อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 595 หึงหวง
ตอนที่ 595 หึงหวง
ตอนที่ 595 หึงหวง
หลีจื่อฟานยังคงอ่อนโยนและสง่างาม เสียงพูดของเขาไม่เร็วหรือช้าเกินไป “ฝ่าบาท กระหม่อมเคยติดต่อกับองค์ชายแปดมาสองครั้ง กระหม่อมหาได้เก่งกาจไม่ ทว่ากระหม่อมเคยเรียนรู้วิธีดูโหงวเฮ้งพื้นฐานมา และพบว่าองค์ชายแปดเป็นคนใจกว้างไม่มีความทะเยอทะยาน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากนิสัยหยิ่งยโสและไม่ยับยั้งชั่งใจของเขา ทำให้ไม่ได้ไตร่ตรองให้ดีก่อนจะทำสิ่งใด ด้วยเหตุนี้เมื่อได้รับความไว้วางใจจากฝ่าบาท เขาจึงไม่อาจปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากฝ่าบาทได้ และทำผิดพลาดครั้งใหญ่ ซึ่งเป็นความผิดที่ไม่อาจให้อภัยได้พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ส่วนคนอื่น ๆ ในห้องโถงก็ตกตะลึงเช่นกัน
เสนาบดีฝั่งขวาเป็นหัวหน้าของเสนาบดีทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแม้ว่าเขาจะเป็นคนหนุ่มที่มีพรสวรรค์โดดเด่น แต่เขาก็อ่อนน้อมต่อฮ่องเต้เสมอ นับประสาอะไรกับการต่อสู้ในราชวงศ์ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่เคยพูดแทนองค์ชายคนใดในราชสำนักเลย
ทว่าตอนนี้เขากลับออกมาพูดให้องค์ชายแปด
เขาหมายความว่าอย่างไรกันแน่? หากกล่าวว่าองค์ชายแปดไม่มีความทะเยอทะยาน ก็หมายความว่าเขาไม่ได้มีส่วนร่วมในแผนการของหว่านเฟย แต่ในอีกแง่หนึ่ง ฮ่องเต้ต้องลงโทษเขาอย่างรุนแรง ซึ่งนั่นก็คือทำร้ายเขาอยู่ดีไม่ใช่หรือ?
แต่ตามที่เขาพูดมานั้น มันก็เหมือนกับที่องค์ชายซิวพูด
สีหน้าของเย่ซิวตู๋กลายเป็นมืดมนและบึ้งตึง เขาหันไปมองหลีจื่อฟานขณะหรี่ตาเล็กน้อย
แววตาของเขาแน่วแน่ สีหน้าสงบนิ่ง และไม่มีท่าทางที่แปลกไปเลย
ฮ่องเต้พยักพระพักตร์เล็กน้อย แล้วตรัสเสียงดังว่า “ข้าได้มอบเรื่องหว่านเฟยให้องค์ชายเป่าสืบสวนแล้ว ไม่ว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับองค์ชายแปดหรือไม่ จะมีการหารือกันในภายหลัง สำหรับความผิดพลาดที่องค์ชายแปดได้กระทำไว้ก่อนหน้านี้นั้น เป็นโทษที่ไม่อาจให้อภัยได้ และข้าจะลงโทษเขาอย่างหนัก”
เหมียวเชียนชิวเห็นฮ่องเต้ขมวดพระขนงเล็กน้อย ก็เกรงว่าฮ่องเต้จะเริ่มปวดพระเศียรอีกครั้ง จึงเริ่มกังวลเล็กน้อย
เมื่อได้รับสัญญาณจากฮ่องเต้ เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วพูดเสียงดัง “เลิกประชุม…”
บรรดาเสนาบดีต่างโห่ร้องสรรเสริญ แล้วค่อย ๆ ถอยออกจากห้องโถง
เย่ซิวตู๋ยืนอยู่บนขั้นบันไดหินอ่อนสีขาว เม้มปากแน่น
ทันใดนั้นก็มีเสียงเย็นยะเยือกดังขึ้นจากด้านหลัง
ก่อนที่เขาจะหันกลับไป เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย “ข้าน้อยคิดเสมอว่าองค์ชายแปดและองค์ชายซิวเป็นพี่น้องที่มีความรักลึกซึ้ง คาดไม่ถึงเลยว่า…”
เย่ซิวตู๋เลิกคิ้วขึ้น หลี่อวี้สื่อเป็นคนซื่อตรงมาก แต่เขาเป็นคนชอบผูกใจเจ็บและเก็บงำความแค้น นับเป็นความกรุณาของเสด็จพ่อที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จมาจนถึงปัจจุบัน
เขาส่ายหน้า แล้วเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
แต่หลังจากเดินไปได้เพียงสิบกว่าก้าว ก็มีเสียงทุ้มต่ำอีกเสียงหนึ่งดังมาจากข้างหลัง ซึ่งดูเหมือนจะจงใจให้ลอยเข้าหูของเขา
“ใต้เท้าหลี่เข้าใจองค์ชายซิวผิดแล้ว หากองค์ชายไม่ขัดท่าน เขาก็เกรงว่าใต้เท้าหลี่จะกล่าวหาว่าเขาเข้าร่วมกับองค์ชายแปด เพื่อผลประโยชน์ส่วนตน ดังนั้นเขาจึงกลัวว่าจะติดคุกตามองค์ชายแปดไป”
“เสนาบดีฝั่งขวาหมายความว่า…” หลี่อวี้สื่อขมวดคิ้วขณะมองเสนาบดีฝั่งขวา ที่ไม่รู้ว่ามายืนอยู่ข้างเขาตั้งแต่เมื่อใด ด้วยความประหลาดใจ
ฝีเท้าของเย่ซิวตู๋หยุดชะงัก ก่อนจะลอบด่าในใจว่าหลีจื่อฟานคนนี้ช่างยุ่งไม่เข้าเรื่อง ใครใช้ให้มาอธิบายแทนเขามิทราบ?
เขาเริ่มเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น และรีบออกจากวังอย่างรวดเร็ว
บรรยากาศในตำหนักอ๋องซิวค่อนข้างหดหู่ และคนรับใช้ในตำหนักก็เป็นมิตรกับเย่ฮ่าวหรานมาก เมื่อรู้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับเขา พวกเขาย่อมกังวลเป็นธรรมดา
เย่ซิวตู๋เดินไปยังเรือนของอวี้ชิงลั่ว เมื่อเขาไปถึงประตูเรือน เขาก็ได้ยินเสียงแผ่วเบาของแม่นมเซียว “องค์หญิง ท่านอุปราชส่งคนมาบอกว่าเขาหายดีแล้ว และเขาต้องการจัดงานเลี้ยงขอบคุณองค์หญิง องค์หญิงโปรดตอบรับด้วยเถิดเพคะ”
ใบหน้าของเย่ซิวตู๋มืดมนทันที ทำให้สีหน้าของเขาบูดบึ้งกว่าเดิม
ฝีเท้าของเขาหนักขึ้น ขณะเดินผ่านเข้าประตูทีละก้าว
แม่นมเซียวสะดุ้ง เมื่อหันไปเห็นว่าเป็นเขา นางก็รีบทำความเคารพและหยิบบัตรเชิญถอยกลับไป
อวี้ชิงลั่วรีบลุกขึ้นยืน เดิมทีนางยังคงคิดว่าจะบอกเขาเรื่องไปเผ่าเหมิงอย่างไรดี แต่ตอนนี้เมื่อเห็นสีหน้าของเขา… นางก็แทบสำลักคำพูดบนริมฝีปากของตนทันที ถามเขาด้วยรอยยิ้มแห้ง ๆ “เป็นอะไรไป? อารมณ์ไม่ดีหรือ?”
เย่ซิวตู๋ไม่ตอบ แต่เหลือบไปมองนาง ก่อนทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างนาง
อวี้ชิงลั่วคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและถามอย่างเป็นกังวลว่า “ไม่ใช่ว่า… เรื่องของเย่ฮ่าวหรานเป็นไปอย่างไม่สู้ดีนักหรือ? ฝ่าบาทคิดว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนการของหว่านเฟยหรือ? เขามีส่วนรู้เห็นหรือ?”
เย่ซิวตู๋หันมาจ้องมองนาง แต่ยังคงตอบนางด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “แน่นอนว่าเขาจะมีส่วนรู้เห็น ทว่าเสด็จพ่อย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าเจ้าแปดไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่วันนี้ในราชสำนัก คนที่ช่วยพูดให้เจ้าแปดล้วนเป็นฝ่ายที่เป็นกลาง แต่เสด็จพ่อก็ระแวงเขาไปแล้ว จากนี้ไปชีวิตของเจ้าแปดก็จะไม่ได้ดีเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่ไม่ต้องกลัวว่าจะถึงชีวิต”
อวี้ชิงลั่วลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางดีใจที่ฮ่องเต้ไม่ได้กริ้วถึงเพียงนั้น มิฉะนั้นจะเป็นอันตรายต่อเย่ฮ่าวหรานจริง ๆ
“แล้วเหตุใดสีหน้าท่านจึงบูดบึ้งนัก?”
ทันทีที่พูดถึงเรื่องนี้ เย่ซิวตู๋ก็ถอนหายใจอย่างเย็นชา แล้วพูดว่า “หลีจื่อฟานเห็นด้วยกับคำพูดของข้าในท้องพระโรง”
“…” นี่ไม่ใช่เรื่องดีหรอกหรือ? เสนาบดีฝั่งขวาเป็นหัวหน้าของเสนาบดีทุกคน เขามีตำแหน่งสูงและอำนาจมาก คำพูดของเขาจึงมีน้ำหนักมาก และเขาก็อยู่ฝั่งเย่ซิวตู๋อีกครั้ง นับว่าเป็นเรื่องดี ไม่เห็นจำเป็นต้องทำหน้าบูดบึ้งแต่อย่างใด
ราวกับรู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ เย่ซิวตู๋ก็เอ่ยเย้ยหยัน “หลีจื่อฟานมีความคิดเป็นของตัวเองเสมอ และเขาไม่ชอบพูดเพื่อช่วยเหลือคนอื่น นับประสาอะไรกับองค์ชาย เขาไม่มีทางยืนหยัดช่วยแน่นอน แล้วเจ้าคิดว่าเหตุใดเขาจึงเลือกอยู่ข้างข้าเล่า?”
มุมปากของอวี้ชิงลั่วกระตุก รู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดีในใจ
เย่ซิวตู๋ยืนขึ้น แล้วค่อย ๆ เดินไปหานางทีละก้าว
อวี้ชิงลั่วถอยหลังจนหลังพิงขอบโต๊ะกลม มือของนางอยู่บนโต๊ะข้างหลัง ขณะหันหน้าไปทางเขาด้วยท่าทางแปลก ๆ
“หืม? บอกข้าสิ เหตุใดเขาจึงอยู่ข้างข้า?”
อวี้ชิงลั่วยังคงหัวเราะแห้ง ๆ “บางทีเขาอาจจะคิดว่าเจ้า องค์ชายซิวผู้น่าเกรงขามเป็นคนหล่อเหลา มีพรสวรรค์ เป็นคนที่สามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้ และเป็นคนฉลาดที่หาได้ยากในรอบร้อยปี ดังนั้นเขาจึงต้องการช่วยท่าน”
“จริงหรือ?” เย่ซิวตู๋ยังคงเย้ยหยัน เขาใช้นิ้วจับคางของนางไว้ แล้วพูดกับนางทีละคำ “เหตุใดข้าจึงไม่รู้ว่าตัวเองทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้?”
“องค์ชายของข้า ท่านกำลังประเมินตัวเองต่ำไป”
“เจ้าเรียกข้าด้วยชื่อของข้ามาโดยตลอด เหตุใดวันนี้เจ้าเรียกข้าว่าองค์ชาย? เจ้ากังวลเรื่องอะไรอยู่?”
เขาอยู่ใกล้นางถึงเพียงนี้จะไม่กังวลได้อย่างไร? เป็นดั่งที่โบราณว่าไว้ หญิงชายมิควรใกล้ชิดกันมากเกินไปไม่ใช่หรือ?
“ข้าจะบอกให้ว่าเหตุใดเขาจึงอยู่ข้างข้า” น้ำเสียงของเย่ซิวตู๋ค่อนข้างกราดเกรี้ยว กระด้างและแหบห้าว “หลีจื่อฟานไม่ชอบชื่อเสียงและความมั่งคั่ง แต่เขาพยายามเดินหน้าต่อไปทุกย่างก้าว ในเวลาเพียงไม่กี่ปี เขาสามารถก้าวมาถึงตำแหน่งปัจจุบัน และเป็นหัวหน้าของเสนาบดีทุกคน เขาทำทั้งหมดนี้ก็เพื่อคนคนเดียว และเขาต้องการล้างแค้นให้กับคนคนนั้น หลีจื่อฟานเป็นคนเย็นชา และไม่ชอบความโดดเด่นแม้ว่าจะยังอายุน้อย มีเพียงเหตุผลเดียวที่ทำให้จู่ ๆ ก็ออกมาสนับสนุนคำพูดของข้า เพราะเขารู้ว่านี่คือความปรารถนาของคนคนนั้น เขาสามารถทำทุกอย่างได้เพื่อคนคนนั้น รวมถึงการผลักดันตัวเองไปสู่แถวหน้า และยอมตกเป็นเป้าของการวิพากษ์วิจารณ์ของผู้อื่น”
“และคนคนนั้นก็คือเจ้า ชิงเอ๋อร์”
ขาของอวี้ชิงลั่วอ่อนแรงเพราะคำพูดของเขา จนนางเกือบจะล้มลงกับพื้น
เมื่อมือของนางสัมผัสบางอย่างบนโต๊ะได้ นางก็รีบหยิบมันขึ้นมา แล้วยัดมันเข้าไปในปากของเย่ซิวตู๋ที่กำลังจะพูด
“เจ้าเอาอะไรให้ข้ากิน?” เย่ซิวตู๋รู้สึกเพียงว่าลิ้นของเขาเจ็บ ใบหน้าเหยเก และรู้สึกแปลกพิกลไปทั้งร่าง
………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
กลิ่นน้ำส้มคลุ้งกระจายอีกแล้วนะท่านอ๋อง ชิงลั่วเอาอะไรมายัดปากทีสิ
ไหหม่า(海馬)