อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร - ตอนที่ 197 เป็นปีศาจเหรอ
ตอนที่ 197 เป็นปีศาจเหรอ
บ่ายสี่โมงสี่สิบห้านาที อาคุนมามหาวิทยาลัยแพทย์เย่ว์ตูตรงเวลาเพื่อรับมู่เถาเยากลับเซิ่งซื่อฉางอัน
มีแขกมาที่บ้านเธอจึงไม่ได้เข้าวิชาเสริม
ถ้าเรียนเสริมก็ต้องรอจนหกโมงสี่สิบห้ากว่าจะเลิกเรียน
“อาคุน ลุงใหญ่ของตี้อู๋เปียน ป้าสะใภ้ น้าเล็ก และก็พวกน้องๆ มาถึงหรือยัง”
“เพิ่งถึงได้ครึ่งชั่วโมงครับ”
“อืม”
มู่เถาเยาโทรหาเหลียงจี เพื่อบอกให้พาครอบครัวมู่สามคนไปบ้านตระกูลตี้ก่อน
“คุณหมอเทวดาครับ คือ…ช่วยพวกเราพูดหน่อยได้ไหมครับ บอกคุณชายเล็กว่าอย่าให้พวกเราเข้าเรียน”
ถ้าไม่ติดว่ากำลังขับรถ เขาล่ะอยากไปร้องไห้ในห้องน้ำจริงๆ!
“เข้าเรียนเหรอ เรียนวิชาอะไร มีใครเข้าเรียนบ้าง” มู่เถาเยางงไปหมด
“คุณชายเล็กคิดว่าพวกเราฝึกกำลังแล้วสมองก็ต้องฝึกตามด้วย ไม่อย่างนั้นสมองตามไม่ทันก็เท่ากับดีแต่ใช้กำลัง…”
แต่อย่างน้อยพวกเขาก็จบปริญญาตรีมากันนะ!
มู่เถาเยา “…วันนี้ตี้อู๋เปียนสอนพวกคุณเรื่องอะไร”
“ช่วงเช้าสอนอาวุธนิวเคลียร์ ช่วงบ่ายสอนอาวุธชีวเคมีครับ” อาคุนอยากลองตายดูสักครั้ง
มู่เถาเยากะพริบตาปริบๆ ถามอย่างไม่ค่อยเข้าใจ “พวกคุณคิดว่าเรียนเรื่องพวกนี้ไม่ดีเหรอ”
เธอว่าออกจะดี!
“ไม่ใช่ไม่ดีครับ แต่พวกเราฟังไม่รู้เรื่อง!”
“ตรงไหนไม่เข้าใจ เดี๋ยวฉันอธิบายให้ฟังค่ะ”
อาคุนเกือบขับลงคลอง
คุณหมอเทวดาเป็นปีศาจเหรอ
แต่ก่อนหน้านี้เธอเป็นนางฟ้าชัดๆ! เข้าสายมืดตั้งแต่เมื่อไร
“อาคุน ไม่ต้องรีบร้อน ไม่เข้าใจก็ค่อยๆ เรียน พวกเราไม่ได้เร่งรัด”
อาคุน “…”
ไม่ เขาไม่อยากเรียนเลยสักนิดจริงๆ!
สมองของคุณหมอเทวดาทำมาจากอะไรกันเนี่ย ทำไมถึงเข้าใจผิดกลายเป็นแบบนี้!
หรือว่าเขามีปัญหาเรื่องการสื่อสาร
หรือว่าคนที่ไอคิวสูงต่างคิดว่าคนอื่นก็เป็นแบบนี้ ควรเข้าใจทุกอย่างทำเป็นทุกอย่าง
คุณหมอเทวดา…ถูกคุณชายเล็กของพวกเขาล้างสมองแล้วงั้นเหรอ
ช่างเถอะ ในเมื่อพึ่งไม่ได้ งั้นเขาหุบปากดีกว่า ไม่งั้นเดี๋ยวได้ช้ำใน
“คุณหมอเทวดาครับ ผมเห็นคุณหมอไป๋ใช้พู่กันคัดลอกหนังสือ แต่ว่าทำไมต้องคัดลอกด้วยล่ะครับ ใช้คอมพิวเตอร์พิมพ์ออกมาไม่ได้เหรอครับ ใช้มือเขียนมันช้ามาก!”
“ยามที่เราตั้งใจเขียนอะไรจิตใจจะสงบ แบบนี้ยังจะทำให้คนที่คัดลอกเข้าใจเนื้อหาในหนังสือได้เร็วยิ่งขึ้นด้วย การคัดลอกหนังสือแท้จริงแล้วก็เป็นวิธีการศึกษาตำราอย่างหนึ่ง…นี่เป็นสิ่งที่คอมพิวเตอร์ให้ไม่ได้…”
อาคุนพยักหน้าด้วยความเข้าใจ จากนั้นก็ถามต่อ
“งั้นทำไมต้องใช้พู่กันเขียนด้วยล่ะครับ สมัยนี้คนใช้พู่กันเขียนหนังสือมีน้อยมาก คนเขียนได้สวยๆ ยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่”
“ใช้พู่กันก็เพราะฉันมีหมึกอย่างดี น้ำหมึกอย่างดีจะให้ความคมชัด มีมิติ เขียนลื่นไหล…คุณสมบัติทางเคมีของหมึกที่ดีมีความคงที่และไม่ทำปฏิกิริยาทางเคมีกับองค์ประกอบอื่นๆ ได้ง่าย…เขียนด้วยหมึกสามารถเก็บไว้ได้นานโดยไม่เปลี่ยนสี…”
อาคุนทำเสียงอ๋อต่อเนื่อง
“คุณหมอเทวดามีความรู้มากจริงๆ ครับ!” เขารู้สึกว่าระยะนี้ตัวเองได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ ขึ้นมาก!
“ถ้าคุณตั้งใจฟังตี้อู๋เปียนสอนก็จะมีความรู้เยอะมากแน่นอนค่ะ”
อาคุน “…”
ทำไมกลับมาคุยเรื่องนี้อีกแล้ว!
เฮือก…
พอกลับถึงบ้านตระกูลตี้ก็เห็นคนนั่งอยู่เต็มห้อง
ตี้อู๋เปียนเห็นมู่เถาเยาที่เดินเข้ามาก่อน แต่กลับถูกอวิ๋นไป๋ชิงกวักมือเรียกก่อน “หลานน้า รีบเข้ามาสิ”
มู่เถาเยาเดินเข้าไปหาทุกคนอย่างไม่รีบร้อน
ตี้อู๋เปียนเดินเข้าไปจูงมู่เถาเยาเดินไปหาสองสามีภรรยาวัยกลางคน แต่ใบหน้ากลับคล้ายหนุ่มสาว
“ลุงใหญ่ ป้าสะใภ้ใหญ่ครับ นี่ซาลาเปาน้อย”
“ซาลาเปาน้อยเหรอ”
สองสามีภรรยามีสีหน้าสงสัย
ตี้อู๋เปียน “…เสี่ยวเยาเยา…”
“เสี่ยวเยาเยา ตอนอู๋เปียนพูดถึงหนู ป้ายังโทรไปยืนยันให้แน่ใจกับเย่ว์เลี่ยงด้วยนะ รู้จักกันมายี่สิบปี ป้าไม่รู้เลยว่าเย่ว์เลี่ยงมีหลานสาวด้วย!”
ป้าสะใภ้อวิ๋นจับมือมู่เถาเยาเข้ามามองสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า รอยยิ้มในดวงตาดอกท้อแทบจะทะลักออกมา
เธอหน้าตางดงาม รอยยิ้มทรงเสน่ห์ มู่เถาเยารู้สึกดีตั้งแต่แรกเห็น
ไม่ใช่แค่เพราะป้าสะใภ้ใหญ่เป็นเพื่อนกับอาของเธอ ยังเป็นเพราะบุคลิกคล้ายป้าสะใภ้ของเธอในชาติที่แล้วที่เกิดในตระกูลชาวสวน
สวรรค์ได้เอาสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ของคนที่เธอคิดถึงมาใส่ในตัวคนที่เธอรู้จักในชาตินี้โดยที่เธอไม่รู้ตัว
หรือว่านี่อาจเป็นผลพวงจากความคิดถึงของเธอก็ได้
“ป้าสะใภ้อวิ๋นคะ เรื่องของหนูมันพูดออกไปลำบาก คุณอาก็เลย…”
“เสี่ยวเยาเยาจ๊ะ ป้าเข้าใจ ไม่ได้ต้องการตำหนิเย่ว์เลี่ยงเสียหน่อย ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อก่อนเย่ว์เลี่ยงก็ไม่รู้เรื่องอู๋เปียนเหมือนกัน”
“ค่ะ”
ป้าสะใภ้อวิ๋นหันไปเรียกลูกชายกับลูกสาว “เหยาเหยา เสี่ยวเหยา มาทักทายพี่เยาเยาสิลูก”
ฝาแฝดที่หน้าตาละม้ายคล้ายป้าสะใภ้อวิ๋นเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์เข้ามาทักทายทันที
มู่เถาเยายิ้มพลางพยักหน้าตอบรับฝาแฝด
“เสี่ยวเยาเยาจ๊ะ เหยาเหยากับเสี่ยวเหยาเพิ่งอายุครบสิบเจ็ดได้ไม่นาน สองคนนี้เตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยเหมือนเสี่ยวเหมียนกับเสี่ยวหว่าน”
“ตี้อู๋เปียนเล่าให้ฟังแล้วค่ะ เหยาเหยากับเสี่ยวเหยามีมหาวิทยาลัยที่อยากเข้าไหม”
“พี่เยาเยา ฉันจะเข้ามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีที่เมืองหลวง เสี่ยวเหยาอยู่เจียงตู เพราะเจียงตูมีคณะบริหารธุรกิจที่ดีที่สุด”
ดวงตาดอกท้อของอวิ๋นสุ่ยเหยาที่เหมือนออกมาจากพิมพ์เดียวกับป้าสะใภ้อวิ๋นโค้งมนดุจจันทร์เสี้ยว
เจียงเฟิงเหมียนทำเสียงตะลึง
“เหยาเหยา ฉันกับพี่เสี่ยวหว่านก็นัดกันไปเมืองหลวงเหมือนกัน”
“จริงเหรอ งั้นเสี่ยวเหมียนกับพี่เสี่ยวหว่านจะไปอยู่มหาวิทยาลัยไหน” สีหน้าเซอรไพรส์ของอวิ๋นสุ่ยเหยาไม่ได้เสแสร้งแม้แต่น้อย
“ฉันจะเข้าวิทยาลัยวิจิตรศิลป์ พี่เสี่ยวหว่านเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร”
“ว้าว มหาวิทยาลัยของพวกเราสามคนอยู่ใกล้ๆ กันหมดเลยนะ!”
“ใช่ๆ พอสุดสัปดาห์พวกเราก็ไปเที่ยวด้วยกันได้!
“ดีเลยๆ!”
คนที่อยู่ตรงนั้นหมดคำจะพูด
“เสี่ยวหว่าน นักเรียนทหารจะถูกควบคุมเข้มงวดปิดกั้นจากโลกภายนอก สุดสัปดาห์ก็ห้ามออกไปไหน มีธุระอะไรต้องขอลานะ” มู่เถาเยาจำต้องเตือนเด็กสาวทั้งสามคนที่กำลังดีอกดีใจ
สีหน้าของทั้งสามคนชะงักพร้อมกัน
มู่หว่านร้องเสียงหลง “อ๊า ฉันลืมไปเลย”
เจียงเฟิงเหมียนเกาหัวแกรกๆ “ฉันก็เหมือนกัน คิดแค่ว่าเป็นนักเรียนก็ได้หยุดสุดสัปดาห์เหมือนกันหมด”
อวิ๋นสุ่ยเหยาก็รู้สึกอาย
มู่หว่าน “งั้นฉันเปลี่ยนมหา’ลัยดีไหม”
อวิ๋นสุ่ยเหยาเสนอ “พี่มู่หว่าน ไม่งั้นเข้ามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีเหยียนหวงกับฉันไหม”
“แต่ฉันไม่ค่อยสนใจพวกเทคโนโลยีเท่าไร กลัวจะเรียนได้ไม่ดี…”
เจียงเฟิงเหมียน “งั้น ไปมหาวิทยาลัยครูดีไหม”
มู่หว่านคิด เรียนมหาวิทยาลัยครูออกมาก็ต้องเป็นครู วันหน้าเธอกลับไปเป็นครูที่หมู่บ้านเถาหยวนได้
“เอาสิ งั้นก็เข้ามหา’ลัยครู”
พ่อแม่ของมู่หว่าน “…”
เปลี่ยนมหาวิทยาลัยเป็นว่าเล่นเพื่อที่สุดสัปดาห์จะได้ออกไปเที่ยวกับเสี่ยวเหมียนกับเหยาเหยาเนี่ยนะ
“เสี่ยวหว่าน ไว้รอสอบเสร็จค่อยคิดให้ดีๆ ว่าจะเข้าที่ไหน” แม้แต่มู่เถาเยายังอดมุมปากกระตุกไม่ได้
“ได้ งั้นรอสอบเสร็จค่อยว่ากัน ยังไงซะก็ต้องไปเมืองหลวง”
ป้าสะใภ้อวิ๋นยิ้มพูด “เมืองหลวงมีมหาวิทยาลัยดีๆ เยอะที่สุดแล้ว เสี่ยวหว่านค่อยๆ เลือกที่ตัวเองสนใจ เราต้องสนใจด้วยถึงจะเข้าได้ เรียนได้ดี”
มู่หว่านมองป้าสะใภ้อวิ๋นที่บุคลิกสวยโดดเด่นเหมือนนางสวรรค์ เธอพูดด้วยความแน่วแน่ “หนูจะไปเรียนการแสดงค่ะ!”
สีหน้าของทุกคนแข็งเป็นหิน
นี่เพิ่งจะกี่นาที เธอเปลี่ยนไปหลายสถาบันแล้วนะ!
ย่าตี้พูดอย่างอารมณ์ดี “เสี่ยวหว่าน หนูต้องคิดให้ดีๆ นะ เดี๋ยวพอเลือกคณะไปแล้วจะเปลี่ยนไม่ได้อีก”
มู่หว่าน “ไม่เปลี่ยนแล้วค่ะ! หนูจะไปเรียนการแสดงค่ะ!”
ป้าสะใภ้อวิ๋นรู้สึกขึ้นมาทันทีว่าเมื่อครู่เธอไม่ควรพูด…