อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร - ตอนที่ 142 เป็นคนไข้จริงๆ ตอนที่ 143 เชี่ยวชาญด้านพิษมากกว่า
- Home
- อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร
- ตอนที่ 142 เป็นคนไข้จริงๆ ตอนที่ 143 เชี่ยวชาญด้านพิษมากกว่า
ตอนที่ 142 เป็นคนไข้จริงๆ / ตอนที่ 143 เชี่ยวชาญด้านพิษมากกว่า
ตอนที่ 142 เป็นคนไข้จริงๆ
ผู้อาวุโสของตระกูลถังพาเหลนสองคนจากตระกูลรองและเด็กชายตัวเล็กขึ้นเฮลิคอปเตอร์บินตรงไปที่หมู่บ้านเถาหยวนซานอย่างมีความสุข
เนื่องจากความอาวุโสของบรรพบุรุษที่สูงมากของตระกูลถัง หมอเทวดาหยวน ถังถังและอีกหลายคนจึงไปรอต้อนรับพวกเขาด้วยตัวเอง
ระยะทางจากเมืองเซียงตูไปยังหมู่บ้านเถาหยวนซานนั้น ไกลกว่าจากเย่ว์ตูไปยังหมู่บ้านเถาหยวนซานเสียอีก พวกเขาต้องใช้เวลาบินนานกว่าหกชั่วโมง
ออกจากสำนักตระกูลถังเก้าโมงเช้า และไปถึงที่หมายในเวลาบ่ายสามโมง
เมื่อเห็นร่างที่คุ้นเคย ถังถังก็รีบเข้าไปสวมกอดชายชราทันที “คุณปู่ทวดคะ”
“ถังถังน้อย เสี่ยวถังถังของฉัน…”
ชายชราก็ตื่นเต้นมาก เขาเรียกชื่อเหลนสาวซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หนึ่งคนแก่และหนึ่งเด็กอยากจะแสดงความสนิทสนมกันมากกว่านี้ แต่พวกเขาก็รู้ว่ายังมีคนอื่นๆ อยู่รอบตัวอีก
“น้องสาว”
“น้องสาว”
“ป้าครับ”
ผู้ชายสามคน สองผู้ใหญ่และหนึ่งเด็กเล็กเรียกเธอพร้อมกันด้วยใบหน้าที่สดใส
ถังถังทักทายญาติผู้พี่และหลานชายของเธอด้วยดวงตาแดงก่ำ จากนั้นจึงแนะนำพวกเขาให้รู้จักกับหมอเทวดาหยวนและคนอื่นๆ
หลังจากทำความรู้จักกันพอสมควรแล้วทุกคนก็ขึ้นรถกลับบ้าน
หลังจากเข้าไปในบ้าน ถังถังก็แนะนำตระกูลถังให้กับเป่ยซีและตี้อู๋เปียนได้รู้จัก
ผู้อาวุโสของตระกูลถังพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นเกียรติจริงๆ ที่ได้พบกับคุณผู้หญิงเป่ย”
“เกรงใจเกินไปแล้วค่ะ ฉันได้ยินจากเสี่ยวถังถังว่าผู้อาวุโสอายุหนึ่งร้อยยี่สิบสามปีแล้วในปีนี้ ถ้าไม่บอกคงไม่สามารถเดาได้เลยจริงๆ” เป่ยซียิ้มอย่างอ่อนหวาน
ผู้อาวุโสพยักหน้า “นี่ล้วนเป็นความดีความชอบของสำนักแพทย์โบราณ อาจารย์ของเสี่ยวหยวนเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน เขายอมมอบสมบัติอันล้ำค่าที่สุดของสำนักดอกไม้สองชีวิตออกมาเพื่อช่วยชีวิตของฉันในเวลานั้น และนั่นก็ทำให้ฉันยังมีชีวิตอยู่ได้มาจนถึงทุกวันนี้”
ตี้อู๋เปียนตกตะลึงไปสองวินาทีและถามว่า “ผู้อาวุโสรู้เรื่องดอกไม้สองชีวิตด้วยเหรอครับ”
“แน่นอน ตระกูลถังของเราใช้ยาพิษมาหลายชั่วอายุคนแล้ว เราย่อมรู้จักสมุนไพรพวกนี้เป็นธรรมดา รวมถึงสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์บางตัวในตำนานด้วย”
“ถ้าอย่างนั้นไม่ทราบว่าผู้อาวุโสรู้เกี่ยวกับหญ้าพิษชีวิตไหมครับ”
“นายน้อยตระกูลตี้เรียนวิชาแพทย์โบราณหรือยาพิษด้วยเหรอ แต่ดูจากสภาพของเธอแล้วเหมือนเธอจะเป็นคนไข้ใช่ไหม เธอต้องการหญ้าพิษชีวิตเพื่อรักษาอาการเจ็บป่วยของเธอสินะ”
“ผมเป็นคนไข้จริงๆ ครับ แต่ผมไม่ได้กำลังเรียนเรื่องพิษหรือวิชาแพทย์หรอก ที่ผมรู้จักสมุนไพรพวกนี้ เป็นเพราะเสี่ยวเยาเยาบอกผมว่ามีเพียงหญ้าพิษชีวิตเท่านั้นที่จะรักษาชีวิตของผมไว้ได้”
ผู้อาวุโสตระกูลถังมองไปที่หมอเทวดาหยวน
“คำพูดของลูกศิษย์ตัวน้อยของผมต้องถูกต้องแน่นอนครับ โรคที่อู๋เปียนเป็นอยู่ ผมไม่แม้แต่จะสามารถตรวจหาสาเหตุได้ด้วยซ้ำ แต่เสี่ยวเยาเยาไม่เพียงแต่รู้สาเหตุของอาการเจ็บป่วย แต่เธอยังสามารถวางแผนการรักษาได้อีกด้วย”
หมอเทวดาหยวนยิ้มด้วยความภาคภูมิใจอย่างมาก
ผู้อาวุโสตระกูลถังมองเขาด้วยความรู้สึกประหลาดใจมากจริงๆ
“เสี่ยวหยวน ในโลกนี้ยังมีโรคอะไรที่เธอวินิจฉัยไม่ได้ด้วยเหรอ!”
“ถูกต้องครับลุงถัง ผมทำอะไรไม่ได้เลยตอนที่ตรวจอาการของอู๋เปียนตอนที่เขายังเป็นเด็ก จึงทำได้เพียงมองดูเขาร่างกายอ่อนแอลงทุกวันอย่างหมดหนทาง กระทั่งตลอดหลายปีมานี้แม้แต่สาเหตุก็ยังหาไม่เจอ”
“โรคประหลาดอะไรกัน นายน้อยตี้ จะว่าอะไรไหมถ้าตาแก่คนนี้จะขอจับชีพจรให้เธอหน่อย”
ตี้อู๋เปียนเหยียดข้อมือของเขาออกไปอย่างไม่อิดออด
ผู้อาวุโสลงมือจับชีพจร ใบหน้าของเขาแสดงท่าทีจริงจังมากขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดเขาก็ขมวดคิ้วและหยุดการเคลื่อนไหวลง
“ฉันไม่พบอะไรที่ผิดปกติในร่างกายของเด็กคนนี้เหมือนกัน เห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างผิดปกติแน่ๆ แต่กลับมองไม่เห็นต้นสายปลายเหตุ”
“ใช่ครับ พวกเราเองก็ไม่มีใครจับสาเหตุของมันได้เหมือนกัน แต่เสี่ยวเยาเยาค้นพบมัน”
เป่ยซียิ้มกว้าง “ลูกสาวของฉันน่าทึ่งมากจริงๆ”
ลูกสาวของเธอน่าทึ่งมากที่สุดในโลก! ยอดเยี่ยมมากที่สุดในโลก!
ตี้อู๋เปียนก็หัวเราะเหมือนกัน รอยยิ้มนั้นงดงามน่าหลงใหลอย่างถึงที่สุด
โชคดีที่ซาลาเปาน้อยค้นพบมัน! และมีเพียงเธอเท่านั้นที่ค้นพบมันได้!
“เสี่ยวหยวน สรุปแล้วนายน้อยตี้เขาเป็นโรคอะไรเหรอ”
หยวนเหยี่ยเล่าให้ผู้อาวุโสของตระกูลถังฟังอย่างละเอียดเกี่ยวกับผลการวินิจฉัยและการฝังเข็มของมู่เถาเยาต่อตี้อู๋เปียน
หลังจากฟังแล้ว ผู้อาวุโสก็แสดงสีหน้าเหลือเชื่อออกมา
“ไม่ยักรู้มาก่อนว่ามีโรคประหลาดแบบนี้อยู่ในโลกด้วย!”
หยวนเหยี่ยพยักหน้าและพูดว่า “ไม่เคยพบไม่เคยเห็นมาก่อนจริงๆ ล่ะครับ” สิ่งนี้อยู่นอกเหนือขอบเขตของวิทยาศาสตร์ไปโดยสิ้นเชิง
“เสี่ยวหยวน ลูกศิษย์ตัวน้อยของเธอน่าทึ่งมาก!”
“ฮ่าๆๆ นั่นมันแน่นอนอยู่แล้วครับ! เสี่ยวเยาเยาของผมน่ะ…” บราๆๆ บราๆๆ
โอ้อวดลูกศิษย์ตัวน้อยจนเป็นนิสัยไปแล้ว!
ในที่สุดหลังจากได้พบเหยื่อคนใหม่ หยวนเหยี่ยจะปล่อยโอกาสงามๆ แบบนี้ไปได้ยังไง
คนอื่นคุ้นเคยกับมันแล้ว แต่ถังหงและถังเซิ่งที่เพิ่งมาถึงรู้สึกว่าภาพนี้ช่างดูคุ้นเคยอย่างไรก็ไม่รู้
เพราะผู้อาวุโสของพวกเขาก็มักจะยกย่องโอ้อวดน้องสาวแบบนี้อยู่เสมอๆ
ผู้อาวุโสพยักหน้าซ้ำๆ ขณะที่ฟังหยวนเหยี่ยคุยโว เสี่ยวถังถังของเขาก็เป็นคนที่ยอดเยี่ยมเหมือนกัน!
ดังนั้นเขาจึงเชื่อ!
ตอนที่ 143 เชี่ยวชาญด้านพิษมากกว่า
รอจนกระทั่งหยวนเหยี่ยโอ้อวดจนพอใจแล้ว ก็ใกล้ถึงเวลาอาหารเย็นพอดี
ถังถังพาผู้อาวุโสของเธอไปที่ห้องที่ถูกจัดให้อยู่ถัดจากห้องของเธอ ส่วนถังเซิ่นอวี๋วัยเจ็ดขวบถูกจัดให้อยู่ในห้องที่เย่ว์จือกวงเคยอยู่มาก่อน
ส่วนลูกพี่ลูกน้องทั้งสองคนของเธอนั้น ต้องไปยืมบ้านเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกันเพราะห้องไม่พอ
เนื่องจากพวกเขาไม่ใช่จะอยู่แค่ไม่กี่วันแต่ลากยาวเป็นเดือน ถังถังจึงจ่ายค่าที่พักจำนวนมาก รวมถึงมอบของฝากที่มีชื่อเสียงจากเมืองเซียงตูไปให้พวกเขาด้วยหลายถุงใหญ่
ในตอนแรกเพื่อนบ้านไม่ยอมรับ แต่เมื่อเธอแสร้งทำเป็นว่าจะพาพวกเขาไปอยู่บ้านอื่น ในที่สุดพวกเขาก็ยอมรับเงินและของฝากนี้
เมื่อลูกพี่ลูกน้องของถังถังเก็บกระเป๋าเดินทางของพวกเขาเสร็จ พวกเขาก็กลับมาหาถังถังอีกครั้ง
ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว
ที่โต๊ะอาหารทรงกลมในบ้าน ไม่มีความแตกต่างระหว่างเด็กและผู้อาวุโส ทุกคนสามารถเลือกนั่งกันได้ตามสบาย
ถังถังและอาจารย์แม่เล็กถังหยวนนั่งขนาบข้างซ้ายขวาผู้อาวุโสตระกูลถัง คอยเติมข้าวและคีบกับข้าวให้กับชายชราไม่หยุด
ชายชรามีความสุขอย่างมาก!
เขาดีใจที่ได้เห็นเหลนสาวและถังหยวนลูกสาวของลูกพี่ลูกน้องของเขาที่เสียชีวิตไปตั้งแต่ยังเด็กอีกครั้ง!
“อาหยวน จริงๆ แล้ว เสี่ยวถังถังบอกกับฉันมาก่อนหน้านี้แล้วแต่พอเห็นหน้าเธอฉันก็เลยคิดออก ไม่คิดว่าตอนนั้นจะบังเอิญไปพบกับหมอเทวดาหญิงที่มีทักษะการใช้พิษที่เก่งกาจมาก เพราะความรู้ที่ลึกซึ้งของเธอและข้อมูลเชิงลึกอันเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เคยได้ยินได้เห็นที่ไหนมาก่อน หลังจากกลับมาฉันก็รีบปิดด่านในทันที เลยลืมเรื่องที่คุยกับเสี่ยวถังถังไปเลย”
“อาคะ ฉันต่างหากที่ควรไปหาอาที่สำนัก แต่เพราะเสี่ยวถังถังบอกว่าอายังไม่ว่าง ฉันจึงเลื่อนเวลาออกไปก่อน ใครจะคิดว่าอาจะมาหาเราถึงที่นี่ด้วยตัวเอง”
อาจารย์แม่เล็กเองก็มีความสุขมากที่ได้พบกับคนตระกูลถังที่ไม่ได้พบมานาน
“ไม่สำคัญหรอกว่าใครจะเป็นฝ่ายไปหาใครก่อน ในที่สุดฉันก็ได้พบเธอ เมื่อก่อนหลังจากที่ตระกูลถังของเราเห็นว่าพวกเธอสองแม่ลูกอยู่สุขสบายดี จึงไม่อยากไปรบกวนชีวิตใหม่ของพวกเธอมากเกินไปนักเพราะกลัวว่าครอบครัวใหม่ของพวกเธอจะคิดมาก”
“อาหยวนเข้าใจค่ะ”
มีการติดต่อกันบ้างเพียงเล็กน้อย แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีเลย
ดังนั้นเธอจึงเข้าใจถึงความเมตตาของคนตระกูลถังดี
ผู้อาวุโสยกยิ้ม เขาพยักหน้าด้วยสีหน้าที่ยินดีอย่างมาก
ถังหง ถังเซิ่ง และถังเซิ่นอวี๋มองดูทุกอย่างตรงหน้าด้วยความอยากรู้อยากเห็น ฟังผู้อาวุโสของพวกเขาพูดคุยกับถังหยวนขณะที่ตัวเองก็รับประทานอาหารไปด้วย
พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามีป้าคนนี้อยู่ในตระกูลของพวกเขาด้วย
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาพบกัน เดิมทีพวกเขายังคิดว่าแซ่ที่เธอใช้นั้น เป็นเพียงแซ่ที่ซ้ำกันทั่วไป แต่ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายกลับเป็นผู้อาวุโสของตระกูลเขาเสียอย่างนั้น
เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนคุยกันเกือบจะจบแล้ว ตี้อู๋เปียนจึงเอ่ยถามขึ้นว่า “ปู่ทวดถังครับ หมอเทวดาหญิงที่คุณพูดถึงเมื่อสักครู่นี้เธอใช้แซ่ลู่ใช่หรือเปล่าครับ”
“เอ๋ นายน้อยตี้รู้จักหมอเทวดาลู่ด้วยเหรอ”
“ผมไม่รู้จักเธอหรอกครับ แต่ผมกับซาลาเปาน้อยกำลังตามหาเธออยู่”
“ใครคือซาลาเปาน้อย”
“เสี่ยวเยาเยา”
“แล้วทำไมเธอถึงเรียกเสี่ยวเยาเยาว่าซาลาเปาน้อยล่ะ” นี่มันใช่จุดที่เขาต้องงุนงงไหม
ทุกคนทั้งโต๊ะมองไปที่ตี้อู๋เปียนอย่างสงสัย มีเพียงเป่ยซีเท่านั้นที่มองเขาอย่างพินิจพิเคราะห์
หูของตี้อู๋เปียนเปลี่ยนเป็นสีแดงเล็กน้อย
ในตอนนั้นทำไมเขาถึงเรียกเธอว่าซาลาเปาน้อยนะ
อย่างไรก็ตาม เขาไม่คิดที่จะเปลี่ยนคำเรียก
ไม่ใช่ว่ามันเป็นเรื่องยากหลังจากที่เรียกจนชินปากแล้ว แต่เขาชอบชื่อนี้เพราะมันเป็นชื่อที่มีเพียงเขาเท่านั้นที่เรียก
ขณะที่เขาไม่รู้ว่าจะอธิบายออกไปอย่างไรดี โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น
ตี้อู๋เปียนลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
บนโต๊ะนี้ยังมีแม่แท้ๆ ของซาลาเปาน้อยนั่งอยู่นะ จะให้เขาพูดออกไปได้ยังไง
ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาและบอกกับทุกคนว่าเขาขอตัวสักครู่
หลังจากวางสายแล้ว ก็แสร้งเดินกลับมาที่โต๊ะและทำเป็นลืมคำถามก่อนหน้านี้ไป พูดต่อว่า “ปู่ทวดถังครับ มีความเป็นไปได้สูงมากที่หมอเทวดาลู่จะอยู่ในป่าเซียนโหยวในเวลานี้ ดังนั้นผมเลยกลับมาที่หมู่บ้านเถาหยวนซานพร้อมกับซาลาเปาน้อย”
“ทำไมพวกเธอถึงมองหาหมอเทวดาลู่ล่ะ ไม่ว่าทักษะทางการแพทย์ของเธอจะดีแค่ไหนแต่เธอก็อยู่ในระดับเดียวกับเสี่ยวหยวนเท่านั้น ในเมื่อเสี่ยวหยวนไม่สามารถรักษาโรคให้กับเธอได้ หมอเทวดาลู่ย่อมทำไม่ได้เหมือนกัน ฉันคิดว่าหมอเทวดาลู่เชี่ยวชาญเรื่องยาพิษมากกว่า”
“เป็นเพราะหมอเทวดาลู่เคยบอกกับหมอเทวดาของเผ่าหมาป่าพระจันทร์ถึงการมีอยู่ของหญ้าพิษชีวิตน่ะครับ พวกเราเลยอยากจะถามเธอว่าพอจะมีวิธีใดอีกบ้างไหม”
ผู้อาวุโสตระกูลถังพยักหน้าแสดงความเข้าใจ
“หมอเทวดาลู่ไม่เคยพูดถึงเรื่องหญ้าพิษชีวิตให้ฉันฟังมาก่อน แต่เมื่อเราพูดถึงดอกไม้สองชีวิต ฉันก็ต้องประหลาดใจมากเพราะเธอรู้จักมันมากกว่าฉันเสียอีก! อย่างไรก็ตาม ถึงกระนั้นหมอเทวดาลู่ก็อาจไม่สามารถหาหญ้าพิษชีวิตให้กับเธอได้ ท้ายที่สุดสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้ก็มีเพียงชื่อที่บันทึกอยู่ในตำราโบราณเท่านั้น ยังไม่เคยมีใครเห็นมันกับตามาก่อนเลย”
“อย่างน้อยก็ยังมีความหวังไม่ใช่เหรอครับ”
หยวนเหยี่ย “ใช่ อย่างน้อยเราก็ยังได้รู้ว่าควรจะใช้สมุนไพรอะไรและรักษายังไง เมื่อมีเป้าหมายที่ชัดเจน นี่แหละคือความหวัง”
ตี้อู๋เปียน “ปู่ทวดถังครับ คุณเคยพบกับหมอเทวดามาลู่ก่อน ถ้าอย่างนั้นปู่ทวดรู้จักชื่อเต็มของเธอไหมครับ รู้ไหมว่าเธอเป็นใครหรือว่าพักอยู่ที่ไหน หรือว่าเราควรจะไปตามหาเธอได้จากที่ไหน ป่าเซียนโหยวกว้างใหญ่มาก ไม่ง่ายเลยที่จะตามหาเธอในสถานที่ที่กว้างใหญ่แบบนั้น” ส่วนเรื่องของดอกฉยงฮวาเขาพูดออกไปไม่ได้
ทุกคนพยักหน้า
เป็นเช่นนั้นจริงๆ
ผู้อาวุโสตระกูลถังคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่สักพัก หมอเทวดาลู่เป็นหมอ ดังนั้นเธอย่อมไม่รังเกียจที่จะรักษาคนไข้ที่เป็นโรคหายากที่กำลังตามหาเธอ
“หมอเทวดาลู่ ไม่เคยบอกชื่อเต็มของเธอให้ฉันได้รู้ แต่ฉันยังจำรูปร่างหน้าตาของเธอได้อย่างชัดเจน เพียงแต่ว่าฉันวาดรูปไม่เก่งนี่สิ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมวาดได้”
“โอเค งั้นเรามาวาดรูปหลังมื้ออาหารเย็นกันเถอะ”
“ครับ ขอบคุณมากนะครับปู่ทวดถัง”
“อู๋เปียนไม่จำเป็นต้องเกรงใจมากขนาดนั้น หมอเทวดาลู่ชอบพูดคุยกับผู้ที่มีทักษะทางการแพทย์ที่แข็งแกร่งและคนที่ศึกษาในด้านยาพิษ ฉันเดาว่าถ้าเธอรู้ว่าเสี่ยวหยวนอยู่ในหมู่บ้านเถาหยวนซาน เธอจะต้องรีบมาหาเสี่ยวหยวนที่นี่อย่างแน่นอนหลังจากที่เธอกลับออกจากป่าเซียนโหยวแล้ว”
ผู้อาวุโสตระกูลถังสีหน้าดูคาดหวังไม่น้อย
ในตอนนั้นที่เขายังเด็ก เพราะระดับวรยุทธไม่สูงพอถึงอยากจะเข้าไปในป่าเซียนโหยวแต่ก็ไม่กล้า
ตอนนี้ป่านั้นอยู่ใกล้แค่นี้ แต่คนกลับแก่แล้ว…
ช่างน่าเสียดาย!
โชคดีที่หลานสาวตัวน้อยของเขามีโอกาส
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ผู้อาวุโสตระกูลถังก็มองไปที่เป่ยซีอย่างซาบซึ้ง
เป่ยซี “…”
จนกระทั่งถึงบ่ายวันนี้ เธอไม่เคยรู้จักหรือพบหน้ากับผู้อาวุโสตระกูลถังมาก่อนเลย จึงไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงมองเธอด้วยสายตาแบบนี้
แต่ถังถังที่ได้รับการเลี้ยงดูจากเขามาตั้งแต่ยังเด็ก ย่อมเข้าใจโดยธรรมชาติว่าทำไมผู้อาวุโสถึงมองเป่ยซีด้วยสายตาเช่นนั้น
เธอเองก็แทบอดใจรอไม่ไหวแล้วที่จะเข้าไปในป่าเซียนโหยว เพราะเธอต้องการที่จะเติมเต็มความปรารถนาของผู้อาวุโสของเธอให้เร็วที่สุด
นั่นเป็นเหตุผลที่เธอถามเย่ว์จือกวงว่าผู้อาวุโสของเธอสามารถเข้าร่วมได้หรือไม่
“ปู่ทวดไม่ต้องกังวลไปนะคะ หนูจะเข้าไปในเขตป่าชั้นในกับประธานเย่ว์หลังช่วงปิดเทอมฤดูหนาว”
“อืม ถ้าอย่างนั้นในช่วงเวลานี้ ฉันจะฝึกอบรมให้กับเธอและคนอื่นๆ เป็นพิเศษเหมือนกับเสี่ยวหยวนและเสี่ยวโซ่วด้วย”
เขาจะสอนเรื่องยาพิษให้กับสมาชิกตระกูลเย่ว์ เสี่ยวหยวนสอนทุกคนถึงวิธีการปฐมพยาบาลฉุกเฉินในป่า ส่วนเสี่ยวโซ่วสอนทุกคนฝึกวรยุทธ
มีคนมากมายแค่ไหนที่เข้าไปในป่านั้นและไม่ได้กลับออกมาอีกเลย
ตี้อู๋เปียนอยากจะบอกกับทุกคนจริงๆ ว่าเขาสามารถสอนอะไรหลายๆ อย่างให้กับทุกคนได้เหมือนกัน แต่เมื่อคิดว่าถ้าเขาเปิดคาบเรียนแล้วจะต้องอยู่ในหมู่บ้านเถาหยวนซานตลอดช่วงเวลานั้น…
เขาย่อมยินดีที่จะทำแบบนั้น แต่เขาจะทนเห็นซาลาเปาน้อยเหนื่อยกับการเดินทางไกลเพื่อกลับมาฝังเข็มให้เขาที่นี่ทุกสุดสัปดาห์ได้ยังไง ดังนั้นเขาจึงไม่พูดอะไรออกไป
แต่เขาสามารถมอบรายละเอียดที่จำเป็นในป่านั้นให้กับเย่ว์จือกวงได้…
จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าช่วงปิดเทอมฤดูหนาวซาลาเปาน้อยจะเข้าป่าไปกับคนพวกนั้นหรือเปล่า โรคของเขาใช่ว่าจะตายในทันทีถ้าไม่ได้รับการฝังเข็มสักหน่อย…
อยู่ๆ ร่างกายของตี้อู๋เปียนก็รู้สึกไม่ค่อยดีขึ้นมา
คงต้องไปนั่งขบคิดความคิดของซาลาเปาน้อยดูแล้วว่าเธอจะทิ้งเขาไป และเข้าป่าไปกับพี่ชายคนรองของเธอไหม…
อาหารบนโต๊ะหมดรสชาติไปในทันที
“อู๋เปียน ทำไมถึงกินน้อยนักล่ะ รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า” หยวนเหยี่ยนั่งถัดจากตี้อู๋เปียน ดังนั้นจึงเป็นคนแรกที่เห็นความแปลกประหลาดของเขา
“ปู่หยวน ผมโอเคดีครับ”
“ถ้างั้นอาหารเย็นวันนี้ไม่ถูกปากเธอเหรอ”
“ไม่เลยครับ อาหารอร่อยมาก”
“งั้นทำไมเธอถึงกินน้อยนักล่ะ เสี่ยวเยาเยาบอกว่าเธอควรกินข้าวให้มากกว่านี้”
“…อืม งั้นผมขอจิบชาก่อนแล้วกันนะครับแล้วค่อยกินต่อทีหลัง” ต้องเชื่อฟังคำพูดของซาลาเปาน้อย!
หยวนเหยี่ยรู้สึกโล่งใจมาก จากนั้นจึงหันไปพูดคุยกับคนอื่นๆ ขณะรับประทานอาหาร
สำนวนที่ว่านอนไม่พูดกินไม่พูด ดูเหมือนจะใช้ไม่ได้กับที่นี่นะ