อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร - ตอนที่ 110 ไม่ยอมแต่งให้เธอหรอก
ตอนที่ 110 ไม่ยอมแต่งให้เธอหรอก
ในวันเสาร์ หลังมื้ออาหารเช้า มู่เถาเยาก็เก็บข้าวของย้ายกลับไปที่เขตเรือนอุ่นรัก
ตี้อู๋เปียน เม้มริมฝีปากและเฝ้ามองรถที่ค่อยๆ ขับพาเธอไกลออกไป ร่างกายของเขามีความรู้สึกไม่อยากให้ใครเข้าใกล้ และแม้แต่จุดแต้มสีชาดตรงหว่างคิ้วของเขาก็จางลงไปมาก
ถุงลมน้อยมีหน้าตาเศร้าสร้อย เขาอยากตามมู่เถาเยาไปด้วย แต่ก็ทนไม่ได้ที่จะต้องแยกกับปู่ ย่า และอาเล็กของเขา
ย่าตี้ปลอบใจเขาว่า “เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่สาวก็มาหาอีก”
“ย่าทวดครับ ทำไมพี่สาวต้องไปด้วย” ถุงลมน้อยร้องไห้จ้าเสียงดัง
“พี่สาวต้องกลับบ้านของตัวเองนะจ๊ะ”
“พี่สาวไม่ใช่คนในครอบครัวเราเหรอ” เจ้าถุงลมน้อยถามอย่างสงสัยพร้อมกับน้ำตาสองสายที่ไหลอาบแก้ม
ปู่ตี้และย่าตี้มีความสุขอย่างยิ่ง
“ซาลาเปาน้อยไม่ใช่คนในตระกูลเราอยู่แล้ว ตอนอยู่เมืองหลวงก็ไม่เคยเจอเธอไม่ใช่หรือไง” น้ำเสียงของตี้อู๋เปียนไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก แลดูฝืนๆ
“อาเล็ก ทำไมพี่สาวถึงไม่ใช่คนในครอบครัวของเราล่ะ อาเล็กให้พี่สาวมาอยู่บ้านเราได้ไหม”
ตี้อู๋เปียน “…”
เขาต้องทำยังไงถึงจะทำให้เธอเข้ามาอยู่ในตระกูลตี้ล่ะ แต่งเธอมาเป็นเมียหรือไง!
เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัว หัวใจของตี้อู๋เปียนก็สั่นไหวอย่างรุนแรง แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วินาที ร่างกายของเขาก็เหมือนถูกแช่แข็ง
คนที่จะตายตอนไหนก็ไม่รู้อย่างเขาจะแต่งงานได้ยังไง เขาจะกล้าแต่งซาลาเปาน้อยมาเป็นภรรยาได้ยังไง
เมื่อตี้อันเหยี่ยเห็นว่าตี้อู๋เปียนไม่พูดอะไร ก็ดึงมือเขาและเขย่าไปมา “อาเล็กครับ ผมอยากอยู่กับพี่สาว”
“เธอไม่ใช่คนในครอบครัวเรา และที่นี่ก็ไม่ใช่บ้านของเธอ เพราะงั้นจะอยู่นานไม่ได้”
ตี้อู๋เปียนตะโกนร้องในใจว่า ฉันเองก็อยากอยู่กับเธอเหมือนกัน โอเคไหม!
เขาไม่รู้ว่าตนเองมีความคิดที่คลุมเครือแบบนี้กับซาลาเปาน้อยตั้งแต่ตอนไหน
“อาเล็กครับ อาเล็กรีบให้พี่สาวมาอยู่บ้านเราเร็วๆ นะ”
“…ฉันจะทำให้เธอมาอยู่บ้านเราได้ยังไงล่ะ” ตี้อู๋เปียนก้มหน้ามองหลานชายตัวน้อยอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
นอกจากเพราะอาการป่วยของตนเอง นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกไร้กำลัง
ปู่ตี้และย่าตี้ฟังบทสนทนาของทั้งสองและจับจ้องไปยังใบหน้าของตี้อู๋เปียนอย่างครุ่นคิด
พวกเขาชอบเสี่ยวเยาเยา และหากเธอกลายมาเป็นคนของตระกูลตี้ได้คงจะดีไม่น้อยเลย
เพียงแต่ ร่างกายของอู๋เปียนนั้น…ไม่ไหว…
หรือไม่ แนะนำเธอให้อู๋โยวลูกพี่ลูกน้องของอู๋เปียนดีไหมนะ
อู๋โยวแก่กว่าอู๋เปียนหนึ่งปี และแก่กว่าเสี่ยวเยาเยาเพียงหกปีเท่านั้น ซึ่งก็เหมาะสมมากเช่นกัน
แต่ว่า จากมุมมองของผู้ที่เคยผ่านประสบการณ์มาก่อนอย่างพวกเขา ดูเหมือนอู๋เปียนจะเริ่มมีความรักแล้วใช่ไหม
นี่…ลำบากใจเหลือเกิน!
เพราะอีกห้าปีต่อจากนี้ ยังไม่รู้ว่าร่างกายของเขาจะดีขึ้นหรือแย่ลง
พวกเขาไม่สามารถทำร้ายเด็กผู้หญิงคนไหนได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกับเสี่ยวเยาเยาที่พวกเขาชอบเธอจากก้นบึ้งของหัวใจ
อย่างไรก็ตาม อีกห้าปีต่อจากนี้เสี่ยวเยาเยาก็เพิ่งมีอายุเพียงยี่สิบสามปีเท่านั้น และหากในห้าปีนี้เธอยังไม่ได้ชอบผู้ชายคนอื่น ตอนนั้นคงได้รู้แล้วว่าอู๋เปียนจะ…
สองผู้เฒ่าถอนหายใจเฮือกใหญ่
ถ้าร่างกายของอู๋เปียนแข็งแรงเป็นปกติ คงไม่หนักใจเท่านี้
ด้วยสถานะปัจจุบัน คนตระกูลเย่ว์ต้องไม่ยอมรับว่านั่นเป็น ‘รักแท้’ สำหรับเสี่ยวเยาเยาอย่างแน่นอน
จริงใจหรือไม่จริงใจ รักหรือไม่รัก ในช่วงที่คนตระกูลเย่ว์อยู่ที่นี่พวกเขามองเห็นได้อย่างชัดเจน
คนตระกูลเย่ว์รักเสี่ยวเยาเยาสุดหัวใจ รักจนแทบอยากจะนำสิ่งที่ดีที่สุดและงดงามที่สุดในโลกนี้มามอบให้เพื่อทำให้เธอมีความสุข
ส่วนอู๋เปียนของเรา อ่า… ย่าตี้มองไปที่หลานชายที่เก่งกาจและมากพรสวรรค์ของเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความทุกข์ใจ
ถุงลมน้อยพูดอย่างจริงจังว่า “อาเล็ก อันเหยี่ยแต่งงานกับพี่สาวได้ไหม สามีภรรยาสามารถอยู่ด้วยกันได้ทุกวัน”
เหมือนพ่อกับแม่ของเขา แม้แต่นอนก็ยังได้นอนด้วยกัน!
ต่างกับเขา ที่ต้องนอนคนเดียว!
ทุกคนตรงนั้นหัวเราะกับคำพูดไร้เดียงสาของเขา
มีเพียงตี้อู๋เปียนที่ค้านเสียงดัง “ไม่ได้!” ถ้าจะแต่ง ก็ต้องแต่งกับเขาเท่านั้น!
“ทำไมล่ะครับ”
“เด็กยังแต่งงานไม่ได้”
“งั้นรออันเหยี่ยโตก่อนแล้วค่อยแต่งก็ได้”
“…รอจนโตเธอก็แก่แล้วล่ะ ยังอยากจะแต่งงานกับเธออยู่อีกเหรอ”
“แก่เหรอครับ แก่เหมือนปู่กับย่าไหม”
“…ใช่” ไม่ใช่อย่างแน่นอน!
ปู่ตี้ “…”
อายุห่างกันแค่สิบห้าปีเท่านั้นโอเคไหม เขาสามารถยอมรับเสี่ยวเยาเยาเป็นภรรยาของเหลนตัวน้อยได้ไม่ติดอะไร
ย่าตี้ “…”
ตราบใดที่เสี่ยวเยาเยารอจนกว่าเสี่ยวอันเหยี่ยจะโตได้ แน่นอนว่าเธอย่อมไม่คัดค้าน! เหลนสะใภ้ดีๆ แบบนี้เธออยากได้ใจจะขาด!
คนอื่นๆ “…”
โชคดีที่หมอเทวดาน้อยมู่ไม่ได้อยู่ที่นี่ ไม่งั้นนายน้อยจะต้องถูกสกัดจุดใบ้อย่างแน่นอน!
มองดูใบหน้าวัยสี่สิบปีของหัวหน้าเผ่าเย่ว์เลี่ยงที่ดูเหมือนเด็กสาวอายุยี่สิบปีสิ รูปหน้าของหมอเทวดาน้อยมู่นั้นเหมือนกับหัวหน้าเผ่าเย่ว์เลี่ยงไม่ผิดเพี้ยน แม้ว่าจะอายุสี่สิบปีแล้วแต่กลับยังดูเด็กมาก!
ยิ่งไปกว่านั้น คนเขาเป็นถึงหมอเทวดา การบำรุงรักษาย่อมเป็นเรื่องง่ายใช่ไหม จะแก่เหมือนอดีตท่านราชาและนายหญิงผู้เฒ่าได้อย่างไร
นายน้อยช่างกล้าพูด!
“แต่งครับ อันเหยี่ยชอบคุณปู่คุณย่า” แล้วก็ชอบพี่สาวด้วย! จะไม่แต่งได้ยังไงล่ะ!
ตี้อู๋เปียน “…คิดว่าอยากแต่งก็แต่งได้เลยงั้นเหรอ ซาลาเปาน้อยไม่ยอมแต่งกับเธอหรอก!”
“อาเล็กคิดผิดแล้ว พี่สาวชอบอันเหยี่ยมากที่สุด! ต้องแต่งงานกับอันเหยี่ยแน่นอน!” ถุงลมน้อยเอ่ยด้วยความมั่นใจ
ทุกคนหัวเราะดังลั่น
ย่าตี้หัวเราะอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลูบหัวเหลนชายตัวเล็กแล้วพูดว่า “พี่สาวชอบอันเหยี่ยที่สุดอยู่แล้ว”
ถุงลมน้อยพยักหน้าหงึกหงัก รอยยิ้มสดใสยิ่งกว่าพระอาทิตย์เดือนเมษายนเสียอีก
ตี้อู๋เปียนรู้สึกขัดหูขัดตามาก จึงยื่นมือสองข้างไปหยิกแก้มอ้วนของเขาและบีบเล่นอย่างมันมือ
“เจ้า…หมู…น้อย…เจ้าหมู…อันเหยี่ย…” อาเล็ก อันเหยี่ยเจ็บนะ
ย่าตี้ช่วยเด็กน้อยจากเงื้อมมือของตี้อู๋เปียน
“อู๋เปียน ผิวเด็กบอบบาง ทนแรงบีบของหลานไม่ไหวหรอกนะ”
“อ้อ”
หลังความวุ่นวายนี้จบลง ความรู้สึกเศร้าหมองของทุกคนในตระกูลตี้ที่มีต่อการย้ายออกของมู่เถาเยาก็จางลง
ตี้อู๋เปียนกอดกระถางดอกฉยงฮวาไว้ แล้วคว้าร่างถุงลมน้อยไปที่ห้องอ่านหนังสือ
“อาเล็ก อันเหยี่ยไม่อยากอ่านหนังสือกับอาเล็ก”
“ไม่ได้ พ่อเธอฝากเธอไว้กับฉันแล้วเพราะงั้นฉันต้องรับผิดชอบ”
ไป๋เฮ่าอวี๋แอบหัวเราะ
เห็นได้ชัดว่านายน้อยกำลัง ‘ใช้งานล้างแค้นเป็นการส่วนตัว’ ยังจะพูดให้ตัวเองดูดีอีก
ถุงลมน้อยนั่งลงที่หน้าโต๊ะหนังสือหน้ามุ่ย
“…เต๋าว่า ราษฎร์ประชาล้วนพ้องต่อเบื้องบน มิหวั่นเกิด มิหวั่นตาย มิหวั่นภยันตราย สวรรค์ว่า หยินหยางแปรเปลี่ยน ฤดูกาลผกผัน กาลเวลาหมุนผ่านมิมีที่สิ้นสุด ปฐพีว่า ไกลแลใกล้ได้ อันตรายแลเปลี่ยนได้ กว้างแลแคบได้ เกิดแล้วแลก็ดับได้ แม่ทัพว่า ศาสตร์แห่งพิชัยนั้นไซร้ต้องเปี่ยมด้วยสติปัญญา ความเชื่อมั่น มนุษยธรรม ความกล้าหาญ และความเข้มงวด ผู้ถือกฎว่า ระบบ ราชการ กฎหมาย เป็นสิ่งที่ผู้เป็นนายถือควรครองอยู่ในมือ…”
แม้แต่ไป๋เฮ่าอวี๋ที่นั่งฟังบทเรียนเป็นเพื่อนอีกฝั่งหนึ่งยังมีสีหน้าสิ้นหวัง นับประสาอะไรกับถุงลมน้อย
“อาเล็กครับ…”
“ท่องจำให้ได้ก่อนแล้วค่อยพูด”
“…นักพรตเต๋า…”
หลังจากอ่านไปสองรอบ ถุงลมน้อยก็พูดว่า “อาเล็ก อันเหยี่ยจำได้หมดแล้ว”
“งั้นลองพูดมาซิว่ามันหมายความว่ายังไง”
ถุงลมน้อยกะพริบตาปริบๆ
ไป๋เฮ่าอวี๋ “…” นายน้อยคาดหวังให้เด็กอายุสามขวบเข้าใจตำราพิชัยสงครามจริงๆ เหรอ
“ตี้อันเหยี่ย อย่ามาทำตัวน่ารัก คิดให้ดีๆ ว่าประโยคนี้มันหมายความว่ายังไง”
“อาเล็ก อันเหยี่ยไม่เข้าใจครับ” มือเล็กๆ สองข้างวางลงบนโต๊ะ ท่าทางเชื่อฟังอย่างยิ่ง
“ทำไมเธอถึงได้โง่ขนาดนี้!”
“อาเล็กผิดแล้ว! พี่สาวบอกแล้วว่าอันเหยี่ยฉลาดมาก! พี่สาวเก่งกว่าอาเล็กอีก!”
“…เธอฉลาดแล้วทำไมเธอถึงไม่เข้าใจล่ะหืม ฉันเข้าใจ เพราะงั้นฉันเก่งกว่า!”
ไป๋เฮ่าอวี๋ “…” เปรียบเทียบตัวเองกับเด็กอายุสามขวบ นายน้อยสุดยอดไปเลย!
ถุงลมน้อยไม่ยอมแพ้ แต่เขาไม่เข้าใจจริงๆ ใบหน้าเล็กจึงเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ
“ตี้อันเหยี่ยฟังนะ ความหมายของประโยคนี้คือ เต๋า สื่อว่าราชาและประชาชนล้วนมีเป้าหมายเดียวกัน มีจุดประสงค์และความตั้งใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน สามารถร่วมเป็นร่วมตาย ไม่หวาดหวั่นต่อภัยอันตรายรอบด้าน สวรรค์ สื่อว่ากลางวันและกลางคืน ความมืดและแสงสว่าง ฤดูหนาวและฤดูร้อน การเปลี่ยนแปลงของสี่ฤดู…”
เมื่อได้ฟังบทความยาวเหยียด ถุงลมน้อยก็รู้สึกเคลิ้มใกล้จะหลับ แต่เขาไม่ต้องการให้อาเล็กดูถูกเขา จึงพยายามเบิกตากว้างไล่ความง่วงนอน แต่หัวเล็กๆ ก็เริ่มสัปหงกลง ร่างเล็กๆ ก็เริ่มโงนเงนไปมาตามจังหวะเสียงพูด…
ไป๋เฮ่าอวี๋เกือบจะหลุดหัวเราะออกมา แต่โชคดีที่เขาปิดปากไว้ทัน
ไม่อย่างนั้น นายน้อยต้องจับเขาไปเรียนด้วยแน่!
แถมยังเลือกบทเรียนที่เขาไม่เข้าใจเลยอย่างเช่นการสร้างและซ่อมแซมยานอวกาศอะไรนั่น…
เขาเป็นแค่หมอคนหนึ่ง…
“ตี้อันเหยี่ย!”
ถุงลมน้อยสะดุ้งเฮือก นั่งตัวตรง กะพริบตาก่อนจะทำตาโต ราวกับกำลังพูดว่า ผมไม่ได้หลับ ผมกำลังฟังอยู่…
อาจารย์ตี้อู๋เปียนบรรยายต่อไป “…ใช้กำไรล่อลวงพวกโลภ ฉวยโอกาสโจมตีศัตรูตอนวุ่นวาย สะสมกำลังรอโจมตีข้าศึก เมื่อศัตรูแข็งแกร่งกว่า ให้หลบหลีก ให้มุ่งเน้นทำศัตรูขาดสติ แสดงให้ศัตรูเห็นว่าเราอ่อนแอ เมื่อศัตรูเหนื่อยล้า ทำให้ศัตรูขัดแย้งกัน โจมตีศัตรูเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้เตรียมพร้อม จะสามารถอยู่เหนือศัตรู…”
ถุงลมน้อยหลับตาลง หัวเล็กๆ กำลังจะเขกกับพื้นโต๊ะ
ไป๋เฮ่าอวี๋ประคองใบหน้าเล็กๆ ของเขาไว้ด้วยความเอ็นดู
“นายน้อย ผมอุ้มเสี่ยวอันเหยี่ยไปนอนก่อนนะครับ” นายน้อยไม่ใช่ครูที่ดีเลย เขาทำให้นักเรียนหลับในห้องเรียน!
ตี้อู๋เปียนครางอืมด้วยน้ำเสียงที่แข็งทื่อ
ไป๋เฮ่าอวี๋รีบอุ้มเจ้าตัวเล็กหนีออกไปจากห้องอ่านหนังสือทันที
ตี้อู๋เปียนแค่นเสียงหึเบาๆ พลางวางดอกฉยงฮวาที่อยู่ในกระถางคริสตัลลงบนโต๊ะ
ดอกฉยงฮวารู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม
“เสี่ยวฉยง แกว่าทำไมอันเหยี่ยถึงอยากแต่งงานกับซาลาเปาน้อย”
“…เจ้านาย ท่านเชื่อคำพูดของเด็กด้วยเหรอ”
“เสี่ยวฉยง แกว่าซาลาเปาน้อยอยู่ดีๆ ทำไมถึงได้ย้ายออกไป”
“ย้ายออกไปก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ ที่นี่ไม่ใช่บ้านของเธอสักหน่อย!” เมื่อครู่เขาเองก็พูดแบบนี้กับถุงลมน้อย!
“แต่ทำไมเธอต้องย้ายออกไปด้วยล่ะ มีฉันอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนเธอไม่ดีกว่าหรือไง”
“…”
แกล้งตาย
“เสี่ยวฉยง แกเป็นใบ้ไปแล้วเหรอ”
“…”
จะให้ตอบว่ายังไง ตอบตามความจริงว่า ‘เธอย่อมไม่ต้องการให้เจ้านายอยู่เป็นเพื่อนอยู่แล้ว’ น่ะเหรอ
คนที่ต้องการให้คนอื่นอยู่เป็นเพื่อน เห็นได้ชัดว่าเป็นเจ้านายโอเคไหม!
“เสี่ยวฉยง แกว่าซาลาเปาน้อย…ไม่ชอบฉันหรือเปล่า”
“อืม ก็ไม่ควรชอบฉันจริงๆ นั่นแหละ…” ตี้อู๋เปียนพูดต่อโดยไม่รอให้ดอกฉยงฮวาพูดตอบ
“เจ้านาย ท่านอย่าเพิ่งเสียกำลังใจสิ ซาลาเปาน้อยต้องรักษาท่านได้อย่างแน่นอน”
ตี้อู๋เปียนก็ไม่ได้อยากตาย เขาอยากมี…กับซาลาเปาน้อย
แต่ความจริงมันตอกหน้าเขา ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากตายแล้วจะไม่ตาย
ซาลาเปาน้อยได้พยายามอย่างดีที่สุดแล้ว การหาสมุนไพรคือหน้าที่ของเขา ท้ายที่สุดไม่ว่าเขาจะตายหรือไม่ คงขึ้นอยู่กับโชคชะตาของตัวเองแล้วล่ะ
บางครั้งความแข็งแกร่งที่มากถึงเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ หากหนึ่งเปอร์เซ็นต์ที่เป็นส่วนของโชคนั้นขาดหายไป ผลลัพธ์ย่อมลงเลยในทางร้ายมากกว่าดี ไม่อย่างนั้นบนโลกนี้คงไม่มีคนที่เสียใจมากขนาดนั้นหรอก
“ซาลาเปาน้อย…ดีมากจริงๆ นะ ฉันไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนเฉลียวฉลาดเท่าเธอมาก่อนเลย”
“เจ้านาย ท่านไม่เคยเห็นผู้หญิงคนอื่นมาก่อนไม่ใช่เหรอ”
“ถ้าแกพูดไม่เป็นก็พูดให้มันน้อยๆ หน่อย!” ตี้อู๋เปียนจ้องมันเขม็ง
ดอกฉยงฮวา “…”
ยุคสมัยนี้แม้แต่ความจริงก็พูดไม่ได้เหรอ
ช่างเถอะ เห็นแก่สุขภาพที่ไม่ดีของเจ้านาย ดอกไม้อย่างมันจะยอมใจกว้างไม่จู้จี้แล้วก็ได้