อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร - ตอนที่ 205 พี่สาวไปแหย่งู
ตอนที่ 205 พี่สาวไปแหย่งู
ในขณะที่มู่เถาเยาเข้าไปในป่าเซียนโหยว ตี้อู๋เปียนก็เอาแต่มองดอกฉยงฮวาที่สวนด้านหลังอยู่ตลอดยกเว้นตอนกินอาหารเที่ยง
ตอนที่เยี่ยอิ่งกับเฉิงซิ่นมาหาเขา เขาก็คุยแบบไม่มีอารมณ์ร่วมเท่าไร
ตอนที่อาจารย์เล็กซย่าโหวโซ่วช่วยหาอาจารย์ฝึกต่อสู้ให้ตี้อันเหยี่ยเขาก็ไม่ได้กลับมาดูที่ห้องรับแขก
ตอนที่ตี้อันเหยี่ยพากลุ่มคนมาเด็ดลิ้นจี่ เขาก็แค่ขานรับแบบขอไปที
ไม่มีอะไรดึงดูดความสนใจได้นอกจากเขตป่าชั้นในของป่าเซียนโหยว
“เสี่ยวฉยง ซาลาเปาน้อยเจอเรื่องอะไรหรือเปล่า ทำไมยังไม่กลับมาอีก”
“เจ้านาย พี่ซาลาเปาน้อยราบรื่นมาก ไม่เกิดเรื่องอะไรเลยสักนิด”
“งั้นเธอเจอราชาม้าป่าแล้วทำไมยังไม่กลับมาล่ะ”
“…ผมจะไปรู้ได้ยังไง ผมไม่ได้ยินเสียงในใจของพี่ซาลาเปาน้อยสักหน่อย”
“ไม่ได้เรื่อง”
“…ถ้าเจ้านายพูดแบบนี้อีกผมจะร้องไห้ให้ดูแล้วนะ!”
“ร้องเลย! แกมีน้ำตาเหรอ!”
“…เหมือนจะไม่มี…”
“ซาลาเปาน้อยถึงไหนแล้ว”
“น่าแปลก ทำไมราชาม้าป่าตัวนั้นต้องพาพี่ซาลาเปาน้อยเดินเข้าไปข้างในด้วย”
“เดินเข้าไปเหรอ ตอนนี้ยังเดินเข้าไปข้างในอยู่เหรอ”
“ใช่”
“แกหลงทิศหรือเปล่า เธอกำลังเดินทางกลับมากกว่ามั้ง”
ดอกฉยงฮวาพูดด้วยความน้อยใจ “ไม่ได้หลงทิศ เดินเข้าไปข้างในแล้ว”
ตี้อู๋เปียนยืนขึ้น เดินไปเดินมาอยู่ใต้ต้นลิ้นจี่พลางบ่นพึมพำ “ทำไมซาลาเปาน้อยยังจะเดินเข้าไปอีก ไม่รู้เหรอว่าฉันจะเป็นห่วง”
ดอกฉยงฮวาขยับกิ่ง “พี่ซาลาเปาน้อยน่าจะไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้านายเป็นห่วง”
“เหลวไหล! ขนาดเธอยังเป็นห่วงฉัน มีเหรอจะไม่รู้ว่าฉันก็เป็นห่วงเธอเหมือนกัน!”
“…เจ้านาย ทำไมพี่ซาลาเปาน้อยถึงเป็นห่วงเจ้านายเหรอ เจ้านายไม่ได้ไปเขตป่าชั้นในเสียหน่อย”
“เด็กอย่างแกไม่เข้าใจเรื่องของผู้ใหญ่”
ดอกฉยงฮวาส่ายใบไปมาอย่างไม่พอใจ “ผมรู้ จะต้องเป็นเพราะเจ้านายเป็นคนไข้ของเธอแน่นอน!”
“ไม่ใช่แค่นั้นแน่นอน!” น้ำเสียงดีใจและโอ้อวด
“เจ้านาย พี่ซาลาเปาน้อยกับม้าหยุดแล้ว”
“เธอไปถึงไหน จะทำอะไร”
“ไม่รู้สิ เห็นว่ากำลังคุยกับม้า แต่เถาวัลย์มันฟังไม่เข้าใจ”
ตี้อู๋เปียน “…”
นอกจากดอกฉยงฮวาที่สื่อสารกับมนุษย์อย่างเขาได้แล้ว พืชชนิดอื่นก็ได้แค่ ‘มอง’ แต่กลับไม่เข้าใจภาษาอื่น สื่อสารไม่ได้
“เดี๋ยวนะ เสี่ยวฉยง เถาวัลย์เหรอ คราวก่อนที่แกบอกว่าผลหมื่นปีอร่อยก็ชิงเถิงบอกใช่ไหม”
“ใช่แล้ว เจ้าเถาวัลย์นั่นบอก”
“รีบถามมันหน่อยสิว่าแถวนั้นมีผลหมื่นปีหรือเปล่า หาทางพาซาลาเปาน้อยไปเด็ดหน่อย”
“ได้เลย”
ดอกฉยงฮวาวุ่นอยู่สักพัก
“เจ้านาย แถวนั้นไม่มีผลหมื่นปี แต่ไปไกลอีกหน่อยมีหญ้าร้อยรส ก็แค่ตรงนั้นมีสัตว์ป่าดุร้าย ดุมากๆ ! ถึงขนาดที่งูตัวนั้นยังไม่มีทางไปเลย”
“งั้นก็ช่างเถอะ ยังไงซะเอาหญ้าร้อยรสมาก็ไม่ได้ใช้”
“ใช่ พิษฮ่วนเซี่ยงไม่ใช่จะโดนกันได้ง่ายๆ มันเป็นพิษที่ต้องถูกพิษของพืชกับสัตว์เฉพาะพร้อมกันถึงจะเกิดอาการหลอนได้ ผมก็ไม่น่าได้ใช้เหมือนกัน”
“จำไว้ก่อน ไว้ถึงคราวจำเป็นค่อยว่ากัน แกจับตาดูซาลาเปาน้อยไว้”
“เอ๊ะ เจ้านาย พี่สาวไปแหย่งู!”
ตี้อู๋เปียนเกือบเป็นลม
เล่นอะไรไม่เล่น แต่กลับไปเล่นกับของน่าเกลียดน่ากลัวอย่างู!
ปู่หยวนเคยบอกว่า ตอนซาลาเปาน้อยหนึ่งขวบก็จับลูกงูมาเล่นแล้ว
เธอชอบงูขนาดนั้นเลยเหรอ
“เสี่ยวฉยง คอยดูซาลาเปาน้อยไว้”
“ดูอยู่ๆ เจ้านายไม่ต้องเป็นห่วง งูเถาวัลย์ไม่มีพิษ”
“ต่อให้ไม่มีพิษก็รัดคนตายได้…เอ๊ะ ถุยๆๆ ! ห้ามปากเสีย ห้ามปากเสีย!”
“เจ้านายๆ พี่ซาลาเปาน้อยต่อยหมัดเดียวงูกระเด็นเลย”
“…”
อยู่ๆ ตี้อู๋เปียนก็รู้สึกปวดเนื้อปวดตัวไปด้วย
เท่าที่เขาคลุกคลีกับเธอ เธอก็ดูจะชอบความรุนแรงอยู่บ้าง
ร่างกายอย่างเขาดูเหมือนจะไม่ทนทานต่อการตุบตับ…
“เจ้านาย พี่ซาลาเปาน้อยง้างปากงู!” ดอกฉยงฮวาโยกลำต้นอย่างบ้าคลั่ง
ตี้อู๋เปียน “…”
“พี่ซาลาเปาน้อยได้น้ำลายของงูเถาวัลย์มาแล้ว”
“…น้ำลายมีประโยชน์อะไร” น้ำลายงูก็น่าขยะแขยงนะ!
แม้เขาจะรอบรู้หลายเรื่อง แต่ก็ใช่ว่าจะรอบรู้ทุกสรรพสิ่งในโลก เขาเรียนแค่ในสิ่งที่ตัวเองสนใจกับสิ่งที่มีประโยชน์ต่อสังคมและบ้านเมือง
เนื่องจากมีความสนใจที่หลากหลาย ก็เลยเรียนมาเยอะ แต่ใช่ว่าจะเรียนทุกอย่าง อย่างไรเสียความจุของสมองคนก็มีจำกัด
“ไม่รู้สิ แต่เจ้าเถาวัลย์นั่นบอกว่าปกติงูเถาวัลย์กินงูพิษเป็นอาหาร”
ตี้อู๋เปียนขมวดคิ้ว
“เจ้านายๆ พี่ซาลาเปาน้อยลากงูกลับไปพันไว้ที่เถาวัลย์ตามเดิมแล้ว”
“…”
ตี้อู๋เปียนอยากหัวเราะ
“เจ้านาย พี่ซาลาเปาน้อยกลับแล้ว…เจ้านาย พี่ซาลาเปาน้อยกำลังฟันใบเถาวัลย์…เจ้าเถาวัลย์ร้องไห้…ตัวมันโล้นเลย…”
“…ใบเถาวัลย์มีประโยชน์อะไร ซาลาเปาน้อยเอามาทำไม หรือว่าก็เป็นยาเหมือนกัน”
“เดี๋ยวถามให้นะ…เจ้านาย อาจเพราะม้าชอบกิน…”
“อ่อ” งั้นก็เหมือนเรื่องที่คนอย่างซาลาเปาน้อยจะทำ
“เจ้านาย พี่ซาลาเปาน้อยเดินทางกลับพร้อมม้าแล้ว”
“อืม แกคอยดูไว้ ฉันกลับไปก่อนล่ะ”
“ได้เลย…ไม่ถูกสิ เจ้านายไม่ถามถึงหมอลู่เหรอ”
“ตอนนี้หมอลู่ทำอะไรอยู่”
“…เดินมุ่งหน้าต่อ”
ตี้อู๋เปียนมองค้อนใส่มัน จากนั้นก็ยืนเด็ดลิ้นจี่มากินสองสามลูก
กินเสร็จก็เดินไปที่ห้องมุม ล้างมือตรงห้องที่เก็บเครื่องมือเกษตร เดินกลับไปยกเก้าอี้เตี้ยกลับห้องรับแขก
ย่าตี้ถามด้วยสีหน้าสงสัย “อู๋เปียน ทำไมไปนั่งอยู่ที่สวนด้านหลังทั้งวันเลยล่ะ”
“สวนด้านหลังต้นไม้เยอะ ร่มรื่นมีชีวิตชีวา ผมอยู่ตรงนั้นแล้วรู้สึกสบายครับ”
“ไม่เป็นอะไรก็ดี”
ทุกคนก็รู้ว่าสถานที่ที่ร่มรื่นมีชีวิตชีวาเหมาะกับตี้อู๋เปียนมากที่สุด จึงไม่ได้สงสัยเขา
ปู่ตี้เงยหน้ามองนาฬิกาแขวนสไตล์โบราณบนผนัง “เวลานี้เสี่ยวเยาเยาน่าจะกำลังกลับมาแล้ว”
อาจารย์ใหญ่พยักหน้า “ต่อให้ไม่เจอราชาม้าป่าเสี่ยวเยาเยาก็ต้องกลับมา เสี่ยวเยาเยาเป็นคนละเอียดอ่อนตั้งแต่เด็ก ไม่เคยทำให้คนในบ้านต้องเป็นห่วง”
อาจารย์เล็ก “กลัวแค่ว่าเสี่ยวเยาเยาจะต้องช่วยตัวอะไรกลับมาอีก ทำให้เสียเวลาระหว่างทาง”
เสี่ยวเยาเยาเป็นคนใจอ่อนมาก ไม่มีทางเพิกเฉยต่อปัญหาที่ตัวเองพบเจอ
ปู่ตี้ “ขอแค่ออกจากเขตป่าชั้นในมาได้ก็ไม่ต้องเป็นห่วงมากแล้ว ราชาม้าป่าอาศัยอยู่ในเขตป่าชั้นในได้ย่อมไม่กลัวเวลามืดค่ำ เสี่ยวเยาเยาก็เคยพักในกระท่อมของเขตป่าชั้นใน ก็คงไม่กลัวเหมือนกัน”
ในความเป็นจริงเขาก็เป็นห่วงเด็กสาว ก็แค่ไม่แสดงออก เพื่อที่คนอื่นจะได้ไม่กังวลไปมากกว่านี้
ปู่ทวดถัง “วางใจได้ เสี่ยวเยาเยาเก่งจะตาย”
เป่ยซีผู้เป็นแม่พยายามประคองรอยยิ้มไว้
รู้ว่าลูกสาวตัวเองเก่ง แต่ความกังวลมันก็เลี่ยงไม่ได้
เจ้าหญิงน้อยของเธอควรได้รับการประคบประหงมแต่เด็ก แต่กลับ…ช่างเถอะ นั่นก็เป็นชีวิตแบบที่ลูกสาวชอบเหมือนกัน
ยิ่งไปกว่านั้น วันหน้าลูกสาวของเธอยังต้องสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าเผ่า จะให้เป็นดอกไม้ในเรือนกระจกที่ทนลมทนฝนไม่ไหวก็ไม่ได้
พ่อแม่พี่น้องจะเก่งแค่ไหนก็ต้องมีวันที่ต้องตาย ถ้าลูกสาวเป็นดอกไม้ในเรือนกระจก งั้นเกิดพวกเขาตายไปจะทำยังไง พึ่งลูกตัวเองเหรอ
พอนึกถึงตรงนี้เป่ยซีก็มองตี้อู๋เปียน ขมวดคิ้ว
เธอไม่พอใจอย่างมากถ้าคนขี้โรคแบบนี้จะมาเป็นลูกเขย เว้นเสียแต่สุขภาพของเขาจะดีขึ้นมาก
ไม่ต้องถึงขั้นแข็งแกร่งแบบอาจารย์เล็กของลูกสาว แต่อย่างน้อยก็ต้องแข็งแรงหน่อย!
ตี้อู๋เปียนรู้สึกได้ถึงสายตาของเป่ยซี จึงหันไปถาม “น้าเป่ยมีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ไม่มี”
“…”
ตี้อู๋เปียนรู้สึกได้บ่อยๆ ว่าแม่ของซาลาเปาน้อยไม่ค่อยพอใจเขา แต่ก็เหมือนไม่ใช่…