อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ - บทที่59 ฮือ..ฮื..อ...พี่โม่เยว่
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่59 ฮือ..ฮื..อ…พี่โม่เยว่
“วันนี้เป็นวันประสูติของเต๋อเฟย แถมเป็นคนโปรดที่สุดของโม่จงหราน ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่โม่จงหรานจะปฏิบัติต่อนางแตกต่างออกไป”
ฮองเฮาจ้าวระงับความโกรธที่ปั่นป่วนในใจ ยิ้มจางๆ “ใกล้จะถึงเวลาแล้ว พวกข้าก็ควรไปแล้ว! ปล่อยให้โม่จงหรานรอพวกข้าไม่ได้”
“ครับ ค่ะ เสด็จแม่”
ทั้งสี่เดินตามหลังนาง ตามด้วยคนรับใช้
ไปที่ตำหนักไท่เหอด้วยความยิ่งใหญ่เกรียงไกร
เมื่อคืนตอนค่ำๆหิมะถึงค่อยๆหยุดตก พระราชวังถูกปกคลุมไปด้วยหิมะที่หนาทึบ
พระอาทิตย์อัสดงยังตกไม่หมด ขอบฟ้าก็ปกคลุมไปด้วยแสงระเรื่อที่งดงาม ราวกับมีคนตัดกระดาษสีส้มแดงเป็นชิ้นๆ กระจัดกระจายไปตามขอบฟ้า
คืนฤดูหนาว มาอย่างเงียบๆและรวดเร็ว
หิมะในอี้ว์ฮวาหยวน ถูกคนรับใช้กวาดเส้นทางหนึ่งออกมาแล้ว
ภายระเบียงทางเดินรอบวัง ใต้ชายคา และบนยอดไม้ ล้วนประดับประดาด้วยโคมเล็กๆ
ขณะนี้ โคมวังยังไม่ได้ถูกจุด
โยกไปมาตามแรงลม สวยงามยิ่งนัก
ฮองเฮาจ้าวและคนอื่นๆ เข้าไปในตำหนักไท่เหอก่อน
เมื่อถึงยามเซิน ในตำหนักเต็มไปด้วยขุนนาง แม่ทัพและครอบครัวของพวกเขา เมื่อเห็นฮองเฮาจ้าวพวกเขาเข้ามา ก็รีบยืนขึ้นคารวะ ฮองเฮาจ้าวยิ้มและบอกว่าไม่ต้องเกรงใจเช่นนี้
พวกเขาพึ่งนั่งลง โม่จงหรานก็พาเต๋อเฟยและคนอื่นเข้ามา
ฮองเฮาจ้าวก็รีบลุกขึ้นยืนคารวะ
เต๋อเฟยเป็นเจ้าของวันเกิด นั่งซ้ายขวาโม่จงหรานคนละข้างกับฮองเฮาจ้าว
ทุกคนเห็นเพียงว่าฮองเฮาจ้าวเข้ามาก่อน แต่เต๋อเฟยกลับเข้ามาพร้อมกับฝ่าบาท……
ทันใดนั้น สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไปหมด
หลายปีผ่านไป ไม่รู้ว่าฮองเฮาทนมาได้อย่างไร
โม่จงหรานกล่าวเปิดงาน นางรำเข้ามาในตำหนักและเต้นอย่างสง่างาม
นี่เป็นครั้งแรกที่หยุนหว่านหนิงได้เข้าร่วมงานเลี้ยงวังในรอบสี่ปี
นางถูกกักขังบริเวณมาเป็นเวลาสี่ปี คนในเมืองหลวงก็จะลืมแล้วว่า ยังมีคนเช่นนางอยู่ด้วย เมื่อครู่เห็นนางเดินอยู่ข้างหลังเต๋อเฟย และมาเคียงข้างกับโม่เยว่ ดวงตาของทุกคนก็กะพริบเล็กน้อย
ก็เดาได้ในทันทีว่า คนที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าทุกคนนี้คือพระชายาหมิงที่พึ่ง “หายดี” ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา
เสียงดนตรีปกคลุมเสียงของทุกคนไป
ขุนนางหลายท่านดื่มเหล้า พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
ผู้หญิงสามถึงห้าคนอยู่กับเป็นกลุ่มๆ พูดคุยนินทากัน
“หลังจากหายไปสี่ปี พระชายาหมิงกลับยิ่งสวยขึ้นไปกว่าเดิม! พวกเจ้าดูผิวของนางสิ ขาวยิ่งกว่าหิมะ นุ่มนวล แม้แต่พระชายาหยิงยังเทียบกับนางไม่ได้เลย!”
“ใช่! ในตอนนั้น พระชายาหยิงเป็นสาวงามที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง!”
“เดิมที ข้ายังคงเสียใจกับเรื่องระหว่างท่านอ๋องหมิงกับพระชายาหยิง แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า……ชายชราสูญเสียม้า แต่กลับเป็นโชคอันยิ่งใหญ่!” (ชายชราสูญเสียม้า แต่กลับเป็นโชคอันยิ่งใหญ่=แม้จะสูญเสีย แต่ก็กลับได้อะไรดีมากแทนก็ได้)
เหล่าผู้หญิงทั้งหลายอยู่ไม่ไกลจากฉินซื่อเสวียนัก
เดิมทีนางก็แอบฟังอยู่แล้ว และเมื่อได้ยินเรื่องที่พวกผู้หญิงพูด สีหน้าของนางก็แข็งทื่อลงทันที
จะนินทาหยุนหว่านหนิง ไม่มีคนห้ามพวกเขา!
แต่ทำไมต้องเอานางไปพูดด้วย? !
เมื่อเทียบกับหยุนหว่านหนิงแล้ว ตอนนี้นางเทียบกับหล่อนไม่ได้จริง……แต่ แต่อย่างน้อยนางก็ได้ให้กำเนิดลูกสาวสองคนแล้ว คลอดลูกคือคนหนึ่ง ก็เหมือนผ่านประตูนรกมา ก็แก่ขึ้นหน่อยบ้าง
หยุนหว่านหนิงยังไม่เคยมีลูกสักคนเลย จะมาเทียบกับนางได้อย่างไร? !
แต่เมื่อฟังการสนทนาที่อยู่เบื้องหลัง นางก็รู้สึกเจ็บใจยิ่งนัก
หลังจากนั้นไม่นาน ฉินซื่อเสวียก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ลุกขึ้นและออกไปจากตำหนักไท่เหอ
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง นางกำนัลคนหนึ่งก็เข้ามา และกระซิบข้างหูโม่เยว่ไปสองสามคำ
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย และจากไปอย่างรวดเร็ว
ภายใต้สายตาที่แปลกประหลาดของทักคน หยุนหว่านหนิงก็ยังคงสงบนิ่งเหมือนเดิม
สายตาที่สำรวจ ตกตะลึง หรือเป็นมิตรเหล่านี้ นางไม่ได้รู้สึกมีภาระในใจเลย เพียงแค่มองหน่อย ไม่สูญหายเนื้อชิ้นหนึ่งสักหน่อย
แต่ขนมในวังนี้อร่อยมากจริงๆเลย
เหล้าผลไม้ ก็รสชาติดีจริงๆ
เผลอๆ นางก็ได้ดื่มเหล้าผลไม้ไปครึ่งหนึ่งแล้ว
ในเวลานี้ ก็มีนางกำนัลหน้ากลมเดินมาข้างนาง และพูดคำหนึ่งกับนางด้วยเสียงเบา
“ออ?”
หยุนหว่านหนิงเลิกคิ้วขึ้นและวางแก้วเหล้าในมือลง “เจ้าเห็นกับตารึ?”
นางกำนัลรีบพยักหน้า “เพคะพระชายาหมิง บ่าวเห็นกับตาจริง บ่าวกลับจะเกิดอะไรขึ้น จึงรีบมาบอกท่านทันที”
“เจ้าจะใจดีขนาดนี้หรือ?”
หยุนหว่านหนิงเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “เจ้าไม่กลัว ล่วงเกินพระชายาหยิงด้วยเหตุนี้?”
“บ่าว……”
นางกำนัลหลบสายตา ไม่สามารถตอบได้
“ช่างเถอะ! ในเมื่อเช่นนี้ ข้าก็ไปดูหน่อยละกัน!”
หยุนหว่านหนิงหยิบผ้าแล้วเช็ดปากเบาๆ จากนั้นลุกขึ้นและออกไป
พอดี นางก็เริ่มเมาหน่อยแล้ว
ในสถานที่แบบนี้ หากเมาแล้ว ก็จะเกิดเรื่องได้ง่าย……นางออกไปเดินเป่าลมหนาวจะได้ตื่นหน่อย
เมื่อเห็นนางออกไป นางกำนัลก็โล่งใจลง
เดินไปตามคำชี้แนะของนางกำนัล หยุนหว่านหนิงก็ออกจากตำหนักไท่เหอได้อย่างรวดเร็ว และเดินไปทางอี้ว์ฮวาหยวน
ในขณะนี้ โคมของพระราชวังสว่างแล้ว
มันฉายแสงสีขาวเจิดจ้าตัดกับหิมะ
อี้ว์ฮวาหยวนไม่มีคนสักคน
มีเพียงแต่เสียงร้องไห้ ที่ดังมาจากไม่ไกลนั้น แต่ไม่นานก็ถูกลมข้างหูพัดปลิวไป และในแวบแรกนางคิดว่าตัวเองหูฝาดไป
มุมปากของหยุนหว่านหนิงมีร้อยยิ้มจางๆ
เดินไปตามเส้นทางสู่อี้ว์ฮวาหยวน เสียงร้องที่ขุ่นเคืองก็ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
ในวังมีดวงวิญญาณที่ได้รับความไม่เป็นธรรมเยอะ
หากเป็นคนอื่น ได้ยินเสียงร้องนี้คงต้องขนลุก และหวาดกลัวอย่างแน่นอน
แต่หยุนหว่านหนิงคุ้นเคยกับเสียงร้องนี้มากจนไม่อาจมากไปกว่านี้แล้ว
ยังจำงานเลี้ยงในวังเมื่อสี่ปีที่แล้ว……
ก็เป็นคืนที่เต็มไปด้วยหิมะเช่นกัน และก็ ณ อี้ว์ฮวาหยวนอันหนาวเย็นและเงียบสงบแห่งนี้เช่นกัน ฉินซื่อเสวียร้องไห้อย่างเศร้าโศก โดยกล่าวหาว่าหยุนหว่านหนิงทำร้ายนาง
ใกล้แล้ว ใกล้แล้ว
หยุนหว่านหนิงเข้ามาใกล้ และในสิบเมตรไม่ไกลนั้น มีศาลาพักร้อนอยู่หนึ่งศาลา
นางหยุดตรงหลังพุ่มไม้ และมองดูคนสองคนในศาลาด้วยความสนใจ
ศาลาเดิม คนสองคนนี้เดิม
สี่ปีผ่านไป ฉินซื่อเสวียก็ยังไม่จำขึ้นใจ
ไม่เปลี่ยนสถานที่สักหน่อย? !
เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง มีร่างหนึ่งหันหลังให้นาง กำลังยืนอยู่ในศาลา เสียงร้องไห้ของฉินซื่อเสวีย ดังเข้ามาในหูของหยุนหว่านหนิง “ฮือ..ฮื..อ…พี่โม่เยว่ ท่านจะทำร้ายใจของข้าเยี่ยงนี้จริงหรือ?”
“ถึงข้าจะแต่งงานกับอ๋องหยิง แต่คนในใจของข้า เป็นท่านมาโดยตลอด!”
ไม่เห็นใบหน้าที่น่าตบของฉินซื่อเสวีย
และมองไม่เห็น สีหน้าของโม่เยว่
แต่เมื่อหยุนหว่านหนิงมองดูไปจากมุมนี้……
ฉินซื่อเสวียเหมือนจะพิงอยู่ในอ้อมแขนของโม่เยว่ และกำลังฟ้องให้กับเขา “ช่วงนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่?ทำไมท่านต้องทำอย่างนี้กับข้าด้วย?”
“หรือว่า ท่านรักหยุนหว่านหนิงจริงๆแล้วหรือ?!”
“ใช่แล้วจะยังไม?”
เสียงของโม่เยว่ ไม่มีอารมณ์ใดๆ “นางเป็นพระชายาของข้า”
“เจ้า เป็นพี่สะใภ้สามของข้า”
……
หยุนหว่านหนิงมองบน อยากอ้วก
“เจ้าตกหลุมรักนางจริงๆ หรือ!”
ฉินซื่อเสวียขึ้นเสียงเล็กน้อย ตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด “พี่โม่เยว่ ท่านบอกว่าชาตินี้จะรักข้าเพียงผู้เดียว! ท่านจะผิดคำมั่นสัญญาได้อย่างไรกัน?
……
หยุนหว่านหนิงมองบนต่อ
เหลียงจิ้งหลูให้ความกล้านี้แก่ฉินซื่อเสวีย หรือหวังเฟอให้หน้าที่ด้านนี้แก่นาง?
เดิมทีนางไม่อยากออกทำลายบรรยากาศในตอนนี้
นางอยากฟังดูว่าฉินซื่อเสวียจะสามารถพูดคำน่าที่ขยะแขยงกว่านี้ออกมาได้เท่าไร
แต่ใครจะไปรู้ ลมฝ่ามืออันรุนแรงปะทะลงมาที่หน้าของนางอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ และเสียงที่เย็นชาเข้มงวดก็ดังขึ้นข้างหูนาง “ใคร!”