อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร - ตอนที่ 117 พี่รองที่คิดไม่ซื่อ
ตอนที่ 117 พี่รองที่คิดไม่ซื่อ
หลังจากฝังเข็มให้ตี้อู๋เปียนเสร็จ มู่เถาเยาก็หารือเกี่ยวกับอาการป่วยของเขากับไป๋เฮ่าอวี๋เหมือนอย่างเคย
ในที่สุดตี้อู๋โยวก็เข้าใจถึงเวทมนตร์ของหมอเทวดาน้อยมู่ที่ทำให้ทุกคนในครอบครัวเอ่ยชมไม่ขาดปาก
ตอนแรกคิดว่าเธอแค่อาศัยแสงจากปู่หยวน ดังนั้นครอบครัวจึงพูดเกินจริง ใครจะรู้ว่าเธอจะมีความสามารถอย่างแท้จริง และความสามารถนี้ก็ห่างไกลจากฝีมือของคนธรรมดาไปมาก!
เธอเพิ่งจะอายุเท่าไรกันเชียวแต่ก็ประสบความสำเร็จถึงขนาดนี้แล้วไม่รู้ว่าในอนาคตเธอจะทำให้โลกประหลาดใจมากแค่ไหน!
ตี้อู๋เปียนแอบขยับตัวเล็กน้อย พยายามขัดขวางตี้อู๋โยวไม่ให้มองซาลาเปาน้อย
ตี้อู๋โยวเลิกคิ้วขึ้น เอ่ยถามมู่เถาเยาด้วยน้ำเสียงติดขี้เล่นว่า “เสี่ยวเยาเยา ฉันขอคุยกับเธอตามลำพังหน่อยได้ไหม”
มู่เถาเยาคิดว่าเขาต้องการทราบเกี่ยวกับอาการป่วยของตี้อู๋เปียน จึงตกลงอย่างไม่อิดออด
ใบหน้างามของตี้อู๋เปียนบึ้งตึงทันที
ชายหนุ่มจ้องมองแผ่นหลังลูกพี่ลูกน้องตนเขม็ง แทบอยากจะเดินไปอยู่ข้างๆ มู่เถาเยาแทนเขา
ซาลาเปาน้อยก็จริงๆ เลย ใครเรียกก็ตามไปหมด! ไม่กลัวว่าคนอื่นจะหลอกเธอไปขายหรือไง!
ใบหน้าของตี้อู๋เปียนเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
ปู่ตี้และย่าตี้เห็นสีหน้าของเขาเปลี่ยนไป ก็จับได้ทันทีว่าเขากำลังคิดอะไร
ผู้เฒ่าทั้งสองสบตากัน พลางถอนหายใจพร้อมกัน
พวกเขาชอบมู่เถาเยา และอยากให้เธอมาเป็นคนของตระกูลตี้ แต่ด้วยร่างกายอู๋เปียน…มันช่างตอบยากว่าจะมีวันนั้นหรือไม่
และช่างบังเอิญมาก จู่ๆ อู๋โยวก็มา!
ตอนแรกพวกเขาเคยคิดจะให้อู๋โยวตามจีบเสี่ยวเยาเยา แต่ก็ไม่อาจทนเห็นอู๋เปียนเสียใจได้…แม้ว่าจะไม่มีวันนั้น อย่างน้อยเขาก็เคยชอบผู้หญิงคนหนึ่ง
ตราบใดที่เด็กสาวคนนี้ไม่รู้ ย่อมไม่ส่งผลต่อความรู้สึกในอนาคตของเธออย่างแน่นอน
เธอจะชอบใคร หรือต้องการใครก็แล้วแต่เธอจะตัดสินใจ
ก่อนที่อู๋เปียนจะยืนยันได้ว่าตนเองจะไม่ตาย คงทำได้เพียงฝังความรู้สึกที่ไม่บริสุทธิ์นี้ไว้ในส่วนลึกของหัวใจเท่านั้น
แต่ก็หวังว่าสวรรค์จะเมตตาเขา
หวังว่าสวรรค์จะเมตตาเสี่ยวเยาเยา รวมถึงเมตตาอู๋เปียนด้วย
ปู่ตี้และย่าตี้มองหลานชายของตนเองด้วยความรักสุดหัวใจ
ตี้อู๋เปียนรู้สึกได้ถึงความรักที่เอ่อล้นจากผู้เฒ่าทั้งสอง
แม้ว่าถุงลมน้อยจะไม่เข้าใจความซับซ้อนเช่นนี้ แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของทุกคน
โดยเฉพาะตี้อู๋เปียน
“อาเล็ก ทำไมอาเล็กหน้าดำจังล่ะครับ”
ปู่ตี้และย่าตี้หัวเราะเสียงดังลั่น
ตี้อู๋เปียน “ไม่ดำสักหน่อย ฉันขาวกว่าเธอเยอะ!”
ถุงลมน้อยไม่สามารถอธิบายความรู้สึกนั้นได้ จึงพูดไปว่าอาเล็กของตนหน้าดำ ไม่หล่อแล้ว
“พูดจาเหลวไหล! ฉันรูปงามอันดับหนึ่งในใต้หล้า! จะไม่หล่อได้ยังไง!” ยกเว้นซาลาเปาน้อย ก็ไม่มีใครเทียบได้!
ถุงลมน้อยสังเกตใบหน้าอาเล็กของตน พลางส่ายหัวแล้วเอ่ยว่า “อาเล็กไม่หล่อ อาเล็กรองหล่อกว่า”
ตี้อู๋โยวที่ยิ้มอย่างสดใสเมื่อครู่ ช่างสวยงามจริงๆ!
ตี้อู๋เปียน “ตี้อันเหยี่ย รสนิยมในสุนทรียศาสตร์ของเธอมีปัญหาแล้วล่ะ!”
ถุงลมน้อยเอียงศีรษะแล้วเอ่ยถาม “รสนิยมในสุนทรียศาสตร์คืออะไรเหรอครับ”
“…ฉันถามเธอหน่อยว่าในโลกใบนี้ใครรูปงามที่สุด”
“พี่สาว!”
ตี้อู๋เปียน “…”
โอเค เขาจะไม่แข่งกับซาลาเปาน้อย!
คนตัวใหญ่และคนตัวเล็กกำลังพูดคุยกันเรื่องที่ไร้เดียงสาสุดๆ หลังจากที่มู่เถาเยาและตี้อู๋โยวคุยกันเสร็จก็กลับมาหาพวกเขา
“ซาลาเปาน้อย พวกเธอพูดเรื่องอะไรกัน ทำไมนานขนาดนี้!”
“แค่ไม่กี่นาทีเอง ไม่นานสักหน่อย” มู่เถาเยาแย้งเขา
ตี้อู๋เปียน “…”
เวลาสำคัญด้วยเหรอ
ก็ได้ ยกเว้น ‘พูดคุยอะไรกัน’ เวลาก็มีความสำคัญ
ตี้อู๋โยวเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “อู๋เปียน ฉันแค่ถามเสี่ยวเยาเยาเรื่องสภาพร่างกายของนายเฉยๆ”
ตี้อู๋เปียน “…” ถามเรื่องสภาพร่างกายของฉันต้องคุยกันตามลำพังด้วยเหรอ
ไอ้พี่รองคิดไม่ซื่อ!
“ซาลาเปาน้อย จะไปห้องอ่านหนังสือไหม ฉันมีหนังสือใหม่ด้วยนะ!”
“ไม่ล่ะ วันนี้ฉันมีเพื่อนอีกสองคนมาด้วย เดี๋ยวต้องพาพวกเธอไปเที่ยวเล่นที่วิลล่าตระกูลเย่ว์อีก ตี้อู๋เปียน สภาพร่างกายของคุณยังดีอยู่ สามารถเพิ่มเวลาเดินเล่นให้เหมาะสมได้ แต่ยังไม่เหมาะที่จะออกกำลังกายใดๆ”
“…ฉันเข้าใจแล้ว เพื่อนของเธอคือใครเหรอ เพื่อนร่วมชั้นเหรอ” เขาอยากจะรู้จักเธอ แต่ก็ไม่อยากสืบข้อมูล
“คนหนึ่งเป็นลูกสาวของผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านเถาหยวนซาน ชื่อมู่หว่าน เธอเติบโตมาพร้อมกับฉัน อีกคนคือเจียงเฟิงเหมียน เป็นลูกสาวอาจารย์อาเล็กของฉันเอง”
“แล้วพวกเธอล่ะ ทำไมไม่เห็นเลย”
“เสี่ยวเหมียนชอบใช้ปลายพู่กันบรรยายถึงทิวทัศน์ที่สวยงามทั้งหมดในโลก เขตวิลล่านี้มีสุนทรียศาสตร์ตรงกับเธอพอดี ก็เลยลงรถไปเดินดูรอบๆ น่ะ ส่วนเสี่ยวหว่านก็ไปกับเธอด้วย”
“โอเค ไปรับพวกเธอกลับมาให้ทันมื้ออาหารเที่ยงแล้วกัน”
เพื่อนของซาลาเปาน้อยก็คือเพื่อนของเขา
เขาจึงตั้งใจรับรองเพื่อนของเธออย่างจริงจัง
“เดี๋ยวพวกฉันไปทำอะไรกินกันเองที่วิลล่าตระกูลเย่ว์ก็ได้”
ย่าตี้ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เสี่ยวเยาเยาไม่จำเป็นต้องเกรงใจขนาดนั้น”
ปู่ตี้พยักหน้าเห็นด้วย
“หลังมื้อกลางวันฉันต้องไปส่งเสี่ยวหว่านที่สนามบิน เธอเรียนอยู่ที่เมืองเฟิงตู จากนั้นยังต้องไปช่วยดูภาพวาดให้เสี่ยวเหมียนที่บ้านอาจารย์อาเล็กอีกค่ะ ทั้งสองคนใกล้จะสอบเอนทรานซ์แล้ว เอาไว้ถ้าคราวหน้ามีเวลาหนูจะแนะนำทั้งคู่ให้รู้จักนะคะ”
“เอาอย่างนั้นก็ได้จ้ะ” ย่าตี้เข้าใจ
“ซาลาเปาน้อย ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าเธอยุ่งกว่าพ่อฉันอีก” ตี้อู๋เปียนขมวดคิ้วพลางเอ่ยขึ้น
“ช่วงนี้งานยุ่งน่ะ มื้อเย็นฉันจะมาทานข้าวที่นี่ รบกวนทำอาหารเผื่อด้วยนะคะ พ่อและพี่ชายของฉันให้คนส่งเฮลิคอปเตอร์และรถยนต์มาให้ จำเป็นต้องจอดไว้ฝั่งนี้ก่อน”
“โอเค พอใกล้ถึงเวลาแล้วฉันจะให้เชฟทำอาหารกลางวันไปส่งให้พวกเธอนะจ๊ะ หลังกินข้าวเสร็จ ฉันจะให้อาคุนไปส่งพวกเธอที่สนามบิน”
“รบกวนด้วยนะคะ”
ย่าตี้ยิ้มอย่างสดใส “เสี่ยวเยาเยาไม่จำเป็นต้องเกรงใจพวกเราหรอกนะ” เกรงใจเกินไปมันจะทำให้ห่างเหินกันเปล่าๆ
“ค่ะ”
ถุงลมน้อยรู้สึกว่าตัวเองถูกละเลย จึงวิ่งเข้าไปในอ้อมแขนของมู่เถาเยา
มู่เถาเยาลูบศีรษะเล็กๆ ของเขา
ตี้อู๋โยวรู้สึกว่าหากเขากลับมาในอีกหนึ่งเดือน เขาคงไม่รู้จักครอบครัวของตนเองแล้วหรือเปล่า
ตี้อู๋เปียนหาเรื่องคุย “ซาลาเปาน้อย ใกล้ถึงการแข่งขันทักษะทางการแพทย์ระดับโลกแล้วใช่ไหม”
“อืม วันที่หนึ่งพฤษภาคม ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งสัปดาห์”
“ฉันจำได้ว่าการแข่งขันนี้ต้องมีอายุระหว่างสิบแปดถึงยี่สิบห้าปีเท่านั้นถึงจะเข้าร่วมได้ใช่ไหม แล้วคนหนึ่งเข้าร่วมได้แค่รอบเดียวเท่านั้น”
“ใช่”
“แล้วทำไมเธอถึงไม่เข้าร่วมล่ะ ครั้งต่อไปก็อีกห้าปีเลยนะ ตอนนั้นเธอคงเรียนจบจากมหาวิทยาลัยแล้ว” ถ้าไม่ใช่นักเรียนนักศึกษาก็จะไม่มีโอกาสอีก
“อืม ฉันตั้งใจว่าจะอยู่มหา’ ลัยแค่สามปี หรือบางทีอาจไม่ถึงสามปี” อย่างไรเสียเธอก็ไม่สนใจประกาศนียบัตรนั่นอยู่แล้ว
“แล้วต่อไปเธอจะทำอะไร”
“ยังไม่แน่ใจ อาจจะทำ หรือไม่ทำอะไรเลยก็ได้”
ที่เธอบอกว่าไม่ทำอะไรเลยไม่ใช่ว่าไม่มีเป้าหมายในชีวิต แต่หลายๆ เรื่องแค่ไม่ได้ลงมือเองต่างหาก
ย่าตี้พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยวเยาเยาเพิ่งอายุสิบแปดปี ไม่ต้องรีบร้อนไปหรอก”
ปู่ตี้ยิ้มและพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่แล้ว ทุกช่วงอายุมีความคิดที่แตกต่างกัน ตอนนี้เสี่ยวเยาเยากำลังอยู่ในวัยที่ทำตามอำเภอใจ จึงไม่ควรขลุกตัวอยู่แต่ในบ้าน”
ตี้อู๋เปียนใช้ความคิด แล้วเอ่ยถามขึ้น “ซาลาเปาน้อย ฉันออกไปข้างนอกได้ไหม”
“ถ้าระวังตัวก็ออกไปได้ แต่ต้องพยายามไปสถานที่ที่มีอากาศดีๆ แล้วก็มีคนน้อยๆ”
“งั้น…ป่าล่ะได้ไหม” อยากไปป่าเซียนโหยว…หมู่บ้านเถาหยวนซาน
“แค่ไม่ทำให้ตัวเองเหนื่อย ไม่ทำให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บ ล้วนเหมาะที่จะไป พลังชีวิตของป่าอุดมสมบูรณ์ที่สุด และยิ่งถ้าเป็นป่าดึกดำบรรพ์ก็ยิ่งดี”
“ซาลาเปาน้อย รอเธอหยุดฤดูร้อน ฉันขอไปหมู่บ้านเถาหยวนซานได้ไหม”
“ได้ อาจารย์ใหญ่ของฉันอยู่ที่นั่น”
“…แล้วเธอล่ะ ไม่กลับไปเหรอ”
“ฉันอาจจะไปเผ่าพระจันทร์ก่อน แล้วค่อยกลับไป” เหตุผลหลักคืออยากไปเก็บ ‘เพลิงชาด’ และ ‘ธารหิมะ’ ที่ภูเขาเทพจันทราเพื่อทำการวิจัย
“…ฉันจะไปด้วย”
“ร่างกายของคุณไม่เหมาะกับการเดินทางไกล”
ตี้อู๋เปียน “…”