อัจฉริยะตัวน้อยกับคุณพ่อสุดโฉด - ตอนที่ 323 คำพูดที่ว่างเปล่า
ตอนที่ 323 คำพูดที่ว่างเปล่า
ด้วยเหตุนี้เขาเลยไม่ได้พูดอะไรมาก ทั้งยังไม่กล้ารับปาก เพราะกลัวว่ารับปากพวกเขาไปแล้วจะกลายเป็นคำพูดที่ว่างเปล่าตลอดชีวิต
หลังจากที่รับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็ออกเดินทางมุ่งตรงไปยังริมแม่น้ำเพื่อตามหาหลักฐานและกอบกู้สิ่งที่ตกลงไป
ทันทีที่เขาลงจากรถ เขาก็เห็นฉีเซิ่งเทียนกำลังวิ่งมาหาเขาด้วยท่าทีที่ตื่นเต้น
“พี่เฉิน! พี่ดีขึ้นบ้างแล้วหรือยัง?” ฉีเซิ่งเทียนเมื่อเห็นเขาที่นอนหลับไปสามสี่ชั่วโมงก็รู้สึกได้ว่าตัวเขานั้นดูดีขึ้นกว่าเดิมมาก
จิ่งเป่ยเฉินเหลือบมองเขาด้วยท่าทีที่เย็นชา ก่อนจะเดินไปยังริมแม่น้ำที่มีลมหนาวพัดอยู่ตลอด
“พี่เฉิน เดี๋ยวจะมีเรื่องบางอย่าง ถ้าเกิดพี่รู้ละก็ อย่าเพิ่งหุนหันพลันแล่นเชียวนะ!” ฉีเซิ่งเทียนมองไปที่เขาอย่างเป็นกังวล ใบหน้าหล่อเหลาของเขาในตอนนี้ไม่อาจปกปิดความกังวลอะไรได้
ในขณะที่กำลังเดิน เท้าของจิ่งเป่ยเฉินก็ได้หยุดลง ดวงตาที่เย็นยะเยือกกวาดสายตามองไปที่เขา ก่อนจะพูดว่า “พูดซะ”
“มี มี…….ของพี่สะใภ้ ของ………” ฉีเซิ่งเทียนเอ่ยปากพูดเป็นระยะ ๆ
“อาาา!!! พี่เฉิน พี่ปล่อยเสื้อฉันก่อนสิ!” ฉีเซิ่งเทียนมองไปที่เขา เมื่อครู่เขายังพูดไม่จบ ทำไมถึงได้รีบมาจับคอเสื้อของเขาแบบนี้กัน
แถมยังใช้แรงเยอะอีก
ดวงตาจิ่งเป่ยเฉินเผยแววตาที่เย็นยะเยือกออกมา มือที่จับไปยังคอเสื้อยิ่งจับแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ “พูดมา อะไร!!”
“กระเป๋า กระเป๋า กระเป๋าของพี่สะใภ้! น่าจะใช่ หลินจือเซี๋ยวจำสิ่งนั้นได้!” เขาไม่กล้าแม้แต่จะกลืนน้ำลาย รีบบอกสิ่งที่รู้เมื่อคืนออกมาให้เขารับรู้เลยทีเดียว
จิ่งเป่ยเฉินปล่อยมือที่จับคอเสื้อของเขา ก่อนจะวิ่งไปข้างหน้าพลางตะโกนออกมาเสียงดัง “อยู่ที่ไหน!”
ฉีเซิ่งเทียนรีบวิ่งตามไปด้วยความรวดเร็ว แต่เขากลับไม่ได้วิ่งไปทางจิ่งเป่ยเฉิน ทว่ากลับวิ่งไปยังจุดที่เขาวางกระเป๋าที่เปื้อนโคลนไว้ ก่อนจะหยิบมันมาไว้ในอ้อมแขนของตน
เมื่อคืนหลังจากที่กู้สิ่งของบางอย่างขึ้นมา เขาก็เริ่มรู้สึกประหม่าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตอนนี้เมื่อได้เห็นท่าทีของจิ่งเป่ยเฉิน ภายในใจเขาก็รู้สึกเจ็บปวดกับท่าทีพี่ของตน
กระเป๋าอยู่ แต่คนกลับหาไม่เจอ
จิ่งเป่ยเฉินไม่สนใจว่าสิ่งของที่อยู่ตรงหน้าจะสกปรกแค่ไหน ในเมื่อมันเป็นของโหรวโหรว เขาก็คิดอยากจะถือมันเอาไว้กับมือ
เมื่อคนรอบข้างเห็นจิ่งเป่ยเฉิน พวกเขาก็แทบจะหยุดเคลื่อนไหว ในตอนนี้ภายในหัวใจของบิ๊กบอสคงรู้สึกเจ็บปวดมากแน่ ๆ
คนที่สูงส่งเสียขนาดนั้น เวลานี้กลับยอมถือกระเป๋าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยโคลน มันต้องเจ็บปวดขนาดไหนกัน
“พี่เฉิน!”
“คนอยู่ไหน? แล้วคนอยู่ที่ไหน?” เขากอดกระเป๋าไว้ในอ้อมแขนของตน ก่อนจะมองไปที่แม่น้ำ “ทำไมไม่ใช่คน! ทำไมกัน!”
“พี่เฉิน พี่สะใภ้อาจจะได้รับการช่วยเหลือแล้วก็ได้” ตอนนี้ภายในใจของเขาแทบไม่เหลือภาพของคนอยู่อีกเลย
แต่จากข่าวคราวที่รู้มาตั้งแต่แรก ไม่มีบอกเลยว่าเจอศพบริเวณแม่น้ำ แต่อยู่ไกลจากแม่น้ำอย่างน้อยบางทีก็อาจจะเจอศพก็ได้ ถ้าหากค้นหาข้อมูลเล็กน้อยมาได้ บางทีพวกเขาอาจจะหาเจอ
แต่นี่กลับไม่พบแม้แต่ร่องรอยใด ๆ
จิ่งเป่ยเฉินที่ได้ยินคำพูดของเขาอย่างชัดเจนหลับตาลงช้า ๆ ก่อนจะเปิดกระเป๋าที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาด้วยหัวใจที่เต้นรัว ปากกาและกระดาษข้างในตอนนี้ล้วนเลือนรางมองได้ไม่ชัด
เขาหยิบโทรศัพท์ออกมา เพราะว่ามันถูกกู้ขึ้นมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ตอนนี้เลยไม่ได้เปียกน้ำหรือชุ่มแต่อย่างใด
เขายื่นโทรศัพท์ไปให้ฉีเซิ่งเทียนและพูดว่า “กู้คืนข้อมูลซะ”
“พี่เฉิน อย่ากลั่นแกล้งผมสิ โทรศัพท์เครื่องนี้ดูยังไงก็ใช้การไม่ได้แล้ว ถ้าหากกู้คืนได้ละก็ ผมก็จะรีบทำ….” เขายังพูดไม่จบก็ต้องเผชิญสายตาที่เฉียบคมของจิ่งเป่ยเฉินที่มองมา
เขาเผยรอยยิ้มขึ้นทันที “ได้ ผมจะพยายาม เดี๋ยวผมจะลองเลย!”
ฉีเซิ่งเทียนรับโทรศัพท์จากเขาและเดินออกไป
จิ่งเป่ยเฉินก้มหน้ามองดูสิ่งของที่อยู่ในกระเป๋าต่อ สิ่งของที่อยู่ภายในล้วนเย็นเฉียบเพราะแช่อยู่ในน้ำนานมาก ดูจากสภาพแล้วแตกต่างไปกว่าเดิมพอสมควร แต่ของพวกนี้ล้วนเป็นของโหรวโหรวจริง ๆ
เป็นของเธอจริง ๆ
แม่น้ำที่กว้างใหญ่แบบนี้ ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดและสิ้นหวังเป็นอย่างมาก
เขาไม่อยู่เพียงแค่สามวัน ทำไมทุกอย่างถึงได้เปลี่ยนไปแบบนี้ตอนที่เขากลับมา?
“พี่เขย!”
อันหยาพั่นถือกระติกน้ำอุ่นเดินเข้ามา เมื่อเห็นเสื้อผ้าของเขาที่ตอนนี้กำลังเปรอะเปื้อนไปด้วยโคลน สีหน้าของเธอก็ตกตะลึงเล็กน้อย ราวกับว่าสิ่งของที่อยู่ในมือของเขาเป็นสิ่งของที่มีค่ามาก ๆ แต่ดูยังไงก็ดูไม่ชัด แต่รูปลักษณ์ของมันก็คล้ายกับกระเป๋าไม่ใช่น้อย
ชายคนนี้เป็นชายที่สูงส่งและดูองอาจ แต่ตอนนี้ภายในดวงตาของเขากลับดูขุ่นมัวราวกับอ้างว้างอย่างมากมาย
เขาไม่ควรที่จะเป็นแบบนี้เลย!
“พี่เขย ดื่มน้ำอุ่น ๆ ก่อนเถอะค่ะ! ที่นี่ลมแรงมาก อย่างน้อยก็ทำให้ตัวเองอุ่นเอาไว้บ้าง” เธอมองเขาด้วยสายตาเป็นห่วง
จิ่งเป่ยเฉินไม่แม้แต่จะหันหน้าไปมองเธอ ริมฝีปากของเขาเผยอพูดขึ้นเบา ๆ “ไม่จำเป็น”
“พี่เขย อย่าทำให้ตัวเองเป็นแบบนี้สิ ถ้าหากพี่สาวที่อยู่บนสวรรค์รู้เข้าละก็ จิตใจของเธอจะเป็นแบบไหนกัน เธอคงไม่คิดอยากจะเห็นพี่มานั่งทรมานตัวเองอยู่แบบนี้หรอกนะ!” จากมุมมองสายตาของเธอแล้ว ดูเหมือนจะเห็นได้ชัดเจนว่าเขาไม่ได้โกนหนวดเครามาหลายวันแล้ว
พวกเขาพบหน้ากันไม่กี่ครั้งก็จริง แต่ก่อนหน้านั้นทุกครั้งที่เจอหน้า เขาก็ดูเป็นคนที่สง่างามและสูงส่ง ทุกครั้งที่ได้มองก็มักจะเจอสายตาที่คล้ายกับว่าดูถูกและเหยียดหยาม แต่ตอนนี้…?
ในที่สุดจิ่งเป่ยเฉินก็หันหน้ามองไปที่เธอ “อันโหรวยังไม่ตาย!”
อันหยาพั่นตกใจกับสายตาที่เขาเหลือบมองมา เธออดไม่ได้ที่จะก้าวเดินถอยหลังไปสองสามก้าวจนเกือบจะตกน้ำ
“พี่เขย ฉันรู้ว่าพี่ยังไม่อยากยอมรับความจริง แต่ตอนนี้พี่ก็ยืนอยู่ที่นี่แล้ว พี่ยังไม่รู้อีกเหรอ? พี่จะโกหกตัวเองไปถึงเมื่อไหร่กัน? พวกเขาต่างก็กลัวและไม่กล้าเตือนพี่เลยสักคน เรื่องเลวทรามพวกนี้ให้ฉันเป็นคนทำเองก็ได้ ถ้าหากพี่สาวมีชีวิตอยู่ พี่คิดเหรอว่าพี่สาวจะอยู่ในแม่น้ำที่เย็นยะเยือกขนาดนี้ได้? พี่กำลังมองหาอะไรอยู่กันแน่? ตอนนี้ก็มีแต่ศพที่เย็นไปหมดแล้วด้วยซ้ำ! แค่ซากศพมันสำคัญต่อพี่ขนาดนั้นเลยเหรอ?” เธอเกือบที่จะตะโกนออกไป อันที่จริงเธอก็ไม่คิดอยากจะเห็นเขาอยู่ในสภาพแบบนี้!
“สำคัญสิ!”
ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับอันโหรวทุกอย่างล้วนสำคัญ ต่อให้สภาพเธอเป็นแบบไหนก็ตาม
“ได้ ถ้าหากศพของพี่สาวสำคัญขนาดนั้น แล้วพี่จะไม่คิดทำอะไรเลยหรือไง จะอยู่ที่นี่เฝ้าทั้งวันเลย? หาไม่เจอหนึ่งวันพี่ก็จะยืนอยู่ที่นี่ หาไม่เจอหนึ่งเดือนพี่ก็จะอยู่ที่นี่เดือนหนึ่งเลยเหรอ แล้วถ้าหากหาไม่เจอหนึ่งปี คงไม่ใช่ว่าพี่จะยืนอยู่ที่นี่อีกหนึ่งปีหรอกนะ หยางหยางกับหน่วนหน่วน พี่ไม่สนใจแล้วเหรอ? เรื่องบริษัทอีก ไม่สนแล้วใช่ไหม? พี่สาวเกิดอุบัติเหตุแบบนี้ หรือว่าพี่ไม่คิดจะล้างแค้นให้เธอหน่อยเลยเหรอ? พี่มัวแต่เสียเวลาอยู่ที่นี่ ถ้าหากพี่สาวรู้เข้าคงได้ดูถูกพี่แน่!”
คนรอบข้างที่ได้ยินคำพูดของอันหยาพั่นที่พูดใส่บิ๊กบอสต่างพากันกลั้นลมหายใจของตัวเองกันยกใหญ่
ถังซั่วที่เพิ่งลงจากรถมาก็ได้ยินคำพูดที่ยาว ๆ ของอันหยาพั่นเข้าพอดี
ดวงตาของเขาหรี่มองไปที่จิ่งเป่ยเฉินที่ตอนนี้กำลังยืนตัวตรงนิ่ง ก่อนจะรีบเดินเข้าไปหาเขาอย่างรวดเร็ว
จิตวิญญาณของจิ่งเป่ยเฉินตอนนี้ยุ่งเหยิงเป็นอย่างมาก อีกเพียงนิดเดียวก็แทบจะขาดสะบั้นได้ทันที แต่ผู้หญิงคนนี้กลับมากระตุ้นเขาอย่างนั้นเหรอ?
ถังซั่วยังเดินไปไม่ถึงจิ่งเป่ยเฉินที่ด้านหน้า ตัวของจิ่งเป่ยเฉินก็ล้มลงทันที
ที่ด้านข้างตอนนี้อันหยาพั่นแทบจะดูไม่ตอบสนองอะไรใด ๆ เมื่อเธอหันกลับไปดูอีกครั้งก็เห็นจิ่งเป่ยเฉินล้มลงพร้อมกับหลับตาไปแล้ว แต่ในมือยังคงจับกระเป๋าที่เปรอะเปื้อนโคลนไว้แน่น
“เอาเปลมา!” ถังซั่วตะโกนดังลั่น
พวกเขารู้สึกมาได้สักพักหนึ่งแล้ว จิ่งเป่ยเฉินอยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยดีแบบนี้เลยเตรียมตัวเรียกหมอมาตั้งแต่เช้า
ทางด้านอันหยาพั่นมองจิ่งเป่ยเฉินที่ถูกอุ้มไปอย่างรวดเร็ว เธอรีบวิ่งตามไปทันที “ประธานถัง พี่เขยของฉันจะไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
“คุณอย่าพูดอะไรอีกเลย เขาไม่มีทางเป็นอะไรหรอก” ถังซั่วรีบเดินตรงไปที่รถพยาบาลทันที
เมื่อประตูกำลังจะปิดลง เธอก็รีบขึ้นไปและนั่งลง ก่อนจะมองที่ถังซั่วอย่างเขินอาย “ฉันแค่กังวลมากไปหน่อย ให้ฉันไปด้วยได้ไหม? เมื่อครู่นี้ฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะพูดแบบนั้นจริง ๆ นะคะ”
“คุณพูดไม่ผิดหรอก แต่ไม่ควรจะพูดในช่วงเวลาแบบนี้” ถังซั่วเหลือบมองเธอ ก่อนจะก้มลงมองไปที่จิ่งเป่ยเฉิน
หมอกำลังสอดที่วัดไข้เข้าไปใต้แขน อีกทั้งยังเตรียมที่จะฉีดยาให้เขา
“ไข้สูงมาก ตั้งสามสิบเก้าจุดห้าองศา”
คำพูดของหมอก็เหมือนมีก้อนหินใหญ่ ๆ หนึ่งก้อนหล่นมาทับที่ใจของพวกเขา ดูเหมือนเขาจะป่วยหนักมาก แต่ทุกวันกลับยังมาเฝ้าดูอยู่ที่นี่ตลอด