อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร - ตอนที่ 145 ชาติกำเนิดของอาจารย์อาเล็ก
ตอนที่ 145 ชาติกำเนิดของอาจารย์อาเล็ก
เวลาสามทุ่ม
ตี้อู๋เปียนซ่อนตัวอยู่ในห้องเพื่อวิดีโอคอลหามู่เถาเยา
“ซาลาเปาน้อย ทำอะไรอยู่เหรอ”
“กำลังอ่านกฎหมายระหว่างประเทศ อยู่ในห้องหนังสือ”
“เธออยากสอบเป็นทนายเหรอ”
“ถ้ามีเวลาน่ะนะ”
“…โอเค ยังไงซะก็ไม่เปลืองสมองมากอยู่แล้ว” สิ่งที่ต้องใช้สมองจริงๆ ก็คือการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ต่างหาก
“อื้ม”
“ซาลาเปาน้อย…พ่อของเธอ…อาจจะไม่ค่อยชอบหน้าฉันเท่าไหร่…”
เขาไม่ได้ฟ้องนะ…ไม่ได้ฟ้องจริงๆ …แค่รู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมนิดหน่อย…
“แล้วทำไมคุณถึงอยากให้พ่อฉันชอบคุณล่ะ” พวกคุณไม่ได้มีความจำเป็นที่ต้องติดต่อกันมากขนาดนั้นสักหน่อย
“…แต่ว่าพ่อกับพี่ชายของเธอ ก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพ่อกับพี่ชายของฉันนี่นา…” แล้วทำไมถึงไม่ชอบเขา
มู่เถาเยากะพริบดวงตาที่กลมโตของเธอ ลังเลอยู่สองสามวินาทีก่อนที่จะพูดว่า “บางทีอาจเป็นเพราะทั้งสองคนยังไม่คุ้นเคยกันมากก็ได้”
ในชีวิตที่แล้ว เธอไม่เคยต้องมาหนักใจกับเรื่องอารมณ์ความรู้สึกพวกนี้มาก่อน เธอจะไปรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง
ตี้อู๋เปียนพยักหน้าและพูดว่า “เป็นไปได้มาก” แต่เขาก็ยังมีข้อสงสัยอยู่ในใจ
“ตี้อู๋เปียน ตอนนี้คุณรู้สึกยังไงบ้าง”
“ฉันรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย ซาลาเปาน้อย ที่นี่มีสภาพแวดล้อมที่ดีมากและเหมาะกับฉันมากที่จะอาศัยอยู่”
“ในโลกนี้ คงหาที่ที่มีพลังชีวิตแข็งแกร่งเทียบเท่ากับป่าเซียนโหยวไม่ได้อีกแล้วล่ะ พลังชีวิตคือต้นกำเนิดของทุกสรรพสิ่งในโลก คุณได้สังเกตไหมว่าผู้คนในหมู่บ้านเถาหยวนซานนั้นล้วนหน้าตาดีทุกคน”
“…ฉันไม่ค่อยได้ออกไปข้างนอกน่ะ…เลยไม่รู้ว่าคนข้างนอกหน้าตาเป็นยังไง…” เลยไม่มีให้เปรียบเทียบ
แต่จากลักษณะใบหน้าส่วนใหญ่ที่เห็นในทีวีนั้นก็เพียงแค่งั้นๆ แค่ดูโอเค ไม่ได้หน้าตาดีขนาดนั้น!
“อันที่จริง ไม่เพียงแต่คนหมู่บ้านเถาหยวนซานเท่านั้น แต่ชาวบ้านในหมู่บ้านรอบๆ ป่าเซียนโหยวเองก็มีหน้าตาที่สวยงามมากกว่าหมู่บ้านอื่นๆ หากพื้นที่นั้นไม่ได้ห่างไกลจนเกินไปและไม่เป็นที่รู้จัก ชื่อเสียงคงจะกระจายออกไปทั่วโลกแล้ว”
เธอเคยไปที่เหม่ยเหรินกู่และผู้คนที่นั่นก็ใจดีมากจริงๆ แต่ในด้านองค์ประกอบทั้งใบหน้านั้นยังไม่ดีเท่ากับหมู่บ้านเถาหยวนซานของเธอ
ในหมู่บ้านเถาหยวนซานไม่มีใครที่หน้าตาอัปลักษณ์เลยสักคน และแม้แต่รูปลักษณ์ที่ธรรมดาที่สุด ถ้าอยู่ในโลกภายนอกก็ยังถูกมองว่าดูดีและน่ามองมาก
อาจเป็นเพราะผลของสภาพอากาศของที่นี่ หนุ่มๆ ในหมู่บ้านนี้จึงมีผิวพรรณที่อิ่มเอิบน่ากิน
ต่อมาเนื่องจากการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ ความแข็งแกร่งและเส้นกล้ามเนื้อบนร่างกายของพวกเขาจึงยิ่งสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
“ซาลาเปาน้อย ในเมื่อเธอชอบหมู่บ้านเถาหยวนซานมากขนาดนี้ ทำไมถึงไม่สร้างศูนย์วิจัยขึ้นที่นี่เลยล่ะ”
“ในอนาคตฉันอาจจะทำมัน ตี้อู๋เปียน หมอลู่ออกมาจากป่าหรือยังคะ”
“ยังเลย คนของฉันยังไม่เห็นเธอเดินออกมาเลย ซาลาเปาน้อย ฉันได้ข้อมูลของหมอลู่เพิ่มเติมแล้วล่ะ”
“จริงเหรอ ส่งมาให้ฉันหน่อยสิ!”
แม้ว่ามู่เถาเยาจะพยายามอย่างหนักเพื่อระงับอารมณ์ของเธอ แต่ตี้อู๋เปียนก็ยังรู้สึกได้ว่าเธอตื่นเต้นมาก
ใจร้อนขนาดนี้เชียว!
ซาลาเปาน้อยเป็นห่วงเขามากจริงๆ !
ด้วยความคิดเองเออเองของใครบางคน ทำให้มุมปากของเขาแทบจะฉีกไปถึงหูแล้วด้วยความยินดี!
“ซาลาเปาน้อย เธอรู้ไหมว่าผู้อาวุโสตระกูลถังเคยได้พบกับหมอลู่มาก่อนด้วยนะ ฉันลองบันทึกประวัติคร่าวๆ และร่างภาพเหมือนของหมอลู่ตามคำอธิบายของผู้อาวุโสออกมาแล้ว และกำลังเอามันไปเปรียบเทียบกับฐานข้อมูล”
“ผู้อาวุโสตระกูลถังเคยพบกับหมอลู่มาก่อนเหรอ”
มู่เถาเยาคาดไม่ถึงจริงๆ
“ใช่ ผู้อาวุโสยังเคยได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้กับหมอลู่อยู่พักหนึ่ง หนึ่งในเนื้อหาที่พวกเขาคุยกันยังมีเรื่องของดอกไม้สองชีวิตด้วย”
“คุณรีบส่งข้อมูลของหมอลู่มาให้ฉัน”
“ตกลง ฉันจะส่งไปทางอีเมลของเธอนะ”
“อื้ม”
ตี้อู๋เปียนใช้แท็บเล็ตในการส่งข้อมูล ส่วนโทรศัพท์มือถือของเขายังคงตั้งอยู่ตรงนั้นและเปิดวิดีโอคอลอยู่
เขามองดูเด็กสาวตัวเล็กๆ ที่อีกด้านหนึ่งของหน้าจอที่รีบเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อเช็คอีเมลอย่างรวดเร็ว
อารมณ์ดีมาก!
มู่เถาเยาขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นภาพสเก็ตของหมอลู่
ชื่อของหมอลู่คือลู่จือฉิน และการออกเสียงของมันก็เหมือนกับชื่อลู่จือฉินของอาจารย์ของเธอมาก แต่รูปร่างหน้าตาของทั้งสองคนนั้นแทบจะไม่มีความคล้ายคลึงกับอาจารย์ของเธอเลย
ยกเว้นนิสัยไม่สนโลกของทั้งสองคน แทบจะเรียกได้ว่าเป็นคนละคนกันอย่างสิ้นเชิง
เมื่อเห็นมู่เถาเยาเอาแต่จ้องมองหน้าจอเป็นเวลานานโดยไม่พูดอะไรสักคำ ตี้อู๋เปียนจึงถามขึ้นว่า “ซาลาเปาน้อย เกิดอะไรขึ้น ข้อมูลมีอะไรผิดปกติหรือเปล่า”
มู่เถาเยาปกปิดอารมณ์ของเธอ จากนั้นก็มองไปที่หน้าจอโทรศัพท์ ส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไร ฉันแค่ไม่คาดคิด…แม้ว่าประสบการณ์ชีวิตของหมอลู่จะแตกต่างกับอาจารย์อาเล็กของฉัน แต่ก็แย่พอๆ กัน”
“ตอนที่เธอยังเด็ก หมอลู่อาศัยอยู่ท่ามกลางญาติหลายคน แต่ญาติๆ เหล่านั้นยากจน จึงไม่มีใครยินดีที่จะเพิ่มปากท้องเข้าไปอีกคนหนึ่ง หมอลู่จึงเรียนรู้วิธีที่จะอ่านสีหน้าของผู้คนตั้งแต่ยังเด็ก หลังจากจบการศึกษาภาคบังคับแล้ว ค่าเล่าเรียนและค่าครองชีพต่างๆ ก็หามาจากน้ำพักน้ำแรงและรายได้พิเศษที่เธอทำงานในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนและฤดูหนาว”
“ตี้อู๋เปียน คุณแน่ใจใช่ไหมว่าอายุของพี่ชายเธอคือเท่านี้จริงๆ”
“ใช่ ซาลาเปาน้อย มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
“อาจารย์ใหญ่ของฉันบอกว่าอาจารย์อาเล็กถูกอาจารย์ปู่รับมาเลี้ยงดูเมื่อตอนที่เขาอายุได้หกขวบ เด็กในวัยนี้โดยพื้นฐานแล้วสามารถจดจำข้อมูลของคนในครอบครัวได้แล้ว”
“แต่…อาจารย์อาเล็กของเธอจำไม่ได้”
“ใช่ อาจารย์อาเล็กของฉันไม่เพียงแต่ถูกวางยาอย่างหนักจากพวกค้ามนุษย์เท่านั้น แต่เขาอาจจะได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะขณะหลบหนี อาจารย์ปู่ใช้เวลานานมากกว่าที่เขาจะรักษาอาจารย์อาเล็กของฉันได้ แต่เขาก็ยังต้องเจ็บปวดจากผลพวงของภาวะความจำเสื่อม”
ตี้อู๋เปียนไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย
“อาจารย์ปู่ของฉันในปีนั้นยังช่วยอาจารย์อาเล็กตามหาครอบครัวของเขาอยู่พักใหญ่ แต่ภายหลังหายังไงก็ไม่มีเบาะแสเลย และเขาก็สงสารเกินกว่าที่จะส่งอาจารย์อาเล็กไปสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ท่านจึงเลี้ยงดูอาจารย์อาเล็กของฉันในสำนักแพทย์โบราณและมอบแซ่เจียงให้กับเขา ตั้งชื่อให้เขาว่าเจียงเฉา”
“วัยเด็กของอธิการบดีเจียงช่างน่าสังเวชใจจริงๆ”
เนื่องจากอธิการบดีเจียงเฉาอยู่ในสำนักแพทย์โบราณมาตั้งแต่เขายังเด็กและถูกเลี้ยงดูมาโดยอาจารย์ปู่เอง ดังนั้นเขาจึงไม่เคยตรวจสอบข้อมูลของเขาก่อนที่จะมาที่สำนักแพทย์โบราณเลย เขารู้เพียงว่าตัวเองเป็นเด็กกำพร้า แต่ไม่รู้ว่าเขาเป็นเด็กที่ถูกลักพาตัวไป
“อืม จากข้อมูลของคุณ หมอลู่มีพี่ชายอยู่คนหนึ่ง พ่อของเธอเสียชีวิตในต่างประเทศขณะที่เขาออกตามหาพี่ชายของเธอ ต่อมาแม่ของเธอก็ออกตามหาพี่ชายของเธอต่อ ขณะนั้นหมอลู่มีอายุเพียงหนึ่งขวบเท่านั้นและเธอก็ถูกกระเตงออกไปด้วย”
“ใช่ แม่ของหมอลู่พาเธอตะลอนอยู่ข้างนอกเป็นเวลาสองปี แต่เพราะเธอสุขภาพไม่ดีและได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างหนัก เมื่อเธอกลับไปที่บ้านเกิด เธอก็รู้ว่าตัวเองมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกไม่นานแล้ว จึงฝากลูกสาวไว้ให้ญาติๆ ช่วยดูแล สุดท้ายก็จากไปด้วยความอาลัยอาวรณ์”
ไม่กี่สิบปีที่ผ่านมาอินเทอร์เน็ตพัฒนาน้อยกว่าตอนนี้มาก จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะตามหาใครสักคน
แม้แต่ตอนนี้เหล่าผู้หญิงและเด็กที่ถูกลักพาตัวกว่าหลายสิบปีที่แล้วก็ยังหาตัวไม่พบ
“พี่ชายของหมอลู่อายุไล่เลี่ยกับอาจารย์อาเล็กของฉัน และอาจารย์อาเล็กของฉันก็ถูกลักพาตัวมาเหมือนกัน ตี้อู๋เปียน คุณคิดว่าอาจารย์อาเล็กของฉันอาจจะเป็นพี่ชายของหมอลู่ไหม”
หมอลู่อายุเพียงหนึ่งขวบตอนที่อาจารย์อาเล็กถูกลักพาตัว และหมอลู่มีอายุสามขวบในตอนที่แม่ของเธอเสียชีวิต เธอจะจำได้ยังไงว่าตัวเองยังมีพี่ชายอยู่
“เอ๊ะ…”
“ซาลาเปาน้อย เกิดอะไรขึ้น”
“ไม่มีอะไร…”
ทันใดนั้นเธอก็นึกขึ้นได้ว่าในชาติที่แล้วอาจารย์ของเธอก็มีพี่ชายอยู่คนหนึ่งเหมือนกัน และเขาก็ถูกลักพาตัวไปเหมือนกับในชาตินี้เลย
อาจารย์ออกตระเวนไปทั่วทุกหนทุกแห่งเพื่อตามหาพี่ชายของเธอ
“ตี้อู๋เปียน หมอลู่ลาออกจากโรงพยาบาลที่เธอทำงานอยู่เมื่อสิบห้าปีที่แล้วใช่ไหม”
เป็นไปได้ไหมว่าอาจารย์ของเธอเพิ่งจะมาถึงโลกนี้ในเวลานั้น เมื่อคิดถึงพี่ชายของเธอที่หายตัวไปเหมือนกับในชาติที่แล้ว เธอจึงเริ่มเดินทางเพื่อออกตามหาพี่ชายที่ถูกลักพาตัวไปในชาตินี้อีกครั้ง
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้ มู่เถาเยาก็มีความหวังอยู่ในใจ ได้แต่หวังว่าอาจารย์อาเล็กจะเป็นพี่ชายของหมอลู่จริงๆ !
แม้ว่ารูปร่างหน้าตาของเธอจะดูไม่เหมือนอาจารย์ในชาติที่แล้วเลย แต่มู่เถาเยาก็สามารถยืนยันได้ว่าลู่จือฉิน คือลู่จือฉินคนนั้น คืออาจารย์ของเธอจริงๆ !
ในชีวิตที่แล้ว เนื่องจากสถานการณ์ที่ยากลำบากของลูกศิษย์ อาจารย์จึงล้มเลิกการออกเดินทางเพื่อรักษาผู้คนและตามหาญาติเพียงคนเดียวของเธอที่เหลืออยู่
น่าเสียดายที่กระทั่งลมหายใจสุดท้ายของชีวิตความปรารถนานั้นของเธอก็ยังไม่บรรลุผล
เธอตามหาเขามาโดยตลอด แม้ว่าในภายหลังจะมีเรื่องที่ทำให้ต้องล้มเลิกไปกลางคัน แต่เธอก็ไม่เคยถอดใจ แต่สุดท้ายเธอก็ยังหาพี่ชายไม่พบ
ดังนั้นเธอจึงคาดหวังจริงๆ ว่าอาจารย์อาเล็กจะเป็นพี่ชายแท้ๆ ของอาจารย์ในชาตินี้
“ใช่ คือเมื่อสิบห้าปีที่แล้ว”
“ฉันเข้าใจแล้ว ตี้อู๋เปียน ฝากจับตาความเคลื่อนไหวของหมอลู่ต่อไปด้วยนะคะ”
“ได้ ฉันจะทำมัน”
“อื้ม งั้นคุณรีบเข้านอนเถอะ ฉันจะดูข้อมูลพวกนี้ต่ออีกสักหน่อย”
“โอเค งั้นราตรีสวัสดิ์นะครับ”
“ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”