “ข้าเป็นศัตรูกับนางนั้นไม่ดีเลยจริงๆ !”
เห็นนางฟังความหมายโดยนัยของนางออก ฉินซื่อเสวียถอนหายใจอย่างนิ่งเงียบ
นางก็ได้รู้ว่า โม่เฟยเฟยเป็นคนที่ไม่มีสมอง
ตอนนี้ล้วนเป็นนางกังวลมากเกินไป เฟยเฟยผู้นี้ยังเป็นคนโง่เง่าเหมือนเดิม เพราะงั้นก็ได้จัดการไปเยอะแล้ว
นางจับมือของนางเบา ๆ ทำหน้าจริงใจ “เฟยเฟย ข้าก็เพราะดีต่อเจ้า!แม้ข้ากับท่านพี่เยว่ไม่อาจเป็นสามีภรรยากันได้ แต่ใจข้านี้ก็หวังให้เขามีชีวิตที่ดี”
“ไม่สนว่าเมื่อก่อนหยุนหว่านหนิงจะเป็นอย่างไร…”
ครู่หนึ่ง นางก็ส่ายหัวเบา ๆ อีกครั้ง “แต่อย่างน้อยตอนนี้นางได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว! พวกเราก็ไม่ควรหมกมุ่นกับความเกลียดชังที่ผ่านไปแล้ว ควรให้โอกาสนางกลับเนื้อกลับตัวสักคราไม่ใช่หรือ”
“ที่พี่สะใภ้สามพูดก็ใช่”
โม่เฟยเฟยกลับกุมมือนางแทน ยิ้มอย่างมีความหมายลึกซึ้ง
“เฟยเฟย เจ้าต้องจำไว้ว่า ข้าจะคอยหนุนหลังเจ้าอยู่เสมอ! ข้าไม่ได้เป็นเพียงพี่สะใภ้สามของเจ้า ทั้งเป็นพี่สาวที่แสนดีของเจ้าด้วย หากมีเรื่องอะไรก็มาหาข้าได้เลย! ไม่ว่าอย่างไรข้าจะยืนอยู่ข้างเจ้าเสมอ”
คำพูดของฉินซื่อเสวีย ทำให้โม่เฟยเฟย “ซาบซึ้ง” อย่างมาก
นางทำหน้าซาบซึ้ง “พี่สะใภ้สามที่ท่านกล่าวจะทำให้ข้าร้องไห้แล้ว!ขอบคุณท่านที่ ‘ดี’ ต่อข้าขนาดนี้!”
ฉินซื่อเสวียช่าง “ดี” ต่อนางจริง ๆ
สี่ปีก่อนก็พยายามหาคนมาทำร้ายนาง แล้วยังผลักไปใส่หัวหยุนหว่านหนิง ส่วนตัวเองก็แสดงบทบาทไร้เดียงสา
หลายปีที่ผ่านมาต้องมาแสดงเป็นพี่สาวใหญ่ที่รู้ใจต่อหน้านาง ทั้งจะลำบากเพื่อนางจริง ๆ อีก!
เห็นโม่เฟยเฟยยังคงเป็นปกติ ราวกับความเย็นชาเมื่อครู่เป็นภาพหลอนของนาง
ฉินซื่อเสวียกำชับสองสามประโยคให้นางพักผ่อนให้เต็มที่ ถึงได้ลุกขึ้นแล้วจากไป
เพิ่งออกจากตำหนักเว่ยหยาง นางก็สั่งจื่อซูที่อยู่ด้านหลังเสียงต่ำ “จื่อซูอีกเดี๋ยวไปตรวจสอบมา ที่เมื่อวานองค์หญิงเก้าไปจวนอ๋องหมิง ไปทำอะไรกันแน่”
“กับหยุนหว่านหนิง มันเกิดอะไรขึ้นอีก!”
นางเป็นคนที่ขี้สงสัย
แม้ว่าจะเห็นโม่เฟยเฟยไม่มีอะไรผิดปกติ แต่เมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยได้ปลูกลงในใจนางแล้ว
หากไม่ถอนเมล็ดพันธุ์นี้ออก นางคงไร้หนทางที่จะวางใจ
จื่อซูก้มศีรษะตอบรับ สองนายบ่าวเตรียมออกวัง
แล้วเห็นรถม้าของจวนอ๋องหมิงอยู่ไกล ๆ เห็นว่ากำลังออกจากวัง ในใจฉินซื่อเสวียก็ยินดี ยกชายกระโปรงอย่างไม่ได้ตั้งใจ วิ่งเหยาะ ๆ ตามไป “เดี๋ยวก่อน!”
วันนี้นางตั้งใจเข้าวัง และจงใจรีบออกวังในยามนี้
ได้สั่งให้จื่อซูไปตรวจสอบมาแต่เช้าตรู่ ว่าปกติโม่เยว่เข้าวังยามไหน แล้วก็ออกวังยามไหน
แต่หยุนหว่านหนิงอยู่ข้างกายเขาเสมอ วันนี้จื่อซูสืบมาว่ามีเพียงอ๋องหมิงเข้าวังคนเดียว เหมือนว่าพระชายาหมิงจะไปตระกูลกู้…
ดังนั้นฉินซื่อเสวียจัดแจงแล้วเข้าวังทันที
หลังจากเดินเตร็ดเตร่ในตำหนักเว่ยหยางอยู่พักหนึ่ง ก็ “บังเอิญ” ขวางโม่เยว่อยู่ที่ประตูวัง
เมื่อได้ยินด้านหลังมีคนตะโกนให้รอก่อน หลังสารถีรถม้าได้รับสัญญาณจากท่านอ๋องด้านในรถม้า จึงหยุดรถม้าลง
ฉินซื่อเสวียวิ่งเหยาะ ๆ อยู่ครู่หนึ่ง หยุดห่างจากรถม้าไม่กี่ก้าว จัดการลูกผมที่ยุ่งอยู่เล็กน้อย แล้วหายใจเข้าลึก ๆ เดินไปข้างหน้าโดยแสร้งทำเป็นเงียบสงบ
“ท่านพี่เยว่。”
นางเรียกออกมาอย่างหยาดเยิ้ม
ในรถม้าไร้คนขานรับ
แต่ฉินซื่อเสวียรู้ว่า โม่เยว่อยู่ในรถม้า
แตกต่างจากบรรดาพี่น้องโม่หุยเฟิง ล้วนชอบใช้อำพันทะเล
โม่เยว่มักจะชอบใช้กลิ่นหอมเย็น ๆ …แม้ไม่รู้ว่าใช้เครื่องหอมอะไรมาทำ แต่ได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่สดชื่นนั้นมาแต่ไกล
เหมือนกับดอกเหมยที่ผลิบานในส่วนลึกของสวนหลวง กลิ่นหอมเบาบางแฝงอยู่ในทางเดินอันเงียบสงบ และโชยออกมาเป็นเส้นสาย…
กลิ่นนั้นก็เหมือนกับตัวของโม่เยว่ ทั้งเยือกเย็นและสันโดษ
ไม่มีการตอบกลับจากเขา แต่ได้กลิ่นหอมเย็นเบาบาง ฉินซื่อเสวียก็รู้ว่าโม่เยว่อยู่ในรถม้า
นางรวบรวมความกล้า กล่าวเสียงเบา “ท่านพี่เยว่ ข้ารอท่านตั้งนานแล้ว ในที่สุดก็ได้โอกาสนี้มา อยากจะบอกความในใจของข้ากับท่านเอง”
“ท่านพี่เยว่น่าจะได้ยิน ว่าตอนนี้ข้าลำบากมากมาบ้างกระมั้ง”
นางบีบน้ำตาสองหยด หยิบผ้าเช็ดหน้าผ้าออกมาเช็ดอย่างเบามือ “แม้จะได้กำเนิดลูกสาวสองคนให้อ๋องหยิง แต่เขายังถือว่าข้าเป็นคนของตัวเอง”
“ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะ ข้าเคยหมั้นหมายกับท่านพี่เยว่!”
เดิมทีคิดว่าโม่เยว่ไม่น่าจะขานตอบ
ใครจะรู้ว่านางเพิ่งกล่าวจบ ก็ได้ยินเย็นชาจากภายในรถม้าว่า “เจ้าคิดจะต้มตุ๋นข้า?”