อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร - ตอนที่ 122 เสี่ยวเยาเยากลับหมู่บ้าน
ตอนที่ 122 เสี่ยวเยาเยากลับหมู่บ้าน
หลังมื้ออาหารเช้าในวันเสาร์ ปู่ตี้และย่าตี้ก็นั่งเครื่องบินส่วนตัวของตระกูลตี้เดินทางกลับเมืองหลวง
ส่วนมู่เถาเยาก็พาตี้อู๋เปียน ถุงลมน้อย และไป๋เฮ่าอวี๋ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ที่เย่ว์จือเหิงมอบให้เธอกลับไปยังหมู่บ้านเถาหยวนซาน
เย่ว์จือกวง เป่ยซี อาจารย์ทั้งสองคนของเธอ อาจารย์แม่เล็ก อดีตผู้ใหญ่บ้านและผู้ใหญ่บ้านคนปัจจุบันล้วนมานั่งอยู่ในห้องชงชาเล็กๆ ใกล้กับลานจอดเฮลิคอปเตอร์รอให้พวกเธอมาถึงอย่างใจจดใจจ่อ
เมื่อเฮลิคอปเตอร์ลงจอด เป่ยซีก็รีบลุกขึ้นและวิ่งออกจากประตูห้องชงชา แต่ทันใดนั้นฝีเท้าของเธอก็หยุดชะงักลง
“แม่ครับ ไม่ต้องกังวล เสี่ยวเยาเยาไม่เคยกล่าวโทษพวกเราเลย” เย่ว์จือกวงโอบไหล่ของเป่ยซีเพื่อปลอบโยนเธอ
หยวนเหยี่ยยิ้มและพูดว่า “ถูกต้อง จิตใจของเสี่ยวเยาเยานั้นสะอาดบริสุทธิ์ที่สุด เธอจะไม่มีวันกล่าวตำหนิพวกเธอ”
ซย่าโหวโซ่วและถังหยวนพยักหน้าทันที
อดีตผู้ใหญ่บ้านกล่าวเสริมว่า “เสี่ยวเยาเยา ฉลาดและมีความสามารถมากตั้งแต่เธอยังเด็ก เด็กทุกคนในหมู่บ้านรวมกันยังไม่ดีเท่าเธอคนเดียว! อย่างในครอบครัวของฉัน เสี่ยวหว่านแก่กว่าเสี่ยวเยาหนึ่งเดือน แต่เธอกลับยังต้องพึ่งพาให้เสี่ยวเยาเยาคอยดูแลเหมือนเป็นน้องสาวคนหนึ่งเสมอมา…” บลาๆๆ
นอกจากคนไม่กี่คนที่อยู่ตรงนี้ เขาเป็นเพียงคนเดียวที่รู้ว่าเป่ยซีและเย่ว์จือกวงเป็นแม่และพี่ชายแท้ๆ ของเสี่ยวเยาเยา
เรื่องเซอร์ไพรส์ที่เสี่ยวเยาเยาไม่ใช่เด็กกำพร้า ทำให้เขามีความสุขมากจนแม้แต่หลับก็ยังถูกความสุขนี้ปลุกให้ตื่นจากฝัน!
เมื่ออดีตผู้ใหญ่บ้านเริ่มพูดเรื่องมู่เถาเยา เขาก็หยุดไม่ได้
คนหลายๆ คนที่มารอรับมู่เถาเยากลับบ้านวันนี้ล้วนเป็นเสมือนญาติแท้ๆ ที่รักและเอ็นดูมู่เถาเยาอย่างสุดหัวใจ ดังนั้นแทนที่จะแสดงท่าทีเบื่อหน่ายและรำคาญกับเสียงพูดมาก พวกเขากลับพยักหน้าตามอย่างเห็นด้วยเป็นครั้งคราวด้วยใบหน้าที่สดใส
เมื่อมู่เถาเยาและคนอื่นๆ ลงจากเฮลิคอปเตอร์และเดินมาหาพวกเขา พวกเขายังคงคุยโม้เกี่ยวกับเจ้าตัวไม่หยุด
มู่เถาเยาใบหน้าร้อนฉ่าเล็กน้อยเมื่อได้ยิน
“อาจารย์ใหญ่ อาจารย์เล็ก อาจารย์แม่เล็ก…” มู่เถาเยาทักทายพวกเขาแต่ละคนด้วยรอยยิ้ม
เป่ยซีดูเศร้า
ลูกสาวของเธอยิ้มหวานกับทุกคนยกเว้นเธอ
ไม่เพียงแต่พวกเธอไม่ได้รับรอยยิ้ม แต่เธอไม่ได้ยินแม้แต่คำทักทายด้วยซ้ำ
หลังจากมู่เถาเยาพูดกับทุกคนสองสามคำ เธอก็เดินไปหยุดตรงหน้าเป่ยซีและจ้องมองเธออยู่สักพักหนึ่ง รู้สึกว่าสีหน้าของเธอดูมีเลือดฝาดขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย และใบหน้าของเธอก็ไม่ได้ซีดเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว
มือเล็กยกขึ้นสัมผัสกับเส้นผมยาวสีขาวราวกับหิมะของเธอ กล่าวคำสองคำนี้ออกมาโดยไม่รู้สึกอึดอัดแม้แต่น้อย “แม่คะ”
น้ำตาของเป่ยซีไหลพรากอาบแก้ม
มู่เถาเยาควานหากระดาษทิชชูจากถุงผ้าขนาดเล็กของเธอและเช็ดน้ำตาให้เป่ยซีอย่างชำนาญ
เธอเช็ดน้ำตาให้เยี่ยนหังและเด็กเล็กๆ ในหมู่บ้านบ่อยๆ เมื่อตอนที่พวกเธอยังเด็ก ดังนั้นเธอจึงมีความเชี่ยวชาญอย่างมาก
“อย่างที่คุณเห็น อยู่ที่นี่ฉันสบายดีค่ะ” ดังนั้นไม่ต้องเสียใจไป ไม่ต้องรู้สึกผิด
เรื่องบางเรื่องไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจพวกมันล้วนเป็นอดีตไปหมดแล้ว
เป่ยซีกอดมู่เถาเยาพร้อมน้ำตา
มู่อี้ผู้ใหญ่บ้านคนปัจจุบันมองฉากตรงหน้าด้วยสีหน้าเหม่อลอย
คุณผู้หญิงเป่ยเป็นแม่ของเสี่ยวเยาเยาจริงเหรอ ถ้างั้น…เสี่ยวเยาเยาก็คือเจ้าหญิงน้อยของเครือเทียนเย่ว์?
ไม่น่าแปลกใจเลยที่เครือเทียนเย่ว์ ยักษ์ใหญ่ด้านธุรกิจของโลกจะมาขอความร่วมมือกับหมู่บ้านเถาหยวนซานเล็กๆ ของเขา!
ที่แท้ก็เป็นแบบนี้!
ถุงลมน้อยมองคนโน้นทีคนนี้ทีอย่างงุนงง
ทำไมคุณป้าผมขาวคนนี้ถึงต้องกอดพี่สาวและร้องไห้อย่างโศกเศร้าด้วย แม่ของเขาเมื่อเห็นเขามีแต่จะยิ้มไม่เคยร้องไห้เลย!
แต่ทำไมพอเป็นคุณแม่ของพี่สาวถึงต่างกัน เธอเอาแต่ร้องไห้แต่ไม่หัวเราะ?
เจ้าตัวเล็กดูสับสนมาก
ตี้อู๋เปียนมองไปที่ทั้งสองคนที่กอดกันด้วยความคิดที่ซับซ้อน
ซาลาเปาน้อยถูกนำมาทิ้งตั้งแต่เธอยังเด็กๆ แต่ครอบครัวของเธอไม่เคยหยุดตามหาเธอ เช่นเดียวกับครอบครัวของเขาที่รู้ว่าความเจ็บป่วยของเขาไม่สามารถรักษาให้หายได้ แต่พวกเขาไม่เคยคิดที่จะยอมแพ้
ไป๋เฮ่าอวี๋ไม่รู้จักคนตระกูลเย่ว์ รู้เพียงแต่ว่ามู่เถาเยาเป็นเด็กกำพร้า ดังนั้นเขาจึงรู้สึกตกใจอย่างมากที่จู่ๆ ญาติของเด็กสาวที่เขาชื่นชมก็ปรากฏตัวอย่างกะทันหัน
เหลียงจีมีน้ำตาคลอเบ้าเช่นกัน
เนื่องจากเธอฝึกวรยุทธ์และแสดงพรสวรรค์ในด้านนี้ออกมาตั้งแต่เด็ก จึงถูกเรียกตัวให้เข้าร่วมกับกองทัพเป็นพิเศษ หลังจากอยู่ในกองทัพตระกูลเป่ยเป็นเวลาสิบปี เธอก็ได้รับเลือกให้เป็นนักบินและบอดี้การ์ดคอยคุ้มกันระหว่างที่หัวหน้าเผ่าเดินทาง ดังนั้นเธอจึงรู้เรื่องเกี่ยวกับทั้งสองตระกูลมากกว่าคนทั่วไป
สีหน้าของมู่เถาเยาดูทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย
พ่อแก่ๆ ที่เพิ่งบอกลากันเมื่อไม่นานมานี้ขี้แยมาก คุณแม่คนนี้ดูเหมือนก็ไม่ต่างกัน
พวกเขาทั้งหมดทำจากน้ำหรือไง
เย่ว์จือกวงโอบสองแม่ลูกไว้ในอ้อมแขนของเขาอีกที
หยวนเหยี่ยขอให้มู่อี้ช่วยขับรถพาพวกเขากลับไปส่งบ้านก่อน เหลือพื้นที่ให้กับพวกเขาสามแม่ลูก และเหลียงจีที่จะทำหน้าที่เป็นคนขับรถให้ทั้งสามคนในภายหลัง
“เสี่ยวอิ๋งเอ๋อร์…”
“…คะ” เธอเกือบลืมไปแล้วว่าตัวเองยังมีชื่อนี้อีกชื่อหนึ่ง
“เสี่ยวอิ๋งเอ๋อร์…”
“…คะ” มีอะไรล่ะ
“เสี่ยวอิ๋งเอ๋อร์…”
“…แม่คะ แม่เรียกหนูว่าเสี่ยวเยาเยาเถอะ ไม่ใช่ว่าหนูไม่ชอบนะ แต่หนูแค่ไม่ชินกับชื่อนี้”
“ได้จ้ะ ลูกสาวแม่อยากให้แม่เรียกยังไงแม่ก็จะเรียกแบบนั้น” แค่ชื่อไม่จำเป็นต้องยึดติดกับมัน
“อื้ม”
“แม่ครับ ผมว่าเราไว้คุยกันระหว่างทางกลับดีไหม เสี่ยวเยาเยาพาแขกมาด้วย”
หลังจากอยู่ในหมู่บ้านเถาหยวนซานมาระยะหนึ่ง เย่ว์จือกวงก็สร้างบ้านให้ตัวเองเสร็จเรียบร้อย
แน่นอนว่าบ้านของพวกเขาก็คือบ้านของน้องสาว และบ้านของน้องสาวก็เป็นบ้านของพวกเขาด้วยเหมือนกัน
“เอาล่ะ เรากลับไปรับรองแขกที่บ้านกันก่อนดีกว่า”
“…อันที่จริง ตี้อู๋เปียนไม่ถือว่าเป็นแขก เขาเป็นคนไข้ของหนูค่ะ”
“ตี้อู๋เปียน? แซ่นี้ เขามาจากตระกูลตี้ของท่านราชาเหรอ” ในประเทศเหยียนหวงคนที่ใช้แซ่ตี้ได้มีแต่เชื้อสายของราชาเท่านั้น ก็เหมือนกับแซ่เย่ว์ของเผ่าพระจันทร์
ก่อนที่ลูกสาวของเธอจะถูกลักพาตัวออกไป เป่ยซีเคยมีโอกาสได้พบราชาตี้และครอบครัวของเขาอยู่หลายครั้ง
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากตี้อู๋เปียนเป็นคนป่วย คนนอกจึงแทบไม่มีใครรู้ว่าตระกูลตี้ยังมีลูกชายคนนี้อยู่
และแม้ว่าถุงลมน้อยจะเคยไปเยี่ยมชมเผ่าพระจันทร์ แต่นั่นก็หลังจากที่เป่ยซีได้รับความทุกข์ทรมานจากภาวะซึมเศร้าแล้ว เธอไม่ได้ก้าวออกจากห้องเป็นเวลาหลายปี ดังนั้นเธอจึงไม่รู้จักถุงลมน้อยเช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ความสนใจของเป่ยซีก็อยู่ที่ลูกสาวของเธอทั้งหมด จึงไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่ามีใครมาพร้อมกับลูกสาวของเธอหรือไม่
“เขาเป็นคนตระกูลตี้ค่ะ เขาป่วย หนูจึงต้องช่วยฝังเข็มให้เขาทุกเช้าวันอาทิตย์ ดังนั้นหนูเลยพาเขามาที่นี่ด้วย” เธอคงไม่สามารถบอกว่าพาตี้อู๋เปียนมาหาพี่รองต่อหน้าเป่ยซีได้จริงไหม
เธอไม่รู้ว่าเป่ยซีจะยอมรับความสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกันได้หรือไม่
โดยทั่วไปแล้ว คนในตระกูลใหญ่มักให้ความสำคัญกับการมีทายาทมากๆ ยิ่งเป่ยซีเกิดในตระกูลที่มีอำนาจ ดังนั้นเธออาจไม่สามารถยอมรับได้
มู่เถาเยากำลังคิดว่ามีความเป็นไปได้กี่ส่วนที่ผู้ชายจะคลอดลูก?
เย่ว์จือกวงเคยไปที่คฤหาสน์ตระกูลตี้ในเย่ว์ตูมาก่อนและรู้เกี่ยวกับสภาพร่างกายของตี้อู๋เปียน ดังนั้นจึงไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับเขา
เย่ว์จือกวงไม่รู้เลยสักนิดว่าน้องสาวของเขาถูกเพื่อนร่วมชั้นที่ดีของเธอชักนำให้หลงผิดแล้ว!
ถ้าเขารู้ เขาจะซื้อแพลตฟอร์มวรรณกรรมออนไลน์และสำนักพิมพ์ทั้งหมดอย่างแน่นอน และไม่ปล่อยให้เรื่องราวยุ่งเหยิงเหล่านี้ปรากฏในตลาดอีก มิฉะนั้นน้องสาวผู้แสนบริสุทธิ์ของเขาก็จะเสียคนไป!
“เสี่ยวเยาเยา ทำไมผู้อาวุโสทั้งสองจากตระกูลตี้ถึงไม่มาด้วยกันล่ะ” มีแต่เด็กและคนป่วยที่มา
“ผู้อาวุโสทั้งสองกลับไปที่เมืองหลวงค่ะ เห็นว่ามีธุระที่เกี่ยวกับประเทศ” แม้ว่าตี้อู๋เปียนและถุงลมน้อยจะไม่ได้ติดตามเธอกลับมาที่หมู่บ้านเถาหยวนซานในวันนี้ ผู้อาวุโสทั้งสองก็ยังต้องกลับไปที่เมืองหลวงในวันนี้อยู่ดี
“อืม ร่างกายของตี้อู๋เปียนดีขึ้นบ้างหรือเปล่า”
“ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนเยอะมากเลยค่ะ ครั้งนี้ที่ฉันตัดสินใจกลับมาที่นี่ ส่วนหนึ่งก็เพราะได้ยินว่ามีหมอหญิงเดินเท้าเข้าไปในป่าเซียนโหยว เธอรู้จักสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ในการรักษาตี้อู๋เปียนด้วย”
“เสี่ยวอิ๋ง…เสี่ยวเยาเยา ลูกอยากเข้าป่าไปหาหมอหญิงคนนั้นเหรอ” เป่ยซีคว้ามือมู่เถาเยาไว้อย่างกระวนกระวายพลางถาม
เธออยู่ที่หมู่บ้านเถาหยวนซานมาระยะหนึ่งแล้วจึงรู้ว่าป่าเซียนโหยวนั้นอันตรายเพียงใด
แม้ว่าเธอจะรู้เช่นกันว่าลูกสาวของเธอนั้นเก่งกาจจากคำบอกเล่าของชาวบ้านนับครั้งไม่ถ้วน กระทั่งเคยได้ยินว่าลูกสาวตัวน้อยเข้าไปในป่านั้นจนเคยชินแล้ว แต่เธอก็ยังอดเป็นห่วงและกังวลใจไม่ได้
เพราะในป่ามันอันตรายมากเกินไป!
คนส่วนใหญ่ล้วนตกตายเหลือเพียงกระดูกสีขาวเมื่อเข้าไปข้างในนั้น!
แม้ว่าหมู่บ้านเถาหยวนซานจะได้รับประโยชน์จากป่าเซียนโหยว แต่ธรรมชาติก็มีกฎของมันเอง ตราบเท่าที่คนภายนอกไม่เข้าไปรบกวน สัตว์ร้ายและพิษข้างในป่าก็จะไม่ออกมาทำร้ายผู้คน
“หนูไม่ทำแบบนั้นหรอกค่ะ ป่าเซียนโหยวกว้างใหญ่เกินไป หนูไม่รู้ว่าหมอหญิงคนนั้นเดินไปในทิศทางไหน ย่อมไม่มีทางหาเธอพบได้”
ไม่ใช่ว่าไม่อยาก แต่ทำไม่ได้
การคลำทางตามหาใครสักคนท่ามกลางพื้นที่กว้างใหญ่ไกลสุดลูกหูลูกตาอย่างมืดบอด เป็นเพียงการเสียแรงโดยเปล่าประโยชน์เท่านั้น