อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่52 ไม่ใช่ลูกชายท่าน
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่52 ไม่ใช่ลูกชายท่าน
เฉลิมพระชนมพรรษาของเต๋อเฟยอยู่ต้นเดือนสิบสอง
หลังจากเข้าฤดูหนาว ก็มีหิมะตกมาหลายครั้งแล้ว เมื่อคืนนี้หิมะตกก็ตกอีก เมืองหลวงทั้งเมืองถูกปกคลุมไปด้วยสีเงิน บนพื้นนั้นเต็มไปด้วยหิมะสีเงิน
ในคืนเดือนสิบเอ็ดที่ยี่สิบเก้า หยุนหว่านหนิงเดินเข้าไปในเรือนทิงจู่
โม่เย่คุ้นเคยกับการดำรงอยู่ของหยวนเป่านานแล้ว และคนรับใช้ในจวนอ๋องหมิงก็เห็นเขาเป็นคุณชายเล็กมานานแล้ว
สองแม่ลูกสวมเสื้อคลุม ทันทีที่เข้าไปในเรือนทิงจู่ สาวรับใช้ก็รีบมารับเสื้อคลุมไป
หยุนหว่านหนิงนั่งยองๆ อยู่ข้างหน้าของหยวนเป่า ปัดเกล็ดหิมะบนไหล่ของเขาลงเบาๆ
ลมหนาวพัดมาเบาๆ ตะเกียงใต้ชายคาก็แกว่งไปมาเบาๆ ทำให้เกิดแสงเหงาบนพื้น
รอบตัวของนางถูกปกคลุมด้วยแสงสีเหลือง รอบกายก็เต็มไปด้วยออร่าที่อ่อนโยน โม่เยว่วางหนังสือประวัติศาสตร์ในมือลง……หยุนหว่านหนิงนำข้อมูลเกี่ยวกับค่ายเสินจีเพียงสองสามหน้าให้เขาเท่านั้น
เขาจัดข้อมูลเองไปสักพัก หนังสือจดบันทึกก็หนาเป็นกองๆ
คราวนี้เมื่อถือมันไว้ในอ้อมแขน เป็นเหมือนหนังสือเล่มหนาเล่มหนึ่งจริงด้วย
“ไปเล่นเถอะ”
เมื่อเห็นหรูยี่เข้าใกล้ หยุนหว่านหนิงก็ตบไหล่หยวนเป่าเบาๆ “วันหิมะตกถนนลื่น ข้างนอกฟ้ามืด ระวังตัวด้วย”
“ข้าทราบแล้ว ท่านแม่”
หยวนเป่าตอบอย่างเชื่อฟัง
หรูยี่เดินไปข้างหน้าและจับมือเขา ทั้งสองก็ออกไปเล่นหิมะด้วยกัน
ในห้องมีไฟจุดไว้กะละมังหนึ่ง ของที่ใช้เผาในกะละมังนั้นเป็นถ่านที่ดีที่สุด ไม่มีควันหรือฝุ่นในแม้แต่นิด
ฟังดูเสียงของหยวนเป่าที่เล่นหิมะอย่างมีความสุขในลาน ในระหว่างคิ้วของหยุนหว่านหนิงก็เต็มไปด้วยความกังวลเล็กน้อย กำลังจะอ้าปากพูด ก็ได้ยินโม่เยว่พูดว่า “ยืนไว้ทำไร? บังแสงของข้าแล้ว”
“ข้าอยู่ที่ประตู จะบังแสงเจ้าได้อย่างไร?”
หยุนหว่านหนิงเดินเข้าใกล้ ก็เห็นว่าในมือของเขายังมีตะเกียงอยู่อันหนึ่ง ก็อดหัวเราะไม่ได้ “ข้ากลับไม่รู้ ตาทั้งคู่ของท่านอ๋องเปิดกล้างเช่นนี้กลับมองไม่เห็น?”
“แสงสว่างขนาดนี้ ทำไมถึงมองไม่เห็นล่ะ?”
“เจ้ามา ทะเลาะกับข้าหรือ?”
โม่เยว่ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นดู แต่น้ำเสียงเย็นชาเล็กน้อย
หยุนหว่านหนิงไม่ตอบ ได้ยินแต่เสียงหัวเราะของหยวนเป่าที่ดังมาจากข้างนอก ก็อดไม่ได้ที่จะเดินไปทางประตูอีกไม่กี่ก้าว
เลี้ยงลูกแล้วถึงจะรู้บุญคุณของพ่อแม่
เป็นแม่คน ถึงจะรับรู้ถึงความรู้สึกนี้
ลูกชายก็คือทุกอย่างของนาง
“เข้าๆออกๆทำไม?หรูยี่กับหรูโม่ชายตั้งสองคน หากยังดูแลหยวนเป่าไม่ดี ข้าจะเลี้ยงคนไร้ประโยชน์เยี่ยงนี้ไว้ทำไม?”
นอกประตู คนไร้ประโยชน์หมายเลขหนึ่งและคนไร้ประโยชน์หมายเลขสองกำลังมองหน้ากัน
นายท่าน ท่านพูดเบาๆหน่อยสิ พวกข้าได้ยินนะ?
หรูยี่มองบน “ในสายตาของนายท่าน ตอนนี้พวกข้าทั้งสองเป็นคนไร้ประโยชน์แล้ว”
“ที่นายท่านพูดคือเจ้า ไม่ใช่ข้า”
หรูโม่ปั้นลูกหิมะหนึ่งลูกแล้วยื่นให้กับหยวนเป่า จากนั้นก็เอื้อมมือออกไปและชี้ไปที่หน้าผากของหรูยี่ “ดูให้แม่นๆแล้วโยนไปตรงนู้น!”
หยวนเป่าฉลาด โยนได้แม่นยำมากนัก
ลูกหิมะหนึ่งลูกถูกโยนออกไป หน้าผากของหรูยี่ก็เย็น ไม่อาจบ่นนายท่านของตัวเองเหมือนหญิงที่ขุ่นเคืองได้อีกต่อไป ผู้ใหญ่สองเด็กหนึ่งก็เริ่มเล่นโยนหิมะกันต่อ
“ข้างนอกหนาวเกินไป ข้ากลัวหยวนเป่าจะหนาว”
หยุนหว่านหนิงลังเล และนั่งลงตรงข้ามโม่เยว่
ในห้องอบอุ่นเหมือนฤดูใบไม้ผลิ
จากนั้นโม่เยว่เงยหน้าขึ้น เหลือบมองนาง “สตรีมีนิสัยใจอ่อน!”
“ท่านไม่ว่าข้าวันหนึ่งจะตายรึ?”
หยุนหว่านหนิงจ้องกลับอย่างโกรธเคือง “หยวนเป่าไม่ใช่ลูกชายท่าน ดังนั้นท่านก็ไม่กังวลว่าเขาจะร้อนหรือหนาว พูดจาบั่นทอนกำลังใจอะไรกัน?”
เมื่อเห็นนางโกรธ ยากนักที่โม่เยว่จะไม่ถือสากับนาง
เพียงแค่ค่อยๆวางหนังสือจดบันทึกในมือลง “หยวนเป่าไม่ใช่ลูกชายของข้า?”
ไม่รอหยุนหว่านหนิงตอบ
เขาก็อธิบายเองว่า “หยวนเป่าเป็นเด็กผู้ชาย ไม่ใช่เด็กผู้หญิง ไม่ควรเลี้ยงดูไว้ในห้อง”
“ถึงข้างนอกจะหนาว แต่เล่นไปสักพักก็อุ่นขึ้นแล้ว มีหรูโม่กับหรูยี่ ก็ไม่ต้องกังวลว่าเขาจะลื่นล้ม ควรให้เขาออกไปฝึกฝน”
อีกอย่าง ทัศนคติที่เขามีต่อหยวนเป่า คนในจวนอ๋องหมิงนี้มีใครไม่รู้?
นั่นคือปฏิบัติเหมือนลูกชายแท้ๆ!
ดังนั้น ในเวลานี้จึงมีคนรับใช้จำนวนมากที่รอรับใช้อยู่ข้างนอก เพียงเพราะกลัวไอ้หนูนั้นจะเลื่อนล้ม
หยวนเป่าออกไปเล่น ข้างนอกก็ยังมีจุดตะเกียงไว้หลายอัน สว่างไสวราวกับกลางวัน
“ตอนข้าอายุเช่นนี้ ยังเปลือยกายและถูกเสด็จพ่อโยนไว้ในหิมะ”
ขณะที่พูด เขาก็เหลือบมองหยุนหว่านหนิง และหยิบหนังสือจดบันทึกขึ้นมาอีกครั้งและศึกษาอย่างละเอียด
เมื่อเห็นเขาอธิบายให้นางฟังอย่างอดทน ความโกรธในใจของหยุนหว่านหนิงก็หายไปไม่น้อย “ใช่แล้ว คืนนี้ข้ามาเพื่อถามเรื่องเรื่องหนึ่งกับท่าน”
“นางกำนัลคนนั้น หาเจอหรือยัง?”
“อืม”
“พวกท่านหมายความว่าอย่างไร?หาเจอแล้ว?อยู่ไหน?”
หยุนหว่านหนิงดีใจ
โม่เยว่ไม่ได้เงยหน้าขึ้น “หรูโม่ พาคนเข้ามา”
ผู้ชายคนนี้ หาเจอแล้วก็ไม่บอกนางสักคำ? !
ทำให้นางกังวลมาตั้งนาน!
นางจิกตาใส่เขา เห็นหรูโม่ได้นำผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามา ผู้หญิงคนนั้นดูอายุไม่มากนัก แต่บนใบหน้านั้นยังคงสามารถมองออกได้ว่านางเคยผ่านอะไรมากเยอะแยะ
โดยรวมแล้ว สภาพเช่นนี้ของนาง เหนือความแก่วัยของอายุที่แท้จริง
หลังจากถูกพาตัวเข้ามา นางก็คุกเข่าลงอย่างหวาดกลัว และไม่พูดอะไร เอาแต่กราบอย่างเดียว
“เจ้าชื่ออะไร?”
หยุนหว่านหนิงถาม
จากนั้นผู้หญิงคนนั้นก็เงยหน้าขึ้น อ้าปากและพูดสองสามพยางค์ออกมา
เมื่อเห็นเช่นนี้ นางก็ขมวดคิ้ว “เจ้าพูดไม่ได้?”
ผู้หญิงคนนั้นก็รีบพยักหน้า จากนั้นก็ชี้นิ้วไปที่ปากของตัวเอง “อ๊ะ” ไปหลายครั้ง ดวงตานั้นเต็มไปด้วยหมอกไอ จากนั้นก็รีบชี้ไปที่นอกประตู
ยิ่งรีบมากเท่าไร ก็ยิ่งสื่อสิ่งที่นางต้องการสื่อออกมาไม่ได้
สุดท้าย ผู้หญิงคนนั้นก็ปิดหน้าร้องไห้
จากนั้นหรูโม่ก็กล่าวว่า “พระชายา นางกำนัลคนนี้ชื่อเปี้ยจู เมื่อสี่ปีก่อนนางเคยรับใช้อยู่ในตำหนักไท่เหอจริง แต่ตอนนี้นางแต่งงานแล้ว”
“นาง เป็นใบ้”
“เป็นใบ้?”
หยุนหว่านหนิงขมวดคิ้วแน่นยิ่งขึ้น
จะเป็นใบ้ได้อย่างไร? !
ผู้ที่สามารถรับใช้ในวังได้ ต่างก็ได้รับการคัดเลือกมาอย่างดี
ไม่ก็ รูปลักษณ์หน้าตาดีและพูดได้คล่องแคล่ว
ไม่ก็ เป็นคนที่มีความสามารถ
แต่เปี้ยจูดูแล้วก็ไม่ได้สวยงาม แถมลักษณะท่าทางก็ยังดูเชื่องช้า แถมยังเป็นคนใบ้ที่พูดไม่ได้ คนเช่นนั้นจะเข้าวังไปรับใช้ได้อย่างไร?
“ขอรับ”
หรูโม่พยักหน้า “ใบ้มาสี่ปีแล้วขอรับ”
หยุนหว่านหนิงฉลาด
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ก็เข้าใจทันที
ใบ้มาสี่ปี แสดงว่าเมื่อสี่ปีก่อน เปี้ยจูยังไม่ใบ้
นางไม่ได้ใบ้มาแต่กำเนิด แต่เป็นเพราะเมื่อสี่ปีก่อนเกิดเรื่อง จึงกลายเป็นใบ้!
ตกลงเป็นเพราะป่วย หรือโดนคนวางยาพิษ? !
เพียงชั่วพริบตา ในสมองของหยุนหว่านหนิงก็มีการคาดเดาที่นับไม่ถ้วน สายตาที่นางมองดูเปี้ยจูนั้นเฉียบคม และสืบเสาะเล็กน้อย “เจ้าชื่อเปี้ยจูใช่หรือไม่?”
เปี้ยจูรีบวางมือลง และพยักหน้าด้วยน้ำตาที่ไหลเต็มบนใบหน้า
“ในเมื่อเจ้าพูดไม่ได้ เช่นนั้นก็ข้าถาม เจ้าพยักหน้าหรือส่ายหัว”
ในตอนท้าย นางก็เสริมอีกว่า “เจ้าตอบคำถามของข้ามาอย่าง ซื่อสัตย์จะดีกว่า”
“หากพูดซื่อสัตย์ ข้าก็จะหาทางรักษาคอของเจ้าให้หายดี หากไม่ซื่อสัตย์ อย่าแม้แต่จะคิดที่จะก้าวออกจากจวนอ๋องหมิงในคืนนี้!”
หยุนหว่านหนิงขู่ด้วยเสียงที่ทุ่ม
มีความหวาดกลัวแวบผ่านไปในดวงตาของเปี้ยจู และนางก็รีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้นางมีลูกสองคนแล้ว และยังมีสามีรออยู่ที่บ้าน นางอยากกลับบ้านใจจะขาดอยู่แล้ว
“ดีมาก คำถามแรก”
หยุนหว่านหนิงมองดูนางอย่างลึกซึ้ง “เมื่อสี่ปีก่อน เจ้ารู้ไหมว่าโหยวเอ้อและคนอื่นๆ ทำการร้ายแรงต่อองค์หญิงเก้า?”